...ตราบใดที่กฎหมายยังเปิดช่อง ตราบใดที่เจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและยุติธรรม ตราบใดที่ผลประโยชน์ส่วนตนมีค่ามากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม ตราบใดที่ยังมีการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายมาเป็นช่องทางในการหาผลประโยชน์นั้นๆ ผมว่ากรณีนี้เป็นแค่เครื่องมือในการทำประชาสัมพันธ์ของข้าราชการบางกลุ่ม บางพวกเท่านั้นครับ...
...การนำเข้ารถยนต์ หรือชิ้นส่วน อุปกรณ์ต่างๆ นั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว กฎหมายที่ใช้อยู่มีช่องว่างอยู่มาก ทำให้เกิดการหาผลประโยชน์จากคณะบุคคลบางกลุ่ม บางพวกได้...
...ด้วยความเคารพ ผมเห็นด้วยกับความเห็นของทุกท่านที่อยู่ในกระทู้นี้ แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตดังต่อไปนี้...
1. การดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ผมถือว่าเป็นการจัดการหรือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพราะกฎหมายกำหนดนิยามหรือให้คำจำกัดความในเรื่องของการนำเข้ารถยนต์ ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไม่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น
2. ในกรณีนำเข้ารถยนต์ทั้งคัน พิกัดภาษีศุลกากรกำหนดไว้ในปัจจุบันที่ 80% ของ CIF หลังจากนั้นจึงนำมาเป็นฐานในการคิดภาษีประเภทต่างๆ ต่อไม่ว่าจะเป็นภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) ภาษีมหาดไทย (Interior Tax) รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งจะเป็นการคำนวนภาษีที่มีลักษณะที่ซับซ้อนมากที่สุดประเภทนึง เมื่อเทียบกับวิธีคำนวนภาษีของประเทศอื่นๆ ดังนั้นถ้าจะมองถึงช่องทางในการหาผลประโยชน์อย่างง่ายๆ ก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ "การสำแดง CIF ต่ำกว่าความเป็นจริง" เพื่อให้ฐานในการคำนวนภาษีต่ำลง สมัยก่อนใช้การเปลี่ยน Invoice เปลี่ยน B/L ที่ประเทศเพื่อนบ้าน หรือการแจงมูลค่ารถที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงเพื่อคำนวนภาษี ทางกรมศุลกากรเองทราบเรื่องนี้ดี จึงขอความร่วมมือมายังบริษัทรถยนต์เพื่อช่วยให้ข้อมูลในการตรวจสอบ ซึ่งผมต้องยอมรับครับว่าทำได้ดีขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน แต่ก็ไม่สามารถอุดช่องโหว่ได้ทั้งหมด เพราะในขั้นตอนการปฎิบัติงานจริงๆ ด้วยความเคารพครับ ผมว่าตัวเจ้าหน้าที่เป็นตัวแปรที่สำคัญ ถ้าเป็นการนำเข้ารถยนต์ในนามบุคคล (เช่นในกรณีของผู้นำเข้าอิสระ) เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรส่วนมากจะไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่แท้จริงของรถยนต์คันนั้นๆ เพราะใช้ข้อมูลจากเอกสารที่บุคคลนั้นยื่นเทียบกับราคาที่บริษัทรถยนต์ที่ทำธุรกิจในประเทศไทยในนามของบริษัทแม่นั้นๆ ยื่นเอาไว้ที่กรมฯ แถมการตรวจสอบทางกายภาพก็ไม่ 100% เต็ม เช่น ถ้าใส่มาในตู้ Container เจ้าหน้าที่จะเปิดตู้จริงๆ หรือไม่ จะยึดหรือเชื่อถือข้อมูลตามเอกสารเท่านั้นหรือ แล้วทำไมถึงไม่เปิดตู้ ถ้าเปิด ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่สำแดงมาตรงตามเอกสารจริงหรือไม่ นี่ไม่นับรวมกับการดัดแปลงเพื่อปกปิดสัญลักษณ์เฉพาะของตัวรถก่อนการนำเข้ามาที่ port ในประเทศไทย คำถามหรือวิธีการเหล่านี้เป็นช่องโหว่ทั้งนั้นครับ คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์รู้กันดี เราออกมาต่อสู้ให้เกิดความถูกต้องเมื่อไหร่ เราก็จะเจ็บตัวเมื่อนั้น เพราะอะไรหรือครับ ผลประโยชน์มันมหาศาล...
...ยกตัวอย่างเช่น รถคันนึงสำแดงราคาที่ 100 บาท ภาษีรวมทุกประเภท (อัตราภาษีสรรพสามิตจะขึ้นอยู่กับขึ้นอยู่กับปริมาตรความจุกระบอกสูบและแรงม้า ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่คิดที่อัตรา 7%) จะอยู่ประมาณ 200 บาท (สมมุติว่าเป็น 200%) ราคาหลังจากเสียภาษีรวมต้นทุนรถน่าจะอยู่ที่ 300 บาท แต่ในทางกลับกัน รถคันเดียวกัน (อุปกรณ์ทุกอย่างเหมือนกันทุกชนิด) มีการสำแดงที่ 60 บาท แล้วถ้าเจ้าหน้าที่ยอมรับราคานั้น จากนั้นนำมาคำนวนภาษี ภาษีที่คำนวนได้ในอัตราเดียวกัน (สมมุติว่าเป็น 200%) ก็จะเป็น 120 บาท เพราะฉนั้นราคาหลังจากเสียภาษีรวมต้นทุนรถน่าจะอยู่ที่ 180 บาท ดูซิครับห่างกันแค่ไหน ส่วนต่าง 120 ที่เกิดขึ้น ถ้าผมแบ่งให้..... 30 (คิดเป็น 25% ของส่วนที่สามารถประหยัดได้จากการสำแดงต้นทุนต่ำกว่าความเป็นจริง) ผมยังเหลืออีก 90 ที่จะไปต่อทุนได้อีก 90 ที่ว่าอาจดูน้อยแต่อย่าลืมนะครับว่าต้นทุนของรถไม่ใช่เป็นหลักร้อยอย่างที่ผมสมมุติขึ้น และอัตราภาษีก็ไม่ใช่ 200% ตามที่สมมุติขึ้น พูดได้คำเดียวครับว่า ผลประโยชน์มหาศาล กระบวนการนี้ฝังรากมานานแล้วครับ ถ้าจะขุด ผมว่าเหนื่อยแน่ ...
