เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 16, 2024, 02:06:53 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 1211 1212 1213 [1214] 1215 1216 1217 ... 1487
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เครื่องบินขับไล่ใหม่ กองทัพอากาศไทย  (อ่าน 3903385 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
MJTactical
Long Live the King
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 318
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4838


SLOW IS SMOOTH , SMOOTH IS FAST


« ตอบ #18195 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2014, 11:30:43 AM »

ใครทราบเรื่องที่ ทร. ส่ง SH-60 Seahawk ไปยกเครื่องที่ ออสเตรเลียมั่งครับ ลำแรก แพ็คไปแล้ว

แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/media/set/?set=a.712809832071740.1073741839.452484364770956&type=1























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2014, 11:33:31 AM โดย MJTactical » บันทึกการเข้า

AMATEURS TRAIN UNTIL THEY GET IT RIGHT. PROFESSIONALS TRAIN UNTIL THEY GET IT WRONG



LEAVES NO MAN BEHIND
พญาจงอาง +รักในหลวง+
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1870
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10363



« ตอบ #18196 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2014, 11:43:23 AM »

บริษัท TAI ของเราที่ตาคลีน่าจะUpgradeได้ ขนาดเจ้าเหยี่ยวยังUpgradeเป็นตัว MLU ได้ ไม่น่าส่งไปถึงออสเตรเลีย Grin
บันทึกการเข้า

..The only thing neccessary for the triump of evil is for the good man to do nothing..
"สิ่งเดียวที่ทำให้คนชั่วได้รับชัยชนะ คือการที่คนดีๆนิ่งดูดาย "
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #18197 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2014, 07:52:24 PM »

อินเดียจะซื้อ UAV "Heron" จากอิสราเอล 15 ลำ สำหรับใช้ลาดตระเวนชายแดนจีนและปากีสถาน

รัฐบาลอินเดียได้อนุมัติการจัดซื้ออากาศยานลาด ตระเวนไร้คนขับ (UAV) "Heron" มูลค่า 1.2 หมื่นล้านรูปี

(200 ล้านดอลลาร์) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกับพื้นที่ชายแดนด้านที่ติดกับประเทศจีนและปากีสถาน

รายงานจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของรัสเซีย นาย Igor Korotchenko .


เกี่ยวกับเรื่องนี้นิตยสาร "Times of India" ได้ระบุว่าเป็นการลงนามจัดหาในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งการลงนาม

ดังกล่าวได้รับการอนุมัติเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาในที่ ประชุมของคณะกรรมการเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย

ของรัฐบาลโดยมีนาย Manmohan Singh นายกรัฐมนตรีของอินเดียเป็นประธานการประชุม ปัจจุบันอินเดียมี UAV

ประมาณ 100 ลำประจำการในกองทัพ ซึ่งทั้งหมดซื้อจาก บริษัท IAI ของอิสราเอล อินเดียได้จัดหา UAV ลาดตระเวน

เพื่อรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับกับจีนและอินเดีย มีการวิเคราะห์โดยศูนย์วิเคราะห์การค้าอาวุธของโลก

(TSAMTO) ว่าในปี 2017 อินเดียอาจจะมี UAV ขนาดเล็กประจำการถึง 600 ลำ.




http://ordnancefighter.blogspot.com/2014/01/uav-heron-15.html


อินเดียมี UAV มากจริง ๆ  ตกใจ
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
Minton
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 27
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 263



« ตอบ #18198 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 08:59:53 PM »

 เยี่ยม จอภาพสวยๆครับ
บันทึกการเข้า

จากภูผา ถึงทะเล
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #18199 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 07:28:59 PM »

‘ญี่ปุ่น’จับมือ ‘สหรัฐฯ’บีบคั้น ‘จีน’ เรื่องเขตป้องกันภัยทางอากาศ

โดย ริชาร์ด จาวัด เฮย์ดาเรียน(Richard Javad Heydarian)

