Yak-130 กับโอกาสในโครงการจัดหาเครื่องบินฝึกขั้นก้าวหน้าใหม่
ทดแทน L-39 ของกองทัพอากาศไทยความคืบหน้าล่าสุดหลังจากที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอก ตรีทศ สนแจ้ง ไปทำภารกิจที่พระธาตุนภพลภูมิสิริ
ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่นั้น ผอ.ทอ.กล่าวว่ากองทัพอากาศได้รับการอนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีจำนวน
๓,๗๐๐ ล้านบาท($112.67 million) สำหรับการจัดหาเครื่องบินฝึกใหม่ทดแทน บ.ขฝ.๑ L-39ZA/ART ฝูง๔๐๑ ชุดแรก
๔ เครื่อง ประเทศที่ส่งแบบเครื่องเข้าพิจารณามี ๕ประเทศเช่นเดิมคือ สหรัฐฯ อิตาลี เกาหลีใต้ รัสเซีย และจีน
แต่เครื่องที่มีการคาดการณ์และกระแสข่าวมากว่าเป็นตัวเต็งคือ Alenia Aermacchi M-346 และ KAI T-50
เหตุผลที่ตัดเครื่องจีนเช่น Hongdu L-15 เข้าใจได้ไม่ยากครับ เพราะจากการที่จีนนำเครื่องมาแสดงสาธิตที่ไทยหลายครั้ง
ในช่วง๒๐ปีมานี้ เจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศไทยดูไม่พอใจในสมรรถนะของอากาศยานรบจีนที่ล้าสมัยและคุณภาพการผลิต
ไม่ดีนัก ซึ่ง L-15 เองก็ยังมีความล่าช้าในการพัฒนาผลิตขึ้นเพียงไม่กี่เครื่องและยังไม่มีประเทศลูกค้าที่ชัดเจนในขณะนี้
ด้านเครื่องของสหรัฐฯก็เห็นจะมี Textron AirLand Scorpion ซึ่งตอนนี้มีเพียงเครื่องต้นแบบเพียงเครื่องเดียว มีประเทศ
ที่สนใจบ้างเช่นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่แบบแผนของ Scorpion เป็น บ.โจมตีเบามากกว่า บ.ฝึกซึ่งทาง Textron AirLand
มีแผนจะพัฒนา Scorpion รุ่นสำหรับฝึกบินในอนาคตโดยลดปีให้สั้นลงและใช้เครื่องยนต์แรงขับสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่มีลูกค้า
ในขณะนี้ ฉะนั้นแบบแผนที่เป็นตัวเต็งก็มีแค่ M-346 กับ KAI T-50 เช่นเดิมอยู่ดีครับ
ถ้าดูแนวโน้มความต้องการของกองทัพอากาศที่ต้องการเครื่องในลักษณะเครื่องบินขับไล่ฝึกแล้ว ก็มีข่าวออกมามากกว่า
KAI T-50 กำลังได้คะแนนนำอยู่ โดยมี M-346 ซึ่งกองทัพอากาศสิงคโปร์จัดหาไป ๑๒เครื่องตามมา ซึ่ง บ.ตระกูล KAI T-50
ก็สามารถส่งออกให้กองทัพอากาศใน ASEAN หลายประเทศแล้ว เช่น T-50i(T-50)กองทัพอากาศอินโดนีเซีย ๑๖ เครื่อง
และ T-50PH(FA-50) กองทัพอากาศฟิลิปปินส์ ๑๒ เครื่อง ล่าสุดทางเกาหลีใต้เสนอ FA-50 ให้บรูไนตามที่เคยได้เสนอข่าว
ไปอีกประเทศ ซึ่งกองทัพอากาศบรูไนเคยมีแผนจะจัดหาเครื่องบินไอพ่นเข้าประจำการเช่น BAE Hawk มาก่อนแต่ก็ไม่ได้
