ญี่ปุ่นจับมือ สหรัฐฯบีบคั้น จีน เรื่องเขตป้องกันภัยทางอากาศ โดย ริชาร์ด จาวัด เฮย์ดาเรียน(Richard Javad Heydarian)
จีนเดินหมากที่กลายเป็นการเสนอโอกาสงามๆ ให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ สามารถยกระดับฐานะทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเขา โดยแท้ ในเมื่อชาติต่างๆ ในภูมิภาคนี้กำลังคัดค้านต่อต้านภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางทะเลและเสรีภาพใน การเดินเรือทะเล ซึ่งพวกเขามองว่าบังเกิดขึ้นจากการที่ปักกิ่งประกาศเขตแสดงตนเพื่อการ ป้องกันภัยทางอากาศเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งวอชิงตันและโตเกียวต่างไม่ยอมเสียเวลาเลย ในการฉวยคว้าช่องทางที่จะเพิ่มพูนสายสัมพันธ์ทวิภาคีที่มีอยู่กับฟิลิปปินส์ และเวียดนาม สองประเทศอาเซียนซึ่งแสดงท่าทีหวั่นเกรงมากที่สุด ต่อสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการยั่วยุอย่างแข็งกร้าวของปักกิ่ง
ในตอนสรุปการประชุมระดับสุดยอดกับญี่ปุ่นที่กรุงโตเกียวเมื่อไม่กี่วันที่ ผ่านมา เหล่ารัฐสมาชิก 10 ชาติของสมาคมอาเซียน ได้ร่วมกับเจ้าภาพของพวกเขา ในการประกาศคำแถลงร่วมซึ่งมีถ้อยคำที่แสดงนัยอย่างไม่ต้องตีความกันมาก ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่จีนเพิ่งประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกัน ภัยทางอากาศ (Air Defense Identification Zone ใช้อักษรย่อว่า ADIZ) เหนืออาณาบริเวณทะเลจีนตะวันออก...เขต ADIZ ดังกล่าว ซึ่งปักกิ่งประกาศออกมาตอนปลายเดือนพฤศจิกายน ครอบคลุมรวมถึงพื้นที่ที่จีนกำลังพิพาทอยู่กับญี่ปุ่น และก็ได้รับการประณามตำหนิอย่างแรงทั้งจากเกาหลีใต้, ไต้หวัน, และสหรัฐฯ ปักกิ่งออกมาแก้ต่างโดยยืนยันว่า เขต ADIZ ของตนนี้เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลายๆ ชาติไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, หรือเกาหลีใต้ ต่างก็ได้ประกาศเขตเช่นนี้กันมาเป็นสิบๆ ปีแล้วทั้งนั้น
ในคำแถลงร่วมของสมาคมอาเซียนกับญี่ปุ่น ซึ่งออกมาจากการประชุมระดับผู้นำเนื่องในวาระครบรอบ 40 ปีของการที่ทั้งสองฝ่ายมีสายสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันนั้น มีข้อความระบุว่า พวกเขาเห็นพ้องต้องกันที่จะ ร่วมมือประสานงานกัน เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องเสรีภาพทางด้านการบิน และในเรื่องความปลอดภัยของการบินพลเรือน โดยสอดคล้องกับหลักการต่างๆ อันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ คำแถลงฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลเบื้องลึกลงไปของชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ว่าจีนคงมีเจตนารมณ์ที่จะประกาศเขต ADIZ เหนืออาณาบริเวณของทะเลจีนใต้ด้วย โดยที่จะครอบคลุมถึงดินแดนต่างๆ ซึ่งแดนมังกรกำลังพิพาทช่วงชิงอยู่กับหลายๆ ชาติอาเซียน ขณะที่คำแถลงร่วมของผู้นำญี่ปุ่นและอาเซียนนี้ ไม่ได้มีข้อผูกมัดรูปธรรมใดๆ ต่อผู้ร่วมลงนาม แต่นักวิเคราะห์บางคนก็ให้ความเห็นว่า มันมีศักยภาพที่จะกลายเป็นหลักหมายหนึ่ง บนเส้นทางแห่งการเกาะกลุ่มรวมตัวเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคแถบนี้ เพื่อรับมือกับจีน ในอนาคตต่อไปข้างหน้า