     จีนเดินหมากที่กลายเป็นการเสนอโอกาสงามๆ ให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ สามารถยกระดับฐานะทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเขา โดยแท้ ในเมื่อชาติต่างๆ ในภูมิภาคนี้กำลังคัดค้านต่อต้านภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางทะเลและเสรีภาพใน การเดินเรือทะเล ซึ่งพวกเขามองว่าบังเกิดขึ้นจากการที่ปักกิ่งประกาศเขตแสดงตนเพื่อการ ป้องกันภัยทางอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งวอชิงตันและโตเกียวต่างไม่ยอมเสียเวลาเลย ในการฉวยคว้าช่องทางที่จะเพิ่มพูนสายสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีอยู่กับฟิลิปปินส์ และเวียดนาม สองประเทศอาเซียนซึ่งแสดงท่าทีหวั่นเกรงมากที่สุด ต่อสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการยั่วยุอย่างแข็งกร้าวของปักกิ่ง
ในตอนสรุปการประชุมระดับสุดยอดกับญี่ปุ่นที่กรุงโตเกียวเมื่อไม่กี่วันที่ ผ่านมา เหล่ารัฐสมาชิก 10 ชาติของสมาคมอาเซียน ได้ร่วมกับเจ้าภาพของพวกเขา ในการประกาศคำแถลงร่วมซึ่งมีถ้อยคำที่แสดงนัยอย่างไม่ต้องตีความกันมาก ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่จีนเพิ่งประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกัน ภัยทางอากาศ (Air Defense Identification Zone ใช้อักษรย่อว่า ADIZ) เหนืออาณาบริเวณทะเลจีนตะวันออก...เขต ADIZ ดังกล่าว ซึ่งปักกิ่งประกาศออกมาตอนปลายเดือนพฤศจิกายน ครอบคลุมรวมถึงพื้นที่ที่จีนกำลังพิพาทอยู่กับญี่ปุ่น และก็ได้รับการประณามตำหนิอย่างแรงทั้งจากเกาหลีใต้, ไต้หวัน, และสหรัฐฯ ปักกิ่งออกมาแก้ต่างโดยยืนยันว่า เขต ADIZ ของตนนี้เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลายๆ ชาติไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, หรือเกาหลีใต้ ต่างก็ได้ประกาศเขตเช่นนี้กันมาเป็นสิบๆ ปีแล้วทั้งนั้น
ในคำแถลงร่วมของสมาคมอาเซียนกับญี่ปุ่น ซึ่งออกมาจากการประชุมระดับผู้นำเนื่องในวาระครบรอบ 40 ปีของการที่ทั้งสองฝ่ายมีสายสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันนั้น มีข้อความระบุว่า พวกเขาเห็นพ้องต้องกันที่จะ “ร่วมมือประสานงานกัน เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องเสรีภาพทางด้านการบิน และในเรื่องความปลอดภัยของการบินพลเรือน โดยสอดคล้องกับหลักการต่างๆ อันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ” คำแถลงฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลเบื้องลึกลงไปของชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ว่าจีนคงมีเจตนารมณ์ที่จะประกาศเขต ADIZ เหนืออาณาบริเวณของทะเลจีนใต้ด้วย โดยที่จะครอบคลุมถึงดินแดนต่างๆ ซึ่งแดนมังกรกำลังพิพาทช่วงชิงอยู่กับหลายๆ ชาติอาเซียน ขณะที่คำแถลงร่วมของผู้นำญี่ปุ่นและอาเซียนนี้ ไม่ได้มีข้อผูกมัดรูปธรรมใดๆ ต่อผู้ร่วมลงนาม แต่นักวิเคราะห์บางคนก็ให้ความเห็นว่า มันมีศักยภาพที่จะกลายเป็นหลักหมายหนึ่ง บนเส้นทางแห่งการเกาะกลุ่มรวมตัวเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคแถบนี้ เพื่อรับมือกับจีน ในอนาคตต่อไปข้างหน้า

ขณะที่พวกชาติสมาชิกอาเซียนรู้สึกวิตกกังวลเป็นพิเศษ ในเรื่องที่ว่า เขต ADIZ ซึ่งเวลานี้จีนประกาศใช้เฉพาะในทะเลจีนตะวันออกนั้น จะมีผลกระทบต่อไปอย่างไรต่ออาณาบริเวณทะเลจีนใต้ เพราะถ้าหากปักกิ่งเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันนี้อีก ข้อพิพาททางดินแดนในทะเลจีนใต้ระหว่างแดนมังกรกับหลายๆ ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่า ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ก็จะต้องยิ่งเขม็งเกลียวมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ในส่วนของญี่ปุ่นนั้น ความสนใจเบื้องต้นที่สุด กลับอยู่ที่การใช้ความพยายามเพื่อให้เกิดการจับมือเป็นกลุ่มพันธมิตรระดับ ภูมิภาคกลุ่มใหม่ขึ้นมา โดยที่จุดมุ่งหมายหลักของกลุ่มพันธมิตรดังกล่าวนี้ก็คือการหาทางจำกัดขีดวง อำนาจอิทธิพลของจีน

ภายหลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีนมีการเติบใหญ่อย่างเข้มแข็ง มาเป็นเวลาหลายสิบปี บัดนี้โตเกียวก็กำลังแสดงท่าทีมุ่งมั่นที่จะเรียกคืนอิทธิพลซึ่งเคยมีอยู่ใน อดีต ตลอดจนต้องการแสดงบทบาททางการพาณิชย์อันแข็งแกร่งของตนในภูมิภาคแถบนี้ให้ เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าแดนอาทิตย์อุทัยยังคงมีรากฐานอันมั่นคงอยู่ไม่ใช้น้อยๆ นอกเหนือจากการมีฐานะครอบงำเหนือธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank หรือ ADB) หน่วยงานให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อการพัฒนาระดับนานาชาติแห่งสำคัญที่สุดของ ภูมิภาคแถบนี้แล้ว ญี่ปุ่นยังเป็นชาติคู่ค้ารายใหญ่มาก ตลอดจนเป็นผู้ลงทุน และเป็นแหล่งให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนารายหลักรายหนึ่ง ของชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหลาย
ไม่เพียงเท่านั้น ญี่ปุ่นยังเป็นชาติระดับแถวหน้าในการปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรม ในเวลาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิกฤตพายุไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” ซึ่งพัดถล่มสร้างความเสียหายอย่างย่อยยับให้แก่พื้นที่ตอนกลางของฟิลิปปินส์ เมื่อไม่นานมานี้ โตเกียวได้จัดส่งทั้งความช่วยเหลือทางการเงินเป็นมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, เรือรบ 3 ลำจากกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล (กองทัพเรือญี่ปุ่น), และสมาชิกกองกำลังป้องกันตนเอง (ทหารในกองทัพญี่ปุ่น) จำนวนราว 1,200 คน ไปยังแดนตากาล็อกเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติงานบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูบูรณะต่างๆ ความพยายามต่างๆ เหล่านี้รวมกันแล้วก็กลายเป็นการปฏิบัติการเฉพาะกิจด้านมนุษยธรรมที่มีขนาด ใหญ่ที่สุด เท่าที่กองทัพญี่ปุ่นเคยจัดตั้งขึ้นมาในช่วงเวลาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทีเดียว
ตั้งแต่ที่ชนะการเลือกตั้งและกลับขึ้นมาครองอำนาจได้อีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 ในช่วงปลายปี 2012 คณะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ก็แสดงความมุ่งมั่นที่จะสถาปนาญี่ปุ่นให้กลับขึ้นเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาค รวมทั้งยังมีความเคลื่อนไหวที่จะค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งมุ่งเน้นหนักความเป็นสันตินิยมอย่างมาก จนดูจะไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์โลกในปัจจุบัน รัฐบาลอาเบะยังเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยอาศัยนโยบายและมาตรการทั้งทาง การเงินและการคลังซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการขยายเศรษฐกิจ อาเบะนั้นระบุออกมาอย่างเปิดเผยชัดเจนว่า ส่วนสำคัญยิ่งส่วนหนึ่งในแผนการของตนก็คือ ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแนวรบหลักแนวรบหนึ่งของแดนอาทิตย์อุทัย ในการต่อสู้ช่วงชิงกับแดนมังกร ทั้งนี้การต่อสู้ดังกล่าวนับวันทวีความดุเดือดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

สัญญาณประการหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวมากขึ้นของแดน อาทิตย์อุทัย ได้แก่การจัดทำยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติออกมาเป็นครั้งแรก โดยที่มีเนื้อครอบคลุมถึงการประเมินความต้องการทางการทหารของตนในอนาคตข้าง หน้าอีกด้วย เอกสารยุทธศาสตร์ดังกล่าวซึ่งนำออกเผยแพร่ในวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา กำหนดแผนดำเนินการสร้างกองทัพระยะเวลา 5 ปี โดยจุดสำคัญที่สุดก็คือการทำให้แดนอาทิตย์อุทัยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ในการดำเนินการควบคุมทั้งทางอากาศและทางทะเล ต่อดินแดนที่เกิดข้อพิพาทต่างๆ ในทะเลจีนตะวันออก
ในเวลาเดียวกันนั้น ญี่ปุ่นก็ได้ยกระดับความผูกพันของตนที่มีต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในการประชุมสุดยอดที่โตเกียวซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อไม่กี่วันก่อน แดนอาทิตย์อุทัยเสนอให้เงินมูลค่า 19,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะอยู่ในรูปของความช่วยเหลือและเงินกู้เพื่อการพัฒนา แก่เหล่าสมาชิกสมาคมอาเซียน ปรากฏว่าผู้นำของอาเซียนต่างแสดงความยินดีต่อข้อเสนอนี้ และเน้นย้ำว่าพวกเขาเฝ้ารอคอยให้ญี่ปุ่นแสดงบทบาทอันสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่า ที่เป็นอยู่ ด้วย “การสร้างคุณูปการอย่างสร้างสรรค์ให้แก่สันติภาพ, เสถียรภาพ, และการพัฒนาในภูมิภาคนี้”
ความช่วยเหลือเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการแข่งขันท้าทายโดยตรงกับคำมั่นสัญญาทางด้านการค้าและการลง ทุนมูลค่าระดับแสนๆ ล้านดอลลาร์ที่จีนให้ไว้ ณ การประชุมสุดยอดของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) และการประชุมสุดยอดของสมาคมอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องกันที่อินโดนีเซียและบรูไนตามลำดับตอนต้นเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ในซัมมิตทั้ง 2 คราวนั้น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน (ซึ่งเข้าร่วมซัมมิตเอเปกที่อินโดนีเซีย) และนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง (ผู้เข้าร่วมซัมมิตอาเซียนที่บรูไน) ต่างกลายเป็นดาวดวงเด่นที่สุด ภายหลังการขาดหายไปอย่างน่าผิดหวังของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้ต้องประกาศงดเดินทางเยือนเอเชียไปทั้งทริป เพราะต้องอยู่ในกรุงวอชิงตัน คอยรับมือแก้ไขวิกฤต “ชัตดาวน์” ที่มีการปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯทั้งหลายเป็นการชั่วคราวอยู่หลาย สัปดาห์
อาเบะ ซึ่งกำลังแสดงให้เห็นความมั่นอกมั่นใจอย่างน่าตื่นใจของเขา ในการเกลี้ยกล่อมชักชวนทั่วทั้งภูมิภาคให้ต่อต้านจีน ได้ใช้โอกาสการประชุมสุดยอดญี่ปุ่น-อาเซียนที่โตเกียว มาวิพากษ์วิจารณ์เขต ADIZ ของจีนอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา โดยระบุว่ามันเป็นมาตรการที่จะสร้างความไร้เสถียรภาพ ซึ่ง “ล่วงละเมิดอย่างไม่ชอบธรรมต่อเสรีภาพในการบินเหนือเขตทะเลหลวง” เขายังเสนอแนะที่จะจัดการประชุมอาเซียน-ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการครั้งพิเศษ โดยที่จะเชื้อเชิญบรรดารัฐมนตรีกลาโหมของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ให้มาประชุมหารือกันในประเด็นต่างๆ ทางด้านความมั่นคง รวมทั้งประเด็นการรับมือกับความท้าทายที่บังเกิดขึ้นแบบผิดปกติธรรมดา เป็นต้นว่า การบรรเทาทุกข์ภัยพิบัติ
ปรากฏว่าทางด้าน หง เหล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาตอบโต้อย่างรวดเร็ว ด้วยการติเตียนนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอย่างแรงๆ โดยพูดถึงการแสดงความเห็นของอาเบะในคราวนี้ว่า อยู่ในลักษณะ “นินทาว่าร้าย” ขณะเดียวกัน โฆษกผู้นี้ก็กล่าวปกป้องการจัดตั้งเขต ADIZ ของจีนว่าเป็นมาตรการที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยจุดมุ่งหมายในการพิทักษ์คุ้มครองอำนาจอธิปไตยของแดนมังกร โดยที่มิได้มีการล่วงละเมิดวิธีปฏิบัติตลอดจนบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่าง ประเทศซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ในส่วนท่าทีของสมาคมอาเซียนนั้น ยังคงอยู่ในรูปของการวางตัวเป็นกลางตามเช่นที่ได้เคยปฏิบัติมายาวนาน โดยที่ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้ปฏิเสธไม่ตอบสนองคำเชื้อเชิญของ ฝ่ายโตเกียว ที่จะให้มีการจัดประชุมซึ่งจะหารือกันในประเด็นทางการทหารล้วนๆ อาเซียนดูจะมีความหวั่นเกรงว่าเรื่องนี้อาจทำให้จีนบังเกิดความรู้สึกเป็น ปรปักษ์ และกลายเป็นการทำลายความพยายามเป็นระยะเวลานานปีของพวกตน ในการสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างระมัดระวังกับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคราย นี้ ในเวลาเดียวกัน บรูไน ซึ่งเป็นประธานของสมาคมอาเซียนวาระปัจจุบัน ก็เสนอแนะให้ญี่ปุ่นมุ่งเน้นหนักที่เรื่องสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และลดระดับการพูดจาในเรื่องความร่วมมือกันทางด้านความมั่นคง...ประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน ของอินโดนีเซีย ก็ออกมาแสดงท่าทีปรามๆ ญี่ปุ่น อย่าได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติและความคิดเห็นทางด้านกลาโหมของตนเองอย่างรวดเร็ว และมีลักษณะยั่วยุ เขาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นค่อยๆ พัฒนานโยบายการต่างประเทศของตนที่มีต่อภูมิภาคแถบนี้ “อย่างช้าๆ และโปร่งใส” เขาบอกด้วยว่า “การที่จีนกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่ออนาคตของภูมิภาคของพวกเรา”
การที่สมาคมอาเซียนโดยองค์รวมปฏิเสธอย่างสุภาพต่อข้อเสนอที่จะจัดการประชุม หารือที่เน้นหนักเรื่องการทหารอย่างชัดเจน ไม่ได้มีผลบั่นทอนความสนใจของชาติสมาชิกบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิลิปปินส์และเวียดนาม ในการมองหาทางสร้างสายสัมพันธ์ระดับทวิภาคีที่หนักแน่นมั่นคงมากขึ้น เพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะทางด้านป้องปรามของพวกเขาเองในการต่อต้านจีน จุดยืนอันแข็งกร้าวแบบเหยี่ยวของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น อันที่จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจับกลุ่มเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ระดับภูมิภาคกันใหม่ ภายใต้ยุทธศาสตร์หวนกลับคืนมา “ปักหมุดในเอเชีย” (pivot to Asia) ของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการจับตามองอย่างกว้างขวาง ว่าคือความพยายามที่จะขีดวงจำกัดเขตอิทธิพลที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นของจีน ตลอดจนขีดวงจำกัดความแข็งกร้าวในการเรียกร้องดินแดนของปักกิ่ง
วอชิงตันนั้นให้ความสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อความพยายามของญี่ปุ่นที่จะกลาย เป็นมหาอำนาจที่มีอิสระมากยิ่งขึ้นในเอเชีย โดยที่วาดหวังว่าญี่ปุ่นจะเป็นมหาอำนาจภูมิภาคซึ่งสามารถถ่วงดุลคานอำนาจกับ จีน และก็คอยช่วยเหลือพันธมิตรทางยุทธศาสตร์รายอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่าฟิลิปปินส์กับเวียดนาม ในการรับมือกับสภาพแวดล้อมของภูมิภาคซึ่งกำลังไม่ปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯนั้นก็ได้ปฏิเสธอย่างสุดๆ ต่อการประกาศเขต ADIZ ของจีน โดยระบุว่ามันเป็นการท้าทายยั่วยุสั่นคลอนดุลแห่งอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ของภูมิภาคแถบนี้ “การประกาศ (เขต ADIZ) ของจีน จะไม่มีผลกระทบกระเทือนอะไรต่อการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้” รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี (John Kerry) ของสหรัฐฯ แถลงในช่วงกลางเดือนธันวาคม ไม่นานนักหลังจากเกิดเหตุการณ์เรือรบของสหรัฐฯกับเรือรบของจีน เฉียด ๆจะชนกันในน่านน้ำของภูมิภาคเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา “(จีน)ไม่ควรที่จะบังคับใช้ (เขต ADIZ) และจีนควรหลีกเลี่ยงอย่าได้ลงมือปฏิบัติการแต่ฝ่ายเดียวทำนองเดียวกันนี้ใน ที่อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทะเลจีนใต้” เคร์รีบอก
ปักกิ่งยังไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างเปิดเผยต่อเหตุการณ์เรือรบเฉียดจะ ชนกันนี้ แต่หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ (Global Times) ที่เป็นของทางการจีน ได้รายงานข่าวเรื่องนี้ซึ่งสำนักข่าวเอพีได้นำมาอ้างอิงอีกต่อหนึ่ง ข่าวของสื่อแดนมังกรรายนี้อ้างว่า เรือรบของสหรัฐฯได้ก่อกวนเรือบรรทุกเครื่องบิน “เหลียวหนิง” ของจีน ด้วยการลอยลำเข้าไปจนใกล้เกินไป ในขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินของแดนมังกรลำนี้ กำลังอยู่ระหว่างการฝึกซ้อมกับพวกเรือสนับสนุนในหมู่เรือเดียวกัน รายงานข่าวนี้ระบุว่า เรือรบของสหรัฐฯได้เคลื่อนเข้าไปจนถึง “แนวป้องกันชั้นใน” ของหมู่เรือรบจีน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเลย
หลังจากที่อาเบะได้ออกมาเรียกร้องให้ชาติต่างๆ ในภูมิภาคแถบนี้ใช้จุดยืนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รัฐมนตรีเคร์รีของสหรัฐฯก็ได้เดินทางไปเยือนเวียดนามและฟิลิปปินส์ในสัปดาห์ นี้ ซึ่งแม้จะเป็นการเดินทางตามกำหนดการ แต่ก็กลายเป็นที่สนใจกันอย่างกว้างขวาง โดยที่เขาแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะล็อบบี้ 2 ชาตินี้ มาจับมือกับสหรัฐฯเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ที่มีความลึกซึ้งยิ่ง ขึ้น นอกจากนั้นเขายังเน้นย้ำว่า วอชิงตันมีความมุ่งมั่นที่จะผูกพันทำตามพันธกรณีซึ่งมีอยู่กับบรรดาพันธมิตร ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้