จัดหาเสียที ซึ่งจะเห็นได้จากช่วงหลังมานี้กองทัพอากาศบรูไนอยู่ระหว่างการเสริมสร้างกำลังทางอากาศเป็นจำนวนมาก
ทั้งการจัดหา ฮ.ลำเลียง S-70i(UH-60M ผลิตในโปแลนด์) ๑๒ เครื่อง เครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเล CN-235MPA ๓ เครื่อง
และเครื่องบินลำเลียง C-130J จากสหรัฐฯ ๑ เครื่อง
อย่างไรก็ตามสำหรับ M346 และ KAI T-50 นั้นสำหรับงบประมาณจัดหาที่กองทัพอากาศได้รับเพียง ๓,๗๐๐ ล้านบาท
สำหรับ ๔ เครื่อง นั้นก็ไม่ทราบว่าจะเพียงพอหรือไม่ เพราะนอกจากตัวเครื่องยังต้องรวมถึงการจัดหาระบบสนับสนุน
อะไหล่ และระบบการฝึกภาคที่ตั้งพื้นดินด้วย โดยส่วนตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมช่วงหลังมานี้กองทัพอากาศถึงเลือก
รูปแบบการจัดหาอากาศยานมาทีละ ๒-๔เครื่อง แทนการจัดหามาทีละครึ่งฝูงอย่างโครงการ Gripen หรือเต็มฝูงไปเสียแต่ทีแรก
เพราะถ้าดูจากจำนวนความต้องการจัดหาเครื่องแทน L-39ZA/ART ในฝูง๔๐๑ ที่คาดว่าน่าจะอย่างน้อย ๑๒เครื่องแล้ว
การจัดหาจะต้องแบ่งเป็นอย่างน้อยสามระยะที่จะทยอยจัดหาทีละ ๔เครื่องจนกว่าจะครบฝูง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็อีกนาน
กว่าจะครบฝูงครับและกว่าทั้งฝูงจะพร้อมรบเต็มอัตราก็นานหลายปีด้วย ซึ่งดูเหมือนกับว่างบประมาณโครงการผูกพัน
ต่อเนื่องที่อนุมัติให้กองทัพอากาศได้ในแต่ละปีงบประมาณสำหรับโครงการจัดหาอากาศยานนั้นน้อยลงไปอย่างมาก
ทั้งๆที่เป็นโครงการจำเป็นที่จะต้องแทนเครื่องเก่าที่ใช้งานมานานจนใกล้หมดอายุโครงสร้างอากาศยานและล้าสมัย
ทั้ง ฮ.๑๑ EC725 แทน ฮ.๖ UH-1H และ L-39 ในโครงการนี้ที่จะใช้ต่ออีกไม่เกิน ๑๐ปี ตรงนี้เป็นที่มาของการนำเสนอว่า
กองทัพอากาศควรจะเลือก Yak-130 ซึ่งมีราคาถูกสามารถจัดหาได้หลายเครื่องกว่า M-346 และ KAI T-50 อีกทั้งยังเป็น
เครื่องแบบแผนเดียวกับ M-346 หรือไม่ เพราะกองทัพอากาศก็ได้เลือกจัดหาเครื่องบินโดยสาร Sukhoi Superjet 100
๓ เครื่อง สำหรับเป็นเครื่องรับส่งบุคคลสำคัญไปแล้ว
สำหรับเรื่องการจัดหา Sukhoi Superjet 100 นั้นตอนนี้เห็นมีแต่แหล่งข่าวจากสื่อต่างประเทศโดยเฉพาะรัสเซียที่นำเสนอ
มาเท่านั้นครับ แต่ทางกองทัพอากาศยังไม่ได้ออกมาประกาศหรือชี้เแจงใดๆอย่างเป็นทางการเลย ซึ่งตอนที่ส่วนตัว
ได้ข่าวครั้งแรกนั้นแปลกใจมากครับ เพราะที่ผ่านมากองทัพอากาศจะจัดหาเครื่องบินโดยสารพระราชพาหนะและ VIP
จากบริษัทตะวันตกมาตลอด เช่นของ Boeing หรือ Airbus ในฝูง๖๐๒ รวมถึง ATR72 ในฝูง๖๐๓ก็เป็นของบริษัท
ยุโรปตะวันตก ตรงนี้อาจจะต้องรอติดตามข่าวความชัดเจนที่แท้จริงต่อไปว่าเป็นอย่างไร