3. พูดถึงการประมูลรถยนต์ ผมขอยกตัวอย่างเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ขออนุญาตละชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะผมไม่อยากกล่าวอ้างชื่อบุคคลที่สามซึ่งไม่สามารถมาแก้ข้อมูลในที่นี้ได้ กล่าวคือมีการประมูลรถยนต์ที่ยึดได้จากทางชายแดนภาคใต้ของไทย การประมูลเป็นได้อย่างปกติ มีผู้ยื่นประมูล และมีผู้ชนะการประมูล แต่ทำไมรู้มั้ยครับ รถคันนึงที่ถูกประมูลได้ ไม่มีกุญแจรถติดมากับรถและไม่สามารถติดตามได้ว่ากุญแจอยู่ที่ใด ท่านที่ประมูลท่านนี้จึงให้รถยก ยกรถคันนี้เข้ามาที่ศูนย์บริการที่เป็นศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากบริษัทรถยนต์ยี่ห้อนึง เพื่อขอทำการสั่งซื้อกุญแจสำรอง ทางศูนย์ฯ จึงตรวจสอบเลขตัวถังและเลขเครื่องยนต์เพื่อส่งไปบริษัทแม่ในการขอกุญแจดอกใหม่ ผ่านไป 2-3 วัน ทางศูนย์ฯ ได้รับแจ้งจากทางบริษัทรถยนต์แห่งนั้นว่า "ไม่สามารถออกลูกกุญแจดอกใหม่ให้ได้ เพราะรถคันนี้เป็นรถที่ถูกแจ้งว่าได้ถูกโจรกรรมมาจากประเทศเพื่อนบ้าน บริษัทประกันได้ทำการชำระสินไหมให้กับผู้เอาประกันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตามบริษัทจะไม่ทำการออกกุญแจดอกใหม่หรือเปลี่ยนระบบกุญแจให้กับรถคันนี้อีกต่อไป" นั่นหมายความว่าในมุมของบริษัทรถยนต์ รถคันนี้ถือว่าไม่มีอยู่ในระบบอีกต่อไป ยกเว้นจะดำเนินการอื่นใจส่งมอบรถกลับไปยังประเทศต้นทาง แล้วให้บริษัทประกันนั้นดำเนินการต่อ ซึ่งในทางปฎิบัติคงเป็นไปได้ยากมากๆ ครับ สรุปแล้วผู้ประมูลท่านนี้สามารถทำๆได้อย่างเดียวคือขายรถที่ประมูลได้เป็นซากเพื่อขายชิ้นส่วนเท่านั้นเอง...
...ข้อมูลที่ผมอ้างมาทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผมเองอยากพูดมานานแล้วเหมือนกันแต่ไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ ผมทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ ตกเป็นจำเลยสังคมก็หลายครั้งว่าบริษัทค้ากำไรเกินควรเพราะรถราคาสูง หาผลประโยชน์กับประเทศบ้างละ ผู้นำเข้าอิสระเป็นพระเอกในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค แต่ผมยืนยันได้ครับว่าบริษัทที่ผมทำงานอยู่นั้น มีระเบียบเรื่องพวกนี้ชัดเจนเพราะเราจำเป็นต้อง comply กับข้อกำหนดของรัฐบาลไทยในทุกเรื่อง นอกจากนั้นเรายังต้องยึดข้อระเบียบปฏิบัติของ the U.S. Securities and Exchange Commission (SEC) ของสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัดเพราะบริษัทของผม list อยู่ที่นั่นด้วย บริษัทผมจะเข้มงวดมากเรื่องของ Compliance เราถูกทุกระบบถูกตรวจสอบทั้งระบบจากผู้ตรวจสอบภายในและภายนอกโดยยึดหลักการที่ว่าข้อกฎหมายของประเทศใดเข้มงวดที่สุดให้ยึดกฎหมายประเทศนั้นเป็นหลักการในการปฎิบัติงาน แต่คนที่ทำธุรกิจค้ารถในลักษณะที่มีวาระซ่อนเร้นนี้กลับไม่ถูกสังคมตำหนิ บางครั้งกลับได้รับการยกย่อง ทั้งที่ขาดความรับผิดชอบต่อลูกค้า อีกทั้งภาษีที่รัฐสูญเสียไปมหาศาล แทนที่จะได้นำมาใช้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้อีกมาก กลับไปอยู่กับคนบางกลุ่มบางพวกเท่านั้น มันถูกแล้วหรอครับ...
...ด้วยความเคารพ ถ้ากระทู้ของผมพาดพิงหรือไม่เหมาะสมประการใดท่าน RO สามารถลบได้ทันทีครับ ผมเพียงอยากระบายความในใจเท่านั้นเองครับ...