เคร์รียังสนับสนุนคำพูดของเขาด้วยเงินช่วยเหลือ โดยสัญญาให้เงิน 32.5 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นความช่วยเหลือทางด้านการเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล แก่เวียดนาม ในจำนวนนี้ 18 ล้านดอลลาร์จะใช้ในการจัดหาเรือตรวจการณ์เร็วเพื่อนำมาใช้ในกองกำลังรักษา ชายฝั่งจำนวน 5 ลำ เคร์รีกล่าวถึงความช่วยเหลือที่วอชิงตันสัญญาจะให้นี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนที่สหรัฐฯให้แก่บรรดาพันธมิตรในภูมิภาค โดยที่ความสนับสนุนนี้จะมี “การขยายตัวไปอย่างช้าๆ และรอบคอบ” และจะเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับเกิน 156 ล้านดอลลาร์ภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า “สันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้ คือเรื่องที่มีสำคัญลำดับสูงสุดเรื่องหนึ่งสำหรับเราและสำหรับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้” เคร์รีกล่าวย้ำภายหลังการเจรจาหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ฝ่าม บิ่งห์ มิงห์ (Pham Binh Minh) ของเวียดนาม “เรามีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง และก็คัดค้านอย่างแรงกล้า ต่อยุทธวิธีแบบใช้กำลังบังคับและก้าวร้าว เพื่อผลักดันข้อเรียกร้องทางด้านดินแดน” เขากล่าว และพูดถึงการประกาศเขต ADIZ ของจีนว่า “ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในเรื่องที่อาจจะมีการคำนวณคาดการณ์อย่างผิดพลาดจนเกิดอันตราย หรือในเรื่องที่อาจจะมีอุบัติเหตุขึ้นมา”
ถัดจากนั้นเมื่อเขาเดินทางต่อไปยังฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นการเยือนแดนตากาล็อกเที่ยวแรกของเขานับตั้งแต่ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ต่างประเทศ เคร์รีได้พบหารือกับ อัลเบิร์ต เดล โรซาริโอ (Albert Del Rosario) รัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์ ผู้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันสุดๆ ให้สหรัฐฯแสดงบทบาททางยุทธศาสตร์ในเอเชียอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา นอกจากนั้นเขาได้เข้าเยี่ยมคำนับประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน (Benigno Aquino) ผู้ซึ่งได้ออกมากล่าววิพากษ์วิจารณ์อย่างแรงๆ ต่อการที่จีนประกาศเขต ADIZ...สำหรับเรื่องที่เกิดความชะงักงันในการเจรจาระหว่างฟิลิปปินส์กับ สหรัฐฯ ว่าด้วยการที่แดนตากาล็อกจะอนุญาตให้ทหารอเมริกันหมุนเวียนเข้าไปใช้ฐานทัพ เรืออ่าวซูบิก (Subic) และฐานทัพอากาศคลาร์ก (Clark) ได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยความติดขัดในเวลานี้อยู่ที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ว่ากองทหารและ ยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯซึ่งจะตั้งอยู่บนแผ่นดินฟิลิปปินส์จากการนี้ จะมีฐานะเช่นไรและถือเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายใด ทั้งนี้เคร์รีแสดงท่าทีเร่งผลักดันให้ทำข้อตกลงกันโดยเร็ว และเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้แก่มะนิลา ระหว่างการเยือนคราวนี้ เคร์รีได้เสนอให้ความช่วยเหลือในด้านเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล และในด้านการต่อต้านการก่อการร้ายเป็นมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์แก่ฟิลิปปินส์ด้วย
การประกาศเขต ADIZ ของจีน คือการเดินหมากที่กลายเป็นการเสนอโอกาสงามๆ ให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ สามารถยกระดับฐานะทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเขาโดยแท้ และก็เป็นการเปิดช่องทางให้มหาอำนาจแปซิฟิก 2 รายนี้ยกระดับสายสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ระดับทวิภาคีที่พวกเขามีอยู่กับ ฟิลิปปินส์และเวียดนาม ในเวลาเดียวกับที่โน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้อาเซียนต่อต้านจีน ซึ่งทำท่าจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางทะเลและเสรีภาพในการเดินเรือทะเล ในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปว่าแดนมังกรจะตอบโต้อย่างไร ต่อสิ่งที่ปักกิ่งมองเห็นว่า เป็นความพยายามแบบมีการประสานงานคล้องจองกันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อขีดวงจำกัดการก้าวผงาดขึ้นมาและการแผ่อิทธิพลของตน