ส่วนโอกาส Yak-130 ของในกองทัพอากาศไทยนั้นส่วนตัวมองว่ามีไม่มากถ้าเทียบกับตัวเต็งอย่าง M-346
และ KAI T-50 ครับ แต่ก็สูงกว่า Scorpion และ L-15 เหตุผลหลักคืออากาศยานรบระบบรัสเซียแท้นั้น
ดูจะไม่เหมาะกับกองทัพอากาศไทยครับ
ข้อมูลจากบทความในนิตยสาร Tango ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่ง Yak-130 ขึ้นปกลงไว้ว่า Yak-130 นั้นสามารถ
ปรับแต่งการแสดงผลข้อมูลของจอ HUD และเครื่องวัดประกอบการบินในจอ MFD ให้แสดงผลแบบมาตรฐาน
เครื่องบินตะวันตกได้(เช่นแสดงหน่วยวัดเป็น Feet Knots เป็นต้น) รวมถึงการเปลี่ยนระบบควบคุม HOTAS ให้ใช้ Joystick
และ Throttle ที่เหมือนกับเครื่องบินขับไล่ตะวันตกแทนแบบรัสเซียด้วย นั่นทำให้ Yak-130 สามารถใช้ในการฝึกนักบิน
พร้อมรบสำหรับกองทัพที่ใช้เครื่องขับไล่หลักเป็นระบบตะวันตกมาตรฐาน NATO อย่างกองทัพอากาศไทยที่ใช้ F-16
และ Gripen ได้ แต่อย่างไรก็ตามระบบอาวุธที่ติดตั้งกับเครื่องได้ก็ยังเป็นระบบรัสเซียเหมือนเดิม เพราะทางรัสเซีย
คงต้องการที่จะขายระบบอาวุธและอุปกรณ์ของตนเองมากกว่า โดยระบบที่ใช้ร่วมกันได้กับ L-39 ก็เห็นจะมีแต่ปืนใหญ่อากาศ
23mm แฝดสองเท่านั้นที่ L-39ZA/ART ติดใต้เครื่องความจุ ๑๕๐นัด ส่วน Yak-130 เป็นกระเปาะ SNPU-130 นอกนั้นตั้งแต่
ระเบิดตระกูล FAB, KAB จรวดอากาศสู่พื้น S-8 S-13 และอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ R-73E ต้องจัดหาจากรัสเซียใหม่หมด
จะใช้ระเบิดตระกูล Mk80s จรวด 2.75" FFAR และ AIM-9 Sidewinder ที่ L-39ZA/ART ใช้ในตอนนี้ไม่ได้เลย ในขณะที่ M-346
และ KAI T-50 สามารถติดตั้งใช้งานระเบิด Mk80s จรวด 2.75" FFAR AIM-9 Sidewinder และ AGM-65 ที่กองทัพอากาศไทย
มีใช้ได้ทั้งหมด ซึ่ง M-346 นั้นยังติด IRIS-T ที่ Gripen C/D และ F-16A/B eMLU ติดตั้งใช้ได้ด้วย แล้วการว่าจ้างให้บริษัทจาก
อิสราเอลทำการปรับปรุง Yak-130 ให้เป็นมาตรฐานตะวันตกเช่นเดียวกับที่เคยทำกับ บ.ขฝ.๑ L-39ZA/ART มาแล้วเล่า
ส่วนตัวมองว่าแนวทางนี้มีความเป็นไปได้น้อยมากครับ
กองทัพอากาศอิสราเอลนั้นได้เลือก M-346 เป็น บ.ฝึกไอพ่นและโจมตีเบาแบบใหม่แทน A-4 Skyhawk ที่ใช้มานานมาก
โดยเพิ่งจะได้รับเครื่องชุดแรกจากโรงงานประมาณ ๒เครื่องในปีนี้ โดย M-346 ที่ประจำการในกองทัพอากาศอิสราเอล
จะถูกเรียกว่า Lavi ซึ่ง Elbit และ IAI ได้รับสัญญาในการติดตั้งอุปกรณ์ย่อยต่างๆตามที่กองทัพอากาศอิสราเอลต้องการด้วย
ถึงแม้ว่า M-346 และ Yak-130 ทั้งสองแบบเมื่อมองจากภายนอกเครื่องทั้งสองแบบจะเหมือนกันมากเพราะมีที่มาจากแบบแผน