ขณะที่พวกชาติสมาชิกอาเซียนรู้สึกวิตกกังวลเป็นพิเศษ ในเรื่องที่ว่า เขต ADIZ ซึ่งเวลานี้จีนประกาศใช้เฉพาะในทะเลจีนตะวันออกนั้น จะมีผลกระทบต่อไปอย่างไรต่ออาณาบริเวณทะเลจีนใต้ เพราะถ้าหากปักกิ่งเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันนี้อีก ข้อพิพาททางดินแดนในทะเลจีนใต้ระหว่างแดนมังกรกับหลายๆ ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่า ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ก็จะต้องยิ่งเขม็งเกลียวมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ในส่วนของญี่ปุ่นนั้น ความสนใจเบื้องต้นที่สุด กลับอยู่ที่การใช้ความพยายามเพื่อให้เกิดการจับมือเป็นกลุ่มพันธมิตรระดับ ภูมิภาคกลุ่มใหม่ขึ้นมา โดยที่จุดมุ่งหมายหลักของกลุ่มพันธมิตรดังกล่าวนี้ก็คือการหาทางจำกัดขีดวง อำนาจอิทธิพลของจีน
ภายหลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีนมีการเติบใหญ่อย่างเข้มแข็ง มาเป็นเวลาหลายสิบปี บัดนี้โตเกียวก็กำลังแสดงท่าทีมุ่งมั่นที่จะเรียกคืนอิทธิพลซึ่งเคยมีอยู่ใน อดีต ตลอดจนต้องการแสดงบทบาททางการพาณิชย์อันแข็งแกร่งของตนในภูมิภาคแถบนี้ให้ เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าแดนอาทิตย์อุทัยยังคงมีรากฐานอันมั่นคงอยู่ไม่ใช้น้อยๆ นอกเหนือจากการมีฐานะครอบงำเหนือธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank หรือ ADB) หน่วยงานให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อการพัฒนาระดับนานาชาติแห่งสำคัญที่สุดของ ภูมิภาคแถบนี้แล้ว ญี่ปุ่นยังเป็นชาติคู่ค้ารายใหญ่มาก ตลอดจนเป็นผู้ลงทุน และเป็นแหล่งให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนารายหลักรายหนึ่ง ของชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหลาย
ไม่เพียงเท่านั้น ญี่ปุ่นยังเป็นชาติระดับแถวหน้าในการปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรม ในเวลาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิกฤตพายุไต้ฝุ่น ไห่เยี่ยน ซึ่งพัดถล่มสร้างความเสียหายอย่างย่อยยับให้แก่พื้นที่ตอนกลางของฟิลิปปินส์ เมื่อไม่นานมานี้ โตเกียวได้จัดส่งทั้งความช่วยเหลือทางการเงินเป็นมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, เรือรบ 3 ลำจากกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเล (กองทัพเรือญี่ปุ่น), และสมาชิกกองกำลังป้องกันตนเอง (ทหารในกองทัพญี่ปุ่น) จำนวนราว 1,200 คน ไปยังแดนตากาล็อกเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติงานบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูบูรณะต่างๆ ความพยายามต่างๆ เหล่านี้รวมกันแล้วก็กลายเป็นการปฏิบัติการเฉพาะกิจด้านมนุษยธรรมที่มีขนาด ใหญ่ที่สุด เท่าที่กองทัพญี่ปุ่นเคยจัดตั้งขึ้นมาในช่วงเวลาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทีเดียว
ตั้งแต่ที่ชนะการเลือกตั้งและกลับขึ้นมาครองอำนาจได้อีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 ในช่วงปลายปี 2012 คณะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ก็แสดงความมุ่งมั่นที่จะสถาปนาญี่ปุ่นให้กลับขึ้นเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาค รวมทั้งยังมีความเคลื่อนไหวที่จะค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งมุ่งเน้นหนักความเป็นสันตินิยมอย่างมาก จนดูจะไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์โลกในปัจจุบัน รัฐบาลอาเบะยังเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยอาศัยนโยบายและมาตรการทั้งทาง การเงินและการคลังซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องการขยายเศรษฐกิจ อาเบะนั้นระบุออกมาอย่างเปิดเผยชัดเจนว่า ส่วนสำคัญยิ่งส่วนหนึ่งในแผนการของตนก็คือ ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแนวรบหลักแนวรบหนึ่งของแดนอาทิตย์อุทัย ในการต่อสู้ช่วงชิงกับแดนมังกร ทั้งนี้การต่อสู้ดังกล่าวนับวันทวีความดุเดือดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
สัญญาณประการหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวมากขึ้นของแดน อาทิตย์อุทัย ได้แก่การจัดทำยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติออกมาเป็นครั้งแรก โดยที่มีเนื้อครอบคลุมถึงการประเมินความต้องการทางการทหารของตนในอนาคตข้าง หน้าอีกด้วย เอกสารยุทธศาสตร์ดังกล่าวซึ่งนำออกเผยแพร่ในวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา กำหนดแผนดำเนินการสร้างกองทัพระยะเวลา 5 ปี โดยจุดสำคัญที่สุดก็คือการทำให้แดนอาทิตย์อุทัยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ในการดำเนินการควบคุมทั้งทางอากาศและทางทะเล ต่อดินแดนที่เกิดข้อพิพาทต่างๆ ในทะเลจีนตะวันออก
ในเวลาเดียวกันนั้น ญี่ปุ่นก็ได้ยกระดับความผูกพันของตนที่มีต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในการประชุมสุดยอดที่โตเกียวซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อไม่กี่วันก่อน แดนอาทิตย์อุทัยเสนอให้เงินมูลค่า 19,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะอยู่ในรูปของความช่วยเหลือและเงินกู้เพื่อการพัฒนา แก่เหล่าสมาชิกสมาคมอาเซียน ปรากฏว่าผู้นำของอาเซียนต่างแสดงความยินดีต่อข้อเสนอนี้ และเน้นย้ำว่าพวกเขาเฝ้ารอคอยให้ญี่ปุ่นแสดงบทบาทอันสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่า ที่เป็นอยู่ ด้วย การสร้างคุณูปการอย่างสร้างสรรค์ให้แก่สันติภาพ, เสถียรภาพ, และการพัฒนาในภูมิภาคนี้
ความช่วยเหลือเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการแข่งขันท้าทายโดยตรงกับคำมั่นสัญญาทางด้านการค้าและการลง ทุนมูลค่าระดับแสนๆ ล้านดอลลาร์ที่จีนให้ไว้ ณ การประชุมสุดยอดของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) และการประชุมสุดยอดของสมาคมอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องกันที่อินโดนีเซียและบรูไนตามลำดับตอนต้นเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ในซัมมิตทั้ง 2 คราวนั้น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน (ซึ่งเข้าร่วมซัมมิตเอเปกที่อินโดนีเซีย) และนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง (ผู้เข้าร่วมซัมมิตอาเซียนที่บรูไน) ต่างกลายเป็นดาวดวงเด่นที่สุด ภายหลังการขาดหายไปอย่างน่าผิดหวังของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้ต้องประกาศงดเดินทางเยือนเอเชียไปทั้งทริป เพราะต้องอยู่ในกรุงวอชิงตัน คอยรับมือแก้ไขวิกฤต ชัตดาวน์ ที่มีการปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯทั้งหลายเป็นการชั่วคราวอยู่หลาย สัปดาห์
อาเบะ ซึ่งกำลังแสดงให้เห็นความมั่นอกมั่นใจอย่างน่าตื่นใจของเขา ในการเกลี้ยกล่อมชักชวนทั่วทั้งภูมิภาคให้ต่อต้านจีน ได้ใช้โอกาสการประชุมสุดยอดญี่ปุ่น-อาเซียนที่โตเกียว มาวิพากษ์วิจารณ์เขต ADIZ ของจีนอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา โดยระบุว่ามันเป็นมาตรการที่จะสร้างความไร้เสถียรภาพ ซึ่ง ล่วงละเมิดอย่างไม่ชอบธรรมต่อเสรีภาพในการบินเหนือเขตทะเลหลวง เขายังเสนอแนะที่จะจัดการประชุมอาเซียน-ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการครั้งพิเศษ โดยที่จะเชื้อเชิญบรรดารัฐมนตรีกลาโหมของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ให้มาประชุมหารือกันในประเด็นต่างๆ ทางด้านความมั่นคง รวมทั้งประเด็นการรับมือกับความท้าทายที่บังเกิดขึ้นแบบผิดปกติธรรมดา เป็นต้นว่า การบรรเทาทุกข์ภัยพิบัติ
