ความคืบหน้าโครงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยในงบประมาณปี ๒๕๕๙ข่าวที่มีสื่อหลักรายงานออกมาเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง
ในการเสนอแผนพัฒนาและจัดหายุทโธปกรณ์กองทัพไทยประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ต่อคณะรัฐมนตรีนั้น
นอกจากในส่วนกองทัพอากาศที่กล่าวถึงการพัฒนาระบบ Network Centric สำหรับการรบเป็นเครือข่ายของ
อากาศยานรบหลักโดยเฉพาะเครื่องบินขับไล่ Gripen และขยายไปยัง F-16 และ F-5 ให้สมบูรณ์ รวมถึงการย้าย
โรงเรียนนายเรืออากาศจากดอนเมืองไปอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีที่คาดว่าจะแล้วเสร็จใน ๓-๔ ปี ข้างหน้านั้น
ยังมีข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของทั้งสามเหล่าทัพอีกบางรายการด้วย
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวพาดพิงถึงรายงานข่าวการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพในสื่อกระแสหลักที่แทบจะทุกครั้ง
จะมีความผิดพลาดและคลาดเคลื่อนมาก จนสร้างความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
และองค์กรหรือหน่วยงานในกองทัพเจ้าของโครงการบ่อยครั้ง ซึ่งประเด็นนี้เป็นปัญหาหามานานแล้วของนักข่าว
สายการเมืองบางคนที่พอทำงานข่าวติดตามนายทหารระดับสูงบางคนก็เรียกตนเองว่า"นักข่าวสายทหาร" ได้แล้ว
(เราไม่อยากรู้หรอกว่าใครจะโดนย้ายไปไหน หรือใครจะได้ตำแหน่งอะไร หรือใครเป็นพวกใครรุ่นอะไรสายไหน)
แต่พอทำรายงานข่าวการจัดหายุทโธปกรณ์ออกมาเผยแพร่ผ่านสื่อให้ประชาชนทั่วไปรับทราบกลับไม่มีความถูกต้อง
เหมือนไม่เคยค้นหาข้อมูลประกอบ แย่กว่านั้นคือไม่รู้อะไรเลยแต่บิดเบือนลงข้อมูลมั่วหรือใส่ข้อความอันเป็นเท็จ
จนเกิดความเสียหายแก่หน่วยงานนั้น (อย่างที่เรียกว่า "นั่งเทียนเขียนข่าว") โดยมีพื้นฐานว่าโครงการนั้นต้องโกง
ต้องทุจริตเสมอ แถมส่วนใหญ่เมื่อมีการชี้แจงกลับว่าข่าวนั้นผิดกลับไม่มีการขอโทษหรือชี้แจงอะไรด้วย เพราะอาศัย
ความเป็นฐานนันดรที่ ๔ ปกป้องตนเอง ซึ่งนั่นเป็นปัญหามานานแล้วของสื่อหลักในไทยเกี่ยวเรื่องความมั่นคง
และการทหาร จนทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่รับสื่อขาดความเข้าใจที่ถูกต้องอันดีและมีอคติต่อกองทัพ (หนึ่งในคำถาม
น่าเบื่อหน่ายตลอดกาล "ซื้ออาวุธมาแสนแพงจะไปรบกับใคร?" รวมถึงคำอื่นๆจากกลุ่มที่ต่อต้านกองทัพทุกเรื่อง
อย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงที่มีอยู่จำนวนหนึ่งด้วย) ในกรณีนี้ก็คือข่าวที่ว่ากองทัพเรือไทยจะตั้งโครงการจัดหา
เรือดำน้ำใหม่เข้าประจำการจำนวน ๒-๓ ลำ ซึ่งถึงขั้นมีการลงข้อมูลไปแล้วว่าเลือกแบบเรือ U209 ที่ต่อในเกาหลีใต้
เพราะราคาถูกสุดลำละ ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท จนทำให้กองเรือดำน้ำซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงการ
ต้องออกมาชี้แจงผ่าน Facebook Page ประชาสัมพันธ์ของหน่วยว่าข้อมูลดังกล่าวคาดเคลื่อนจากความจริงมาก
เพราะถึงกองทัพเรือจะมีการเสนอโครงการจัดหาเรือดำน้ำจริงแต่ขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลจากบริษัท
ประเทศต่างๆที่นำมาเสนอเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่กองทัพเรือมีการเสนอโครงการไปแล้วจึงจะมีหนังสือให้บริษัทผู้ผลิต
