ขอดเกล็ดเทสโก้กินรวบ "ระบบผลิต-ขายสินค้า"
โดย ผู้จัดการรายวัน 2 ตุลาคม 2550 07:37 น.
เผยกระบวนการทำธุรกิจของยักษ์โมเดิร์นเทรดจากต่างชาติในบทนักบุญคนบาป ใช้วิธีขายต่ำกว่า
ทุนเป็นแม่เหล็กดึงผู้บริโภคเข้าห้างสร้างความเป็นพวก เพื่อใช้เป็นเครื่องมือฟันรายได้จากส่วนอื่นๆ สารพัด ทั้งรีดค่านำสินค้าเข้าครั้งแรกจากซัพพลายเออร์ ค่าเก็บรหัสสินค้า ชี้ผลกระทบทำลายทั้งร้านค้าปลีกรายย่อยและระบบผู้ผลิตด้วยการสร้างเฮาส์แบรนด์ ทำให้ผู้ผลิตอิสระกลายเป็นเพียงผู้รับจ้างทำของ ขณะที่รัฐฯเสียประโยชน์จากการเก็บภาษีได้น้อยลง
ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ เปิดเผยถึงกระบวนการทำธุรกิจของโมเดิร์นเทรดหรือห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ว่าจะใช้วิธีการขายขาดทุนหรือขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุนที่ซื้อมา เพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้บริโภคเข้าห้างฯ ให้มากๆ และทำให้กลายเป็นพวก
วิธีการดังกล่าวนี้เป็นการทำลายร้านค้าปลีกขนาดเล็กและโชวห่วยโดยตรง เพราะร้านค้าปลีกขนาดเล็กมีรายได้ช่องทางเดียวคือกำไรจากการซื้อมา-ขายไป ขณะที่ห้างสมัยใหม่กลับไม่ได้ใช้การซื้อมา-ขายไปเป็นช่องทางสร้างรายได้ แต่ใช้ปริมาณของลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าและจำนวนสาขาที่ขยายออกไปเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้อื่นๆ แทน
โฆษกกรรมาธิการพาณิชย์ กล่าวต่อว่า รายได้ของโมเดิร์นเทรดที่เป็นรายได้หลักจริงๆ จะมาจากรายได้อื่นๆ เช่น ค่านำเข้าสินค้าครั้งแรกหรือค่าฟี ที่จัดเก็บจากคู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ที่นำสินค้าไปวางขายในห้าง ซึ่งยิ่งเพิ่มสาขามากเท่าใดรายได้ส่วนนี้ก็มากขึ้น เพราะใช้จำนวนสาขาเป็นตัวคูณ นอกจากนั้น ยังมีการค่าเก็บรหัสข้อมูลรายการสินค้า, ค่าบริการชั้นวางสินค้าอย่างโซนเอจะเก็บค่าใช้จ่ายพิเศษ, ค่าธรรมเนียมพิเศษต่างๆ เช่น ขายสินค้าเข้าเป้าโดยจัดเก็บเป็นรายเดือน รายปี ฯลฯ, ค่าศูนย์กระจายสินค้า, ค่าแผ่นปลิวโฆษณา, ค่าส่วนลด ของแถม ตามโอกาสต่างๆ เช่น ครบรอบเดือน รอบปี ฯลฯ, ค่าเช่าพื้นที่พลาซาโชว์รถยนต์ คาราวานสินค้า ฯลฯ, ค่าบริหารจัดการศูนย์กระจายสินค้า เป็นต้น
การขายต่ำกว่าทุนและเร่งขยายสาขาให้มากและเร็ว จึงเป็นการทำลายผู้ประกอบการรายย่อยให้ลดจำนวนลงโดยตรง นำไปสู่การผูกขาดของโมเดิร์นเทรดไม่กี่รายในอนาคต เม็ดเงินจะถูกดูดออกไปจนเมืองไทยกลายเป็นซอมบี้ ว่าที่ ร.อ.จิตร์ กล่าว ขณะนี้โมเดิร์นเทรด 4 รายใหญ่จากต่างชาติที่ยึดครองตลาด คือ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, แมคโคร และคาร์ฟูร์ เขายังระบุว่า รายได้ของโมเดิร์นเทรด ยังมาจากการประหยัดภาษีเพราะรวมเสียภาษีที่สำนักงานใหญ่ รวมทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารศูนย์กระจายสินค้า และประหยัดจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีรายได้จากดอกเบี้ยรับเนื่องจากมีระยะเวลาการชำระเงินยาวกว่า ชำระเงินให้คู่ค้าล่าช้า แต่ขายได้เงินสดทุกวัน
ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ได้ยกตัวอย่างงบการเงินของผู้นำโมเดิร์นเทรดรายหนึ่งว่า เมื่อปี 2547 มีรายได้ขาย 72,736 ล้านบาท มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายขายบวกค่าบริหาร รวม 73,966 ล้านบาท เท่ากับขาดทุน 1,230 ล้านบาท แต่กลับมีรายได้อื่นๆ มากถึง 3,378 ล้านบาท ทำให้มีกำไรขั้นต้น 2,148 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยรับอีก 387 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรทั้งสิ้น 2,535 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ารายได้อื่นๆ ของปี 2547 นั้น เพิ่มมากขึ้นจากปี 2546 ที่ทำได้ 2,692 ล้านบาท เนื่องจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง นอกเหนือจากนั้น วิธีการทำธุรกิจของโมเดิร์นเทรดที่นิยมกันมากขณะนี้คือ การสร้างเฮาส์แบรนด์ หรือสร้างสินค้าของตนเอง เช่น เทสโก้โลตัส มีน้ำตาลทราย ข้าวสาร ฯลฯ ยี่ห้อ TESCO Lotus ซึ่งวิธีการดังกล่าว ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ระบุว่า เป็นการทำลายระบบผู้ผลิต ทำให้ผู้ผลิตอิสระกลายเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตของ ขณะที่โมเดิร์นเทรดได้ก้าวเข้ามาควบคุมผูกขาดด้านระบบผลิต เป็นการมุ่งสู่ความเป็นหนึ่งที่ยึดกุมทั้งการผลิตและการขายเอาไว้ในมือ อย่างไรก็ตาม โมเดิร์นเทรดข้ามชาติอย่าง เทสโก้ โลตัส กลับอ้างว่า การสร้างเฮ้าส์แบรนด์จะช่วยหนุนส่งให้ผู้ผลิตไทยเข้มแข็ง ผลิตสินค้ามีคุณภาพ และเทสโก้ จะเป็นช่องทางในการนำสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยรับจ้างผลิตของหรือที่เรียกว่า โออีเอ็ม ออกไปขายยังตลาดโลก นับจากปี 2549 ที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัส ประกาศบุกตลาดเฮาส์แบรนด์เต็มที่โดยวางแผนเพิ่มปริมาณสินค้าเฮาส์แบรนด์ปีละ 600-700 รายการต่อปี จากปัจจุบันที่มีสินค้าประเภทนี้กว่า 2,200 รายการ สามารถทำยอดขายให้ได้มากถึง 10,000 กว่าล้านบาท จากยอดขายรวมแสนกว่าล้านบาทในปี 2549 แนวทางดังกล่าวเป็นการเดินตามรอย เทสโก้ ในต่างประเทศที่มีสัดส่วนขายสินค้าแบรนด์เนม 65% และเฮาส์แบรนด์ 35% ในเว็บไซต์ของเทสโก้ โลตัส ระบุว่า นับจากปี 2546 เป็นต้นมา โปรโมชั่นสินค้าราคาถูกหรือแคมเปญ โรลแบค ของเทสโก้ ช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงินได้ถึง 1,320 ล้าน ในปี 2548 เทสโก้ ได้ซื้อสินค้าและบริการจากคู่ค้า มูลค่ารวม 75,000 ล้านบาท จากคู่ค้ามากกว่า 3,700 ราย โดยเป็นบริษัทคู่ค้าของไทยถึง 97% เทสโก้ ยังช่วยผลักดันให้มีการส่งสินค้าออกไปยังสหราชอาณาจักร คิดเป็นเงิน 7,800 ล้านบาท และจ่ายภาษีให้รัฐ รวม 1,194 ล้านบาท ทั้งยังมีภาษีที่เทสโก้ เก็บแทนภาครัฐ มีมูลค่ารวม 5,012 ล้านบาท รวมถึงให้การสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าโอทอป โดยมียอดจำหน่าย 415 ล้านบาท ไม่นับการจัดตั้งมุมสินค้าโอทอปในสโตร์ ซึ่งมีมูลค่าเช่า 48 ล้านบาทแต่เทสโก้ ให้ใช้พื้นที่ฟรี.
[/pre]