ปรากฏว่าทางด้าน หง เหล่ย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาตอบโต้อย่างรวดเร็ว ด้วยการติเตียนนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอย่างแรงๆ โดยพูดถึงการแสดงความเห็นของอาเบะในคราวนี้ว่า อยู่ในลักษณะ นินทาว่าร้าย ขณะเดียวกัน โฆษกผู้นี้ก็กล่าวปกป้องการจัดตั้งเขต ADIZ ของจีนว่าเป็นมาตรการที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยจุดมุ่งหมายในการพิทักษ์คุ้มครองอำนาจอธิปไตยของแดนมังกร โดยที่มิได้มีการล่วงละเมิดวิธีปฏิบัติตลอดจนบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่าง ประเทศซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ในส่วนท่าทีของสมาคมอาเซียนนั้น ยังคงอยู่ในรูปของการวางตัวเป็นกลางตามเช่นที่ได้เคยปฏิบัติมายาวนาน โดยที่ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้ปฏิเสธไม่ตอบสนองคำเชื้อเชิญของ ฝ่ายโตเกียว ที่จะให้มีการจัดประชุมซึ่งจะหารือกันในประเด็นทางการทหารล้วนๆ อาเซียนดูจะมีความหวั่นเกรงว่าเรื่องนี้อาจทำให้จีนบังเกิดความรู้สึกเป็น ปรปักษ์ และกลายเป็นการทำลายความพยายามเป็นระยะเวลานานปีของพวกตน ในการสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างระมัดระวังกับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคราย นี้ ในเวลาเดียวกัน บรูไน ซึ่งเป็นประธานของสมาคมอาเซียนวาระปัจจุบัน ก็เสนอแนะให้ญี่ปุ่นมุ่งเน้นหนักที่เรื่องสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และลดระดับการพูดจาในเรื่องความร่วมมือกันทางด้านความมั่นคง...ประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน ของอินโดนีเซีย ก็ออกมาแสดงท่าทีปรามๆ ญี่ปุ่น อย่าได้ปรับเปลี่ยนทัศนคติและความคิดเห็นทางด้านกลาโหมของตนเองอย่างรวดเร็ว และมีลักษณะยั่วยุ เขาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นค่อยๆ พัฒนานโยบายการต่างประเทศของตนที่มีต่อภูมิภาคแถบนี้ อย่างช้าๆ และโปร่งใส เขาบอกด้วยว่า การที่จีนกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่ออนาคตของภูมิภาคของพวกเรา
การที่สมาคมอาเซียนโดยองค์รวมปฏิเสธอย่างสุภาพต่อข้อเสนอที่จะจัดการประชุม หารือที่เน้นหนักเรื่องการทหารอย่างชัดเจน ไม่ได้มีผลบั่นทอนความสนใจของชาติสมาชิกบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิลิปปินส์และเวียดนาม ในการมองหาทางสร้างสายสัมพันธ์ระดับทวิภาคีที่หนักแน่นมั่นคงมากขึ้น เพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะทางด้านป้องปรามของพวกเขาเองในการต่อต้านจีน จุดยืนอันแข็งกร้าวแบบเหยี่ยวของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น อันที่จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจับกลุ่มเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ระดับภูมิภาคกันใหม่ ภายใต้ยุทธศาสตร์หวนกลับคืนมา ปักหมุดในเอเชีย (pivot to Asia) ของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการจับตามองอย่างกว้างขวาง ว่าคือความพยายามที่จะขีดวงจำกัดเขตอิทธิพลที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นของจีน ตลอดจนขีดวงจำกัดความแข็งกร้าวในการเรียกร้องดินแดนของปักกิ่ง