ยื่นข้อเสนอตามกำหนดรายละเอียดคุณลักษณะตามที่กองทัพเรือต้องการอีกทีก่อน บริษัทผู้ผลิตจึงจะยื่นเสนอรายละเอียด
เรือพร้อมราคาและเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกต่อไป โดยในปี ๒๕๕๗ ที่ผ่านมามีตัวแทนบริษัทประเทศต่าง ๆ นำเสนอแบบ
เรือดำน้ำให้กองทัพเรือรับทราบข้อมูลอยู่บ้าง เช่น
Rosoboronexport รัสเซียเสนอแบบเรือ Project 636 KILO และ AMUR 1650 ซึ่งเคยรายงานไปแล้ว
http://www.namo.navy.mi.th/index.php/today/detail/content_id/3096DSME สาธารณรัฐเกาหลีเสนอแบบเรือ DSME1400
และ DCNS ฝรั่งเศสแบบเรือ Scorpene1000 และ Scorpene2000
https://www.facebook.com/pages/Submarine-Squadron-กองเรือดำน้ำ-กองเรือยุทธการ/222887361082619
ซึ่งก็ตามที่กล่าวไปในข้างต้นว่าเป็นการบรรยายนำเสนอข้อมูลให้กองทัพเรือทราบเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยื่นราคา
แบบเรือแข่งขันในโครงการจัดหาแต่อย่างใดครับ เพราะฉะนั้นที่สื่อรายงานข่าวว่ากองทัพเรือเลือกแบบเรือ
และกำหนดราคาไปแล้วจึงไม่ถูกต้องตามความจริงอย่างมาก โดยเฉพาะตอนนี้เองรัฐบาลมีรายจ่ายที่จะต้องใช้
แก้ปัญหาต่างๆอีกเป็นจำนวนมากในปี ๒๕๕๘ นี้ ทั้งเรื่องภัยธรรมชาติ ปัญหาผลผลิตการเกษตร และอื่นๆที่มี
ผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ถ้ามีข่าวการอนุมัติโครงการจัดหาเรือดำน้ำในช่วงนี้แน่นอนว่าจะถูกประชาชน
ส่วนใหญ่โจมตีว่าไม่เหมาะสมอย่างมากครับ (อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ การที่รองนายกรัฐมนตรีเคยกล่าว
ให้สัมภาษณ์กับสื่อเรื่องโครงการจัดหาเรือดำน้ำมาก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคมปีที่แล้วนั้น ส่วนตัวคิดว่าเหมือน
เป็นการบอกกองทัพเรือแบบอ้อมๆด้วยซ้ำไปครับว่า ถึง ครม.จะไม่ขัดข้องแต่ขอให้กองทัพเรือกลับไปพิจารณา
ก่อนเสนอให้ดีก่อน อย่าเพิ่งตั้งโครงการเรือดำน้ำตอนนี้จะดีกว่า เพราะติดขัดเรื่องงบประมาณและความเหมาะสม
และถ้ากองทัพเรือจะโดนฝ่ายการเมืองกดดันเรื่องการเลือกแบบเรือดำน้ำด้วยแล้วกองทัพเรือคงไม่ยอมครับ
เพราะถ้าจะโดนเช่นนั้นขอยอมให้ก็ยกเลิกโครงการไม่เอาเรือดีกว่า เพราะถ้าได้เรือที่ไม่ตรงกับความต้องการ
และคุณภาพไม่ดี จะไม่คุ้มค่าและเสี่ยงต่อความปลอดภัยของกำลังพลที่จะต้องใช้ในระยะยาวครับ)
ด้านกองทัพบกไทยมีสองโครงการที่เป็นข่าวคือโครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปทดแทน ฮ.ท.๑ UH-1H
ระยะที่๓ วงเงิน ๒,๘๐๐ ล้านบาท ซึ่งน่าจะคือโครงการจัดหา ฮ.ท.๗๒ UH-72A ระยะที่ ๓ ในรูปแบบ FMS
ก็น่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ครับหลังจากที่จัดหาระยะแรกซึ่งเครื่องชุดนี้น่าจะส่งมอบในเดือนเมษายนปีนี้
ตามกำหนดการณ์เดิม ๖ เครื่อง และการอนุมัติจัดหาระยะที่ ๒ อีก ๙ เครื่อง ในปีที่ผ่านมารวม ๑๕ เครื่อง
ที่มา Page ศูนย์การบินทหารบก
https://www.facebook.com/pages/ศูนย์การบินทหารบก/203323443120577
อีกโครงการคือโครงการจัดหาเครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธี ๑ เครื่อง วงเงิน ๑,๒๕๐ ล้านบาท ซึ่งน่าจะนำมา
ทดแทนเครื่องบินลำเลียงเก่าที่ปลดไปแล้วอย่าง Short 330-UTT ที่เคยประจำการ ๒ เครื่อง และเสริมเครื่องบิน
ลำเลียงทางยุทธวิธี บ.ล.๒๑๒ CASA C-212 ที่มีประจำการอยู่ ๒ เครื่อง ซึ่งจัดหามาตั้งแต่ปี ๒๕๔๐