http://ordnancefighter.blogspot.com/2014/01/richard-javad-heydarian.html
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #18200 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 07:34:53 PM »



Military Technology Lover Forum

สหรัฐเลือกข้างชัดเจนพร้อมอยู่ฝั่งญี่ปุ่น

วันเสาร์ 8 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 15:23 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ว่านายจอห์น แคร์รี รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ แถลงเมื่อวันศุกร์ ร่วมกับนายฟูมิโอ คิชิดะ รมว.กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันอย่างเป็นทางการ ยืนยันสาระสำคัญในสนธิสัญญาเมื่อปี 2503 ที่ระบุให้สหรัฐสามารถร่วมภารกิจพิทักษ์พันธมิตรของตัวเอง ซึ่งแคร์รีกล่าวว่า รวมถึงกรณีพิพาทกับจีนเรื่องหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก ที่รู้จักในภาษาญี่ปุ่นว่า "เซนกากุ" และ "เตียวหยู" ในภาษาจีน

นอกจากนี้ แคร์รียังกล่าวถึงการที่จีนกำหนดเขตป้องกันทางอากาศจำเพาะ ( เอดีไอแซด ) ครอบคลุมน่านฟ้าส่วนใหญ่เหนือทะเลจีนตะวันออก ว่าเป็นเรื่องที่สหรัฐไม่ยอมรับ ดังนั้น ภารกิจซ้อมรบทางอากาศของสหรัฐในบริเวณดังกล่าวจะดำเนินต่อไป เนื่องจากวอชิงตันถือเป็นเขตน่านฟ้าสากล

อย่างไรก็ตาม แคร์รีแสดงความผิดหวังต่อการเยือนศาลเจ้ายาสุคูนิของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ เมื่อปลายเดือนธ.ค. ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศในภูมิภาคตึงเครียดขึ้นอีกขั้น เมื่อเกาหลีใต้ออกมาแสดงความไม่พอใจด้วย

ขณะที่คิชิดะกล่าวว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเกาหลีใต้ เนื่องจากมีประเด็นโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือที่ต้องหารือร่วมกัน ก่อนจะกล่าวเชิญประธานาธิบดีบารัค โอบามา เยือนกรุงโตเกียวในอนาคตอันใกล้นี้

http://www.dailynews.co.th/Content/foreign/214699/สหรัฐเลือกข้างชัดเจนพร้อมอยู่ฝั่งญี่ปุ่น
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
JUNGLE
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
Hero Member
*****

คะแนน 1204
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17188


การต่อสู้คือชัยชนะ


« ตอบ #18201 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 07:51:26 PM »

ตัวใหญ่อิทธิพลเยอะ... ไปนั่งตรงไหนก็ย่อมมีคนยำเกรง... ยิ่งไปนั่งใกล้ญี่ปุ่นด้วยแล้ว... เพราะญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน... แม้ว่าจะไม่สามารถมีกองทัพได้ก็ตาม... แต่ "กองกำลังป้องกันตนเอง" ก็คงไม่ด้อยคุณภาพที่จะ "ป้องกันผลประโยชน์ของชาติ" ยิ่งประกอบกับบุคลากรที่เปี่ยมคุณภาพด้วยแล้ว... ยิ่งน่าเข้าไปนั่นข้างๆ ด้วยที่สุดครับ...

บันทึกการเข้า
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #18202 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 07:56:27 PM »

ตัวใหญ่อิทธิพลเยอะ... ไปนั่งตรงไหนก็ย่อมมีคนยำเกรง... ยิ่งไปนั่งใกล้ญี่ปุ่นด้วยแล้ว... เพราะญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน... แม้ว่าจะไม่สามารถมีกองทัพได้ก็ตาม... แต่ "กองกำลังป้องกันตนเอง" ก็คงไม่ด้อยคุณภาพที่จะ "ป้องกันผลประโยชน์ของชาติ" ยิ่งประกอบกับบุคลากรที่เปี่ยมคุณภาพด้วยแล้ว... ยิ่งน่าเข้าไปนั่นข้างๆ ด้วยที่สุดครับ...


เหมือนมีกันชนฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก  แถมได้ปิดล้อมจีนไปด้วย   Grin
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265


ขาย-อัพเกรด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง


« ตอบ #18203 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 07:58:41 PM »

ตัวใหญ่อิทธิพลเยอะ... ไปนั่งตรงไหนก็ย่อมมีคนยำเกรง... ยิ่งไปนั่งใกล้ญี่ปุ่นด้วยแล้ว... เพราะญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน... แม้ว่าจะไม่สามารถมีกองทัพได้ก็ตาม... แต่ "กองกำลังป้องกันตนเอง" ก็คงไม่ด้อยคุณภาพที่จะ "ป้องกันผลประโยชน์ของชาติ" ยิ่งประกอบกับบุคลากรที่เปี่ยมคุณภาพด้วยแล้ว... ยิ่งน่าเข้าไปนั่นข้างๆ ด้วยที่สุดครับ...