วอชิงตันนั้นให้ความสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อความพยายามของญี่ปุ่นที่จะกลาย เป็นมหาอำนาจที่มีอิสระมากยิ่งขึ้นในเอเชีย โดยที่วาดหวังว่าญี่ปุ่นจะเป็นมหาอำนาจภูมิภาคซึ่งสามารถถ่วงดุลคานอำนาจกับ จีน และก็คอยช่วยเหลือพันธมิตรทางยุทธศาสตร์รายอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่าฟิลิปปินส์กับเวียดนาม ในการรับมือกับสภาพแวดล้อมของภูมิภาคซึ่งกำลังไม่ปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯนั้นก็ได้ปฏิเสธอย่างสุดๆ ต่อการประกาศเขต ADIZ ของจีน โดยระบุว่ามันเป็นการท้าทายยั่วยุสั่นคลอนดุลแห่งอำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ของภูมิภาคแถบนี้ การประกาศ (เขต ADIZ) ของจีน จะไม่มีผลกระทบกระเทือนอะไรต่อการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี (John Kerry) ของสหรัฐฯ แถลงในช่วงกลางเดือนธันวาคม ไม่นานนักหลังจากเกิดเหตุการณ์เรือรบของสหรัฐฯกับเรือรบของจีน เฉียด ๆจะชนกันในน่านน้ำของภูมิภาคเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา (จีน)ไม่ควรที่จะบังคับใช้ (เขต ADIZ) และจีนควรหลีกเลี่ยงอย่าได้ลงมือปฏิบัติการแต่ฝ่ายเดียวทำนองเดียวกันนี้ใน ที่อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทะเลจีนใต้ เคร์รีบอก
ปักกิ่งยังไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างเปิดเผยต่อเหตุการณ์เรือรบเฉียดจะ ชนกันนี้ แต่หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ (Global Times) ที่เป็นของทางการจีน ได้รายงานข่าวเรื่องนี้ซึ่งสำนักข่าวเอพีได้นำมาอ้างอิงอีกต่อหนึ่ง ข่าวของสื่อแดนมังกรรายนี้อ้างว่า เรือรบของสหรัฐฯได้ก่อกวนเรือบรรทุกเครื่องบิน เหลียวหนิง ของจีน ด้วยการลอยลำเข้าไปจนใกล้เกินไป ในขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินของแดนมังกรลำนี้ กำลังอยู่ระหว่างการฝึกซ้อมกับพวกเรือสนับสนุนในหมู่เรือเดียวกัน รายงานข่าวนี้ระบุว่า เรือรบของสหรัฐฯได้เคลื่อนเข้าไปจนถึง แนวป้องกันชั้นใน ของหมู่เรือรบจีน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเลย
หลังจากที่อาเบะได้ออกมาเรียกร้องให้ชาติต่างๆ ในภูมิภาคแถบนี้ใช้จุดยืนที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รัฐมนตรีเคร์รีของสหรัฐฯก็ได้เดินทางไปเยือนเวียดนามและฟิลิปปินส์ในสัปดาห์ นี้ ซึ่งแม้จะเป็นการเดินทางตามกำหนดการ แต่ก็กลายเป็นที่สนใจกันอย่างกว้างขวาง โดยที่เขาแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะล็อบบี้ 2 ชาตินี้ มาจับมือกับสหรัฐฯเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ที่มีความลึกซึ้งยิ่ง ขึ้น นอกจากนั้นเขายังเน้นย้ำว่า วอชิงตันมีความมุ่งมั่นที่จะผูกพันทำตามพันธกรณีซึ่งมีอยู่กับบรรดาพันธมิตร ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้
เคร์รียังสนับสนุนคำพูดของเขาด้วยเงินช่วยเหลือ โดยสัญญาให้เงิน 32.5 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นความช่วยเหลือทางด้านการเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล แก่เวียดนาม ในจำนวนนี้ 18 ล้านดอลลาร์จะใช้ในการจัดหาเรือตรวจการณ์เร็วเพื่อนำมาใช้ในกองกำลังรักษา ชายฝั่งจำนวน 5 ลำ เคร์รีกล่าวถึงความช่วยเหลือที่วอชิงตันสัญญาจะให้นี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนที่สหรัฐฯให้แก่บรรดาพันธมิตรในภูมิภาค โดยที่ความสนับสนุนนี้จะมี การขยายตัวไปอย่างช้าๆ และรอบคอบ และจะเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับเกิน 156 ล้านดอลลาร์ภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า สันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้ คือเรื่องที่มีสำคัญลำดับสูงสุดเรื่องหนึ่งสำหรับเราและสำหรับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ เคร์รีกล่าวย้ำภายหลังการเจรจาหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ฝ่าม บิ่งห์ มิงห์ (Pham Binh Minh) ของเวียดนาม เรามีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง และก็คัดค้านอย่างแรงกล้า ต่อยุทธวิธีแบบใช้กำลังบังคับและก้าวร้าว เพื่อผลักดันข้อเรียกร้องทางด้านดินแดน เขากล่าว และพูดถึงการประกาศเขต ADIZ ของจีนว่า ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในเรื่องที่อาจจะมีการคำนวณคาดการณ์อย่างผิดพลาดจนเกิดอันตราย หรือในเรื่องที่อาจจะมีอุบัติเหตุขึ้นมา
ถัดจากนั้นเมื่อเขาเดินทางต่อไปยังฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นการเยือนแดนตากาล็อกเที่ยวแรกของเขานับตั้งแต่ขึ้นเป็นรัฐมนตรี ต่างประเทศ เคร์รีได้พบหารือกับ อัลเบิร์ต เดล โรซาริโอ (Albert Del Rosario) รัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์ ผู้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันสุดๆ ให้สหรัฐฯแสดงบทบาททางยุทธศาสตร์ในเอเชียอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา นอกจากนั้นเขาได้เข้าเยี่ยมคำนับประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน (Benigno Aquino) ผู้ซึ่งได้ออกมากล่าววิพากษ์วิจารณ์อย่างแรงๆ ต่อการที่จีนประกาศเขต ADIZ...สำหรับเรื่องที่เกิดความชะงักงันในการเจรจาระหว่างฟิลิปปินส์กับ สหรัฐฯ ว่าด้วยการที่แดนตากาล็อกจะอนุญาตให้ทหารอเมริกันหมุนเวียนเข้าไปใช้ฐานทัพ เรืออ่าวซูบิก (Subic) และฐานทัพอากาศคลาร์ก (Clark) ได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยความติดขัดในเวลานี้อยู่ที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ว่ากองทหารและ ยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯซึ่งจะตั้งอยู่บนแผ่นดินฟิลิปปินส์จากการนี้ จะมีฐานะเช่นไรและถือเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายใด ทั้งนี้เคร์รีแสดงท่าทีเร่งผลักดันให้ทำข้อตกลงกันโดยเร็ว และเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้แก่มะนิลา ระหว่างการเยือนคราวนี้ เคร์รีได้เสนอให้ความช่วยเหลือในด้านเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล และในด้านการต่อต้านการก่อการร้ายเป็นมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์แก่ฟิลิปปินส์ด้วย
การประกาศเขต ADIZ ของจีน คือการเดินหมากที่กลายเป็นการเสนอโอกาสงามๆ ให้ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ สามารถยกระดับฐานะทางยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเขาโดยแท้ และก็เป็นการเปิดช่องทางให้มหาอำนาจแปซิฟิก 2 รายนี้ยกระดับสายสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ระดับทวิภาคีที่พวกเขามีอยู่กับ ฟิลิปปินส์และเวียดนาม ในเวลาเดียวกับที่โน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้อาเซียนต่อต้านจีน ซึ่งทำท่าจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางทะเลและเสรีภาพในการเดินเรือทะเล ในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปว่าแดนมังกรจะตอบโต้อย่างไร ต่อสิ่งที่ปักกิ่งมองเห็นว่า เป็นความพยายามแบบมีการประสานงานคล้องจองกันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อขีดวงจำกัดการก้าวผงาดขึ้นมาและการแผ่อิทธิพลของตน
http://ordnancefighter.blogspot.com/2014/01/richard-javad-heydarian.html