มีข่าวลือออกมานานแล้วครับว่ามีแบบเครื่องสองแบบที่กองทัพบกสนใจจะจัดหาคือ EADS CASA C-295 สเปน
และเครื่องบินลำเลียงขนาดกลางของ Antonov ยูเครนที่มีข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่กองทัพบกไปดูงานที่ยูเครนมาแล้ว
แต่รายงานข่าวจากสื่อส่วนนี้ก็มีความคาดเคลื่อนเช่นกันที่เสนอว่าแบบเครื่องที่สนใจคือ An-30 ที่เป็นเครื่องบิน
ตรวจการณ์ถ่ายภาพทางอากาศที่ดัดแปลงจาก An-24 ซึ่งเก่าและปิดสายการผลิตไปนานมากแล้ว แบบเครื่องจริง
น่าจะเป็น Antonov An-32 มากกว่า โดยมีข้อมูลว่ากองทัพอากาศอิรักเพิ่งจัดหาไป ๖เครื่องเมื่อปี 2012 เข้าใจว่า
สายการผลิตน่าจะมีอยู่ซึ่ง An-32 เองก็มีรุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ เครื่องวัดประกอบการบิน และระบบ Avionic
แบบตะวันตกทั้งของสหรัฐฯ อิสราเอล และยูเครนเองให้เลือกด้วย
โดยความเห็นส่วนตัวถ้าให้เลือกระหว่าง C-295 กับ An-32 แล้ว C-295 หรือเครื่องบินลำเลียงตะวันตกแบบอื่น ๆ
น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ
อย่างไรก็ตามในช่วงหลังมานี้นับตั้งแต่การจัดหา ฮ.ท.๑๗ Mi-17V5 เป็นต้นมา โอกาสของอากาศยานจากรัสเซีย
หรือค่ายตะวันออกในกองทัพบกมีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นก็ไม่แน่สำหรับโอกาสของเครื่องบินลำเลียง
Antonov ในกองทัพบก เพราะถึงจะเผชิญกับสงครามภายในเขต Donbass จากการแทรกแซงของรัสเซีย แต่ยูเครน
ก็ยังผลิตอาวุธส่งออกต่างประเทศได้เรื่อยๆตลอดครับ
ในส่วนของกองทัพอากาศไทยก็มีโครงการหลักโครงการเดียวคือการจัดหาเครื่องบินฝึกขับไล่ทดแทน บ.ขฝ.๑
L-39ZA/ART ฝูงบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ ๔๐๑ จำนวน ๔ เครื่อง วงเงิน ๓,๗๐๐ ล้านบาท ซึ่งตามสื่อนั้นรายงานว่า
ตอนนี้มีแบบเครื่องสามแบบที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของกองทัพอากาศคือ
KAI T-50 สาธารณรัฐเกาหลี
Alenia Aermacchi M-346 อิตาลี
และ Textron AirLand Scorpion สหรัฐฯ
เหตุผลที่ Yak-130 รัสเซีย และ L-15 จีนน่าจะถูกตัดออกไปเข้าใจได้ไม่ยากครับ เพราะระบบเครื่องไม่ได้เป็น
อากาศยานรบมาตรฐาน NATO ที่กองทัพอากาศใช้เป็นระบบหลักพื้นฐานในปัจจุบัน ซึ่งตัวเลือกที่เป็นไปได้
มากที่สุดก็ตามที่เคยเสนอไปแล้วครับว่าคือมี KAI T-50 และ M-346 ซึ่งน่าจะสูสีกันมาก โดยเหตุผลที่ Scorpion
อาจจะตกออกไปในท้ายสุดก็เนื่องจากถึงสมรรถนะจะตรงความต้องการของกองทัพอากาศเช่นเดียวกับ KAI T-50
และ M-346 ก็ตาม แต่ Scorpion ยังมีเพียงเครื่องต้นแบบเครื่องเดียวและยังไม่มีประเทศใดประกาศจัดหา
ไปประจำการอย่างเป็นทางการในขณะนี้ ถ้าเทียบกับ KAI T-50 และ M-346 ที่มีสายการผลิตจำนวนมากแล้ว
อย่างไรก็ตามในตอนที่ตั้งโครงการจัดหาเครื่องบินฝึกขั้นก้าวหน้าทดแทน บ.ฝ.๑๑ T-33 เมื่อ๒๐ปีก่อนนั้น
L-39ZA/ART ก็เป็นม้ามืดที่ชนะโครงการถูกเลือกมาแล้วครับ เพราะเครื่องที่เข้าแข่งขันในขณะนั้นอย่าง AMX อิตาลี
หรือ BAE Hawk ไม่สามารถสู้ราคาและปรับแต่งเครื่องตามความต้องการของกองทัพอากาศไทยตอนนั้นได้
ถ้า Textron AirLand เสนอ Scorpion ในราคาถูกมากพร้อมข้อตกลงที่น่าสนใจสำหรับกองทัพอากาศแล้ว
โอกาสเกิดของ Scorpion ก็ไม่แน่ก็ได้ครับ
http://aagth1.blogspot.com/2015/01/blog-post.htmlวิเคราะห์ได้ดี ด่านักข่าวได้เจ็บจี๊ด ๆ ครับ