ขู่กันไปงั้นแหละครับ  ถ้าจีนขยับจริงๆล่ะซวยกันหมดโดยเฉพาะอเมริกาที่ติดหนี้จีนอยู่บานตะเกียง
บันทึกการเข้า
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #18204 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 08:02:40 PM »

ตัวใหญ่อิทธิพลเยอะ... ไปนั่งตรงไหนก็ย่อมมีคนยำเกรง... ยิ่งไปนั่งใกล้ญี่ปุ่นด้วยแล้ว... เพราะญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน... แม้ว่าจะไม่สามารถมีกองทัพได้ก็ตาม... แต่ "กองกำลังป้องกันตนเอง" ก็คงไม่ด้อยคุณภาพที่จะ "ป้องกันผลประโยชน์ของชาติ" ยิ่งประกอบกับบุคลากรที่เปี่ยมคุณภาพด้วยแล้ว... ยิ่งน่าเข้าไปนั่นข้างๆ ด้วยที่สุดครับ...

ขู่กันไปงั้นแหละครับ  ถ้าจีนขยับจริงๆล่ะซวยกันหมดโดยเฉพาะอเมริกาที่ติดหนี้จีนอยู่บานตะเกียง

อาจหาเรื่องทะเลาะไม่คืนหนี้ก็เป็นได้   Grin
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265


ขาย-อัพเกรด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง


« ตอบ #18205 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 08:11:18 PM »

ตัวใหญ่อิทธิพลเยอะ... ไปนั่งตรงไหนก็ย่อมมีคนยำเกรง... ยิ่งไปนั่งใกล้ญี่ปุ่นด้วยแล้ว... เพราะญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน... แม้ว่าจะไม่สามารถมีกองทัพได้ก็ตาม... แต่ "กองกำลังป้องกันตนเอง" ก็คงไม่ด้อยคุณภาพที่จะ "ป้องกันผลประโยชน์ของชาติ" ยิ่งประกอบกับบุคลากรที่เปี่ยมคุณภาพด้วยแล้ว... ยิ่งน่าเข้าไปนั่นข้างๆ ด้วยที่สุดครับ...

ขู่กันไปงั้นแหละครับ  ถ้าจีนขยับจริงๆล่ะซวยกันหมดโดยเฉพาะอเมริกาที่ติดหนี้จีนอยู่บานตะเกียง

อาจหาเรื่องทะเลาะไม่คืนหนี้ก็เป็นได้   Grin

อาจจะได้จ่ายหนักกว่าที่เป็นหนี้นะครับ  รัสเซียก็ทำท่าไม่พอใจอเมริกาและญี่ปุ่นอยู่ด้วย
บันทึกการเข้า
JUNGLE
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
Hero Member
*****

คะแนน 1204
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17188


การต่อสู้คือชัยชนะ


« ตอบ #18206 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2014, 08:18:31 PM »

ตัวใหญ่อิทธิพลเยอะ... ไปนั่งตรงไหนก็ย่อมมีคนยำเกรง... ยิ่งไปนั่งใกล้ญี่ปุ่นด้วยแล้ว... เพราะญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน... แม้ว่าจะไม่สามารถมีกองทัพได้ก็ตาม... แต่ "กองกำลังป้องกันตนเอง" ก็คงไม่ด้อยคุณภาพที่จะ "ป้องกันผลประโยชน์ของชาติ" ยิ่งประกอบกับบุคลากรที่เปี่ยมคุณภาพด้วยแล้ว... ยิ่งน่าเข้าไปนั่นข้างๆ ด้วยที่สุดครับ...

ขู่กันไปงั้นแหละครับ  ถ้าจีนขยับจริงๆล่ะซวยกันหมดโดยเฉพาะอเมริกาที่ติดหนี้จีนอยู่บานตะเกียง

อาจหาเรื่องทะเลาะไม่คืนหนี้ก็เป็นได้   Grin

อาจจะได้จ่ายหนักกว่าที่เป็นหนี้นะครับ  รัสเซียก็ทำท่าไม่พอใจอเมริกาและญี่ปุ่นอยู่ด้วย

ช้างสารชนกัน... หญ้าแพรกแหลกราญ... ผมว่าไม่ว่าจะคู่ไหนฟัดกับคู่ไหน... โลกล้วนพบกับหายนะครับ...

บันทึกการเข้า
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #18207 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 10:06:28 AM »

รัสเซียจะเริ่มสร้างเฮลิคอปเตอร์ความเร็วสูงแนว "PSV-1" ในปีหน้า

    ในปี 2014 รัสเซียจะเริ่มสร้างเฮลิคอปเตอร์ความเร็วสูง "PSV-1" ซึ่งโครงการนี้เป็นการดำเนินการตามโครงการ
พัฒนาการบินพลเรือนในรัสเซียใน ห้วงปี 2002-2010 และต่อเนื่องจนถึงปี 2015."

มีรายงานว่าในปี 2014 จะทำการเปิดตัวและทดสอบการบินโดยโครงการนี้มีกำหนดให้เสร็จสมบูรณ์สามารถให้บริการได้ในปี 2020

คุณลักษณะที่สำคัญของเฮลิคอปเตอร์ ได้แก่

- เครื่องน้ำหนักสูงสุด: 10,500-11,500 กก. (สำหรับรุ่นขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้า)
- รองรับผู้โดยสารได้ 21 - 23 คน
- บรรทุกสินค้าได้น้ำหนักสูงสุด 3000 - 3500 กก.
- พิสัยปฏิบัติการ 900 กิโลเมตร
- ความเร็ว 320-360 กม. / ชม.

