เผยตัวเลขสุดผวาคนมะกัน 9 ใน 10 มีอาวุธปืน!!
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2550 03:31 น.
เอเจนซี - เผยตัวเลขน่าตกใจ พลเมืองสหรัฐฯ 100 คน มีถึง 90 คนที่มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง ซึ่งถือว่าเป็นสังคมติดอาวุธมากที่สุดในโลก จากรายงานที่แผยแพร่ในวันอังคาร(28)
รายงานผลการสำรวจด้านอาวุธปี 2007 ของสถาบันวิจัยนานาชาติเจนีวา เปิดเผยว่ามีพลเมืองสหรัฐฯมีอาวุธปืนถึง 270 ล้านกระบอก จากจำนวนทั้งหมด 875 ล้านกระบอกบนโลกนี้ นอกจากนี้ในแต่ละปีอาวุธปืนใหม่ 4.5 ล้านกระบอกจาก 8 ล้านกระบอกซึ่งผลิตออกมาจากโรงงานอาวุธทั่วโลก ยังเป็นการซื้อขายกันในอเมริกาอีกด้วย
"มันดูไม่ดีเลยที่ในประชากรทุก 7 คนจะมีปืน 1 กระบอก และแม้จะไม่นับรวมสหรัฐฯ ตัวเลขก็ลดลงมาเล็กน้อยเพียงทุก 10 คนจะมีปืน 1 กระบอก" รายงานระบุ
อินเดียตามมาเป็นอันดับสองของชาติที่มีคลังแสงอาวุธปืนสำหรับพลเมือง โดยผลสำรวจพบประชากรกว่า 46 ล้านคนที่สะสมอาวุธปืนไว้ แม้ว่าสถิติจะอยู่ที่ปืน 4 กระบอกต่อพลเรือน 100 คนก็ตาม ขณะที่ จีน รั้งอันดับ 3 ด้วยจำนวนประชาชน 40 ล้านคนที่มีอาวุธปืน คิดเป็น 3 กระบอกต่อ 100 คน
เยอรมนี ฝรั่งเศส ปากีสถาน เม็กซิโก บราซิล และ รัสเซีย อยู่ในอันดับถัดมาของชาติที่ประชากรมีอาวุธปืนมากที่สุดในโลก
ทั้งนี้หากคิดเป็นค่าเฉลี่ยแล้ว เยเมน คือชาติที่ประชากรมีอาวุธปืนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ด้วยจำนวนปืน 61 กระบอกต่อพลเรือน 100 คน ตามมาด้วยฟินแลนด์ 56 สวิตเซอร์แลนด์ 46 อิรัก 29 และเซอร์เบีย 38
ฝรั่งเศส แคนาดา สวีเดน ออสเตรีย และ เยอรมนี อยู่ในลำดับถัดมา ด้วยจำนวนปืน 30 กระบอกต่อพลเรือน 100 คน ผิดกับประเทศยากจนที่มีปัญหาความรุนแรงต่ำอย่างไนจีเรีย ที่มีค่าเฉลี่ยเพียงประชากร 100 คนมีปืนแค่กระบอกเดียวเท่านั้น
"ปืนพกกระจายไปแบบไม่สม่ำเสมอทั่วโลก จากภาพลักษณ์ที่เรามองว่าภูมิภาคอย่างแอฟริกาหรืออเมริกาใต้ น่าจะมีอาวุธปืนมาก ภาพลักษณ์เหล่านั้นเป็นการเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง" ประธานสถาบันวิจัยระบุ
"การเป็นเจ้าของอาวุธปืนอาจจะเกี่ยวพันกับระดับความมั่งมี นั่นหมายถึงเราจำเป็นต้องคิดถึงความต้องการในอนาคตในหลายส่วนของโลก ภูมิภาคที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ผู้คนมีรายได้มากขึ้น"
ในการสำรวจเมื่อ 5 ปีก่อน ทั่วโลกมีอาวุธปืนพกเพียง 640 ล้านกระบอก ดังนั้นสถิติครอบครองอาวุธปืนของพลเรือนล่าสุด จึงเป็นเรื่องน่าตกใจมากหากดูจากตัวเลขที่ผ่านมา
**********************************************************
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9500000101523