เครื่องแบบเดียวจากความร่วมมือระหว่าง Yakolev และ Aermacchi ในช่วงปี 1990s แต่ในความเป็นจริงนั้นถ้าลงไป
ในรายละเอียดภายในจะพบว่ M-346 มีการปรับเปลี่ยนแบบแผนภายในเครื่องต่างไปจาก Yak-130 ค่อนข้างมาก ซึ่งตั้งแต่
Alenia Aermacchi ยุติความร่วมมือกับ Irkut/Yakolev ในช่วงปี 2000s การพัฒนา Yak-130 กับ M-346 ก็เริ่มแยกออกจากกัน
นับแต่นั้นโดยเครื่องทั้งสองแบบมีโครงสร้างภายในทั้งในส่วนเครื่องยนต์และระบบ Avionic Cockpit และระบบควบคุมที่
แตกต่างกันตามความต้องการของกองทัพอากาศรัสเซียและกองทัพอากาศอิตาลี ดังนั้นถ้าให้บริษัทอิสราเอลมาทำการ
ปรับปรุง Yak-130 ให้ใช้ระบบ Avionic และระบบอาวุธตะวันตกจะเป็นคนละงานกับการติดตั้งระบบกับ M-346 ไม่เหมือนกัน
เลยเสียทีเดียว
ทั้งนี้ทางรัสเซียเองก็มีนโยบายที่ต่างไปจากสาธารณรัฐเชคที่ Aero Vodochody ร่วมพัฒนากับ Elbit อิสราเอลพัฒนา
L-39ZA/ART ขายให้กองทัพอากาศไทย ๓๖ เครื่อง เมื่อปี ๒๕๓๗ ด้วย เพราะตอนนั้นเชคมีนโยบายเข้าหาตะวันตก
หลังการทำลายกำแพง Berlin และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตแล้ว ซึ่งเครื่องที่พัฒนาต่อมาคือ L-159 ก็เป็น
ระบบตะวันตกทั้งเครื่อง แต่ในส่วนเครื่องของรัสเซียที่ใช้ระบบตะวันตกบางส่วนติดตั้งกับเครื่องไม่ว่าจะเป็น Su-30MKI
ของอินเดียที่มีระบบของอิสราเอลในเครื่อง หรือ Su-30MKM ของมาเลเซียที่ติดตั้งระบบของ Thales เป็นต้นนั้น
ทั้งหมดเป็นเครื่องที่สร้างโดยบริษัท Irkut Corporation เจ้าของเดียวกับ Yak-130 ซึ่งไม่มีเครื่องไหนเลยที่สามารถ
ติดตั้งระบบอาวุธตะวันตกได้ โดยยังใช้ระบบอาวุธของรัสเซียเช่นเดิม และด้วยสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย
กับชาติตะวันตกในปัจจุบัน ความร่วมมือด้านการบูรณาการระบบถึงจะให้อิสราเอลทำคงจะเป็นไปได้ยากด้วย
ทั้งหมดที่กล่าวมาถ้ากองทัพอากาศไทยเลือกที่จะจัดหา Yak-130 จริงก็คงจะถูกกองทัพอากาศกำหนดแบบเป็น บ.ฝ.๒๑ ครับ
เพราะคงจะใช้เป็น บ.ฝึกอย่างเดียวไม่ติดอาวุธสำหรับภารกิจโจมตีเหมือน บ.ฝ.๑๙ PC-9 แต่กองทัพอากาศต้องการเครื่องบิน
ฝึกขับไล่ที่ทำภารกิจโจมตีเป็นภารกิจรองได้ด้วย(น่าจะกำหนดแบบเป็น บ.ขฝ.๒) เพราะฉะนั้นตัวเลือกที่มีโอกาสสูง
และเหมาะสมกว่ายังคงเป็น KAI T-50 กับ M-346 มากกว่าอยู่ดี ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ Yak-130 อาจจะไม่เหมาะกับกองทัพอากาศไทยครับ
http://aagth1.blogspot.com/2014/12/yak-130-l-39.html