โครงการเฮลิคอปเตอร์ความเร็วสูง (PSV) ได้ดำเนินการควบคู่ขนานไปกับโครงการ Mi-X1 จากสำนักออกแบบ
bureau และ Ka-92 ของ Kamov ในปี 2014 และ 2015 มีการวางแผนจะทำการประเมินศึกษาแบบบูรณาการ
ของการกำหนดคุณลักษณะ(ตัวเลือก เครื่องยนต์และการกำหนดค่าระบบอากาศพลศาสตร์)

การพัฒนาระบบเครื่องยนต์สำหรับ PSV (การศึกษาและคำนวณการเปลี่ยนแปลงความร้อนและความแข็งแรง
ของอุปกรณ์เครื่อง ยนต์ VK-2500M ,การออกแบบและพัฒนาเทคนิคการเตรียมความพร้อมการดำเนินการขั้นตอนที่ 1
ของเครื่องยนต์ต้นแบบ) และการออกแบบระบบควบคุมแสดงผลได้ถูกกำหนดใหแล้วเสร็จภายในปี 2014-2015.



http://ordnancefighter.blogspot.com/2014/01/psv-1.html
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #18208 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 01:49:19 PM »

รบ.ไซปรัส เปิดไฟเขียวรัสเซียใช้ฐานทัพอากาศ-ท่าเรือ ส่งผลกระเทือนทางยุทธศาสตร์ใน “เมดิเตอร์เรเนียน”

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ทางการไซปรัสตัดสินใจเปิดไฟเขียวให้กองทัพรัสเซียเข้ามา ใช้ฐานทัพอากาศ-ท่าเรือ ในประเทศของตนได้อย่างไม่มีกำหนด ส่งผลกระเทือนอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ จากการที่รัสเซียสามารถรุกคืบเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน น่านน้ำสำคัญของโลกที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง

รายงานข่าวจากกรุงนิโกเซีย เมืองหลวงของไซปรัสระบุว่า รัฐบาลไซปรัสภายใต้การนำของประธานาธิบดีนิกอส อนาสตาเซียเดส ตัดสินใจอนุญาตให้อากาศยานทุกประเภทของกองทัพรัสเซียสามารถเข้ามาใช้ฐานทัพ อากาศ “อันเดรียส ปาปันเดรอู” ของไซปรัสที่อยู่ใกล้กับเมืองปาโฟสได้ เช่นเดียวกับการอนุญาตให้เรือรบของรัสเซีย สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เมืองท่าลิมาสซอล
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวที่มีการเผยแพร่ในสื่อดังอย่าง “ไซปรัส วีคลี” ระบุว่า แม้จะยังมีเงื่อนไขบางประการที่ไซปรัสและรัสเซียยังไม่อาจตกลงกันได้ แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลทำให้กำลังรบทั้งทางอากาศและทางเรือของรัสเซีย สามารถเข้าถึงที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เป็นจุดเชื่อม ต่อระหว่างทวีปยุโรป แอฟริกา และภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้อย่างสำคัญ

ด้านโฟติส โฟติอู รัฐมนตรีกลาโหมของไซปรัสเผยว่าในเบื้องต้นไซปรัสจะอนุญาตให้กองทัพอากาศของ รัสเซีย ตลอดจนกำลังทางเรือจากแดนหมีขาว สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ยังฐานทัพอากาศและท่าเรือดังกล่าวของตนได้เฉพาะกรณี ปฏิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรมและเมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น แต่ยังไม่อนุญาตให้รัสเซีย เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่เป็นคลังแสงในฐานทัพอากาศอันเดรียส ปาปันเดรอูแต่อย่างใด

ทั้งนี้ การตัดสินใจเปิดให้รัสเซียสามารถใช้ฐานทัพอากาศดังกล่าว รวมถึงท่าเรือที่เมืองลิมาสซอลของไซปรัสในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการหารือร่วมกันระหว่างโฟติส โฟติอู รัฐมนตรีกลาโหมของไซปรัส กับ เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียที่กรุงมอสโกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว รวมถึงการพบหารือระหว่างไอโอนนิส คาซูลิดิส รัฐมนตรีต่างประเทศไซปรัส และเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อเดือนมิถุนายน

อย่างไรก็ดี รัฐบาลไซปรัสยืนยันว่าการเข้ามาของรัสเซียจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสถานะของฐานทัพอากาศ 2 แห่งของอังกฤษในไซปรัสทั้งฐานทัพอากาศอโครติรี และเดเคเลียแต่อย่างใด โดยยืนยันว่าอังกฤษซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาณานิคมของไซปรัสยังมีอธิปไตยอย่าง สมบูรณ์เหนือฐานทัพอากาศทั้งสองแห่ง ตามข้อตกลงระหว่างอังกฤษและไซปรัสเมื่อปี 1960 ซึ่งเป็นปีที่ไซปรัสได้รับเอกราช.




http://ordnancefighter.blogspot.com/2014/01/blog-post_13.html
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265


ขาย-อัพเกรด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง


« ตอบ #18209 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 08:22:39 PM »

เหอะๆ อยู่บนหัวซาอุที่รัสเซียหมายหัวไว้  แถมอยู่ใต้ตูดตุรกีสาขาใหญ่ของนาโต้
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 1211 1212 1213 [1214] 1215 1216 1217 ... 1487
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.139 วินาที กับ 22 คำสั่ง