ว่ากันด้วยเรื่อง " ชายเจ้าชู้ "

Copyมาครับ

พูดถึง “ชายเจ้าชู้” แล้ว ผมใคร่ขอเสนอความเห็นลักษณะของ “ชายเจ้าชู้” เท่าที่ได้รับฟัง หรืออ่านเรื่องราวมา ออกเป็น ๕ ลักษณะดังนี้

๑. เจ้าชู้ยักษ์ คงมาจากเรื่อง “รามเกียรติ์” ตอนที่ทศกัณฐ์เกิดหลงรักนางสีดา พระชายาพระราม แล้วใช้กำลัง หรืออำนาจที่เหนือกว่า ฉุดคร่า ลักพาตัวนางไป ดังนั้น พวกที่มีเมียแล้ว อยากมีอีกหลายคน หากอีกฝ่ายไม่สมยอม หรือติดขัดด้วยมีสามีอยู่แล้ว พวกนี้จะใช้กำลังเข้าปล้ำ ข่มขืน ลักพา แบบทศกัณฐ์ อันที่จริงทศกัณฐ์ก็อยากจะปล้ำนางสีดาเหมือนกัน แต่พอแตะตัวนางเท่านั้น เหมือนถูกไฟกรดในนรกเผาผลาญ ยังไงยังงั้น นางสีดาเลยรอดมือทศกัณฐ์มาได้ จนได้มาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ด้วยการลุยไฟ จนเป็นชื่อติดปากของนักทานอาหารประเภทพิสดารพวกหนึ่ง ที่ตั้งชื่อการทรมานสัตว์ที่จะกินเสียสวยหรูว่า “สีดาลุยไฟ” เวรกรรม เวรกรรรม

๒. เจ้าชู้เทวดา เมื่อมียักษ์ ก็ต้องมีเทวดา เป็นของคู่กัน เทวดายังต้องเสพกาม ดังนั้น จะเจ้าชู้กับเขาบ้างไม่ได้เชียวหรือ แต่การเจ้าชู้แบบเทวดานั้น ต่างกับยักษ์ คือ ไม่ใช้กำลัง และไม่ทำอะไรที่มันผิดศีลธรรม เพราะคุณธรรมของเทวดาก็คือ “ความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป” ชายที่เจ้าชู้แบบเทวดานี้ คงจะเหมือนกับท่านสุนทรภู่ น่ะแหละ เพราะเทวดานั้น หล่อ และดีพร้อม สาว ๆ หรือแม้แต่นางฟ้า ก็อยากรุมตอม ทีนี้พอมีปัญหา อาจจะเกิดเพราะความเบื่อหน่าย หรือสาวเจ้าทนหึงหวงไม่ไหว ก็เลยมีปากเสียงทะเลาะกัน ก็เลยเลิกรากันไป จะด้วยฝ่ายหนึ่งขอเลิกรา หรือยินยอมที่จะเลิกรากันไปทั้งสองฝ่าย มันเป็นเรื่องของ “เวรกรรม” ครับ ที่เกิดมาหล่อ และเสน่ห์แรง เลยต้องเปลี่ยนคู่บ่อย เลยช้ำใจบ่อย

๓. เจ้าชู้ไก่แจ้ คงเคยได้ยินนะครับ “พ่อไก่แจ้” น่ะ แล้วเจ้าไก่แจ้เนี่ยะ มันเจ้าชู้จริง ๆ หรือ คนเขาถึงเอามันมาตั้งสมญานามให้กับคนเจ้าชู้ อันนี้คนที่ไม่เคยเลี้ยงไก่แจ้ จะไม่รู้หรอกครับ ไก่ประเภทนี้ คนมักจะเอาไปปล่อยวัด ถ้าจะเลี้ยง มักเลี้ยงไก่อู หรือไก่ชน มากกว่า เขาว่า ไก่แจ้นั้น ชอบผสมพันธุ์กับตัวเมียไม่เลือก ไก่ต่างพันธุ์ มันก็จะผสม ทั้งที่ตัวมันน่ะเล็กกว่ากันด้วย วัน ๆ ไม่ทำอะไร ป้อไปป้อมา พอตัวเมียเข้าใกล้ เผลอไผล เป็นเสร็จมันแน่ ๆ ขนาดมีคนเอามันไปแต่งนิทานวงเหล้า หรือ Dirty Joke (นิทานลามก) เลยทีเดียว ผู้ชายประเภทนี้ ก็เหมือนกับไก่แจ้น่ะแหละ คือ หมกมุ่นอยู่ในกิเลสตัณหาราคะ มีความอยากในอารมณ์อยู่เนืองนิตย์ เจอสาวใด คลำดูแล้วไม่มีหาง เป็นฟันดะ ไม่มีคุณธรรม ความดีอะไรทั้งนั้น ขอให้ได้ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์ กล มนต์ คาถา เป็นนำมาใช้หมด ผู้ชายอย่างขุนแผน อยู่ในข่ายนี้ครับ

๔. เจ้าชู้หมาหยอกไก่ นึกภาพ “หมาหยอกไก่ “ ออกไหมครับ หมาที่มันหยอกไก่น่ะ ไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกับไก่หรอกนะครับ มันหยอกเพื่อหวังจะขะม้ำคอไก่เอาไปกินน่ะสิ มันทำทีเล่นทีจริง ทำเป็นมิตร หลอกให้ไก่ตายใจ พอเข้าใกล้ เผลอเมื่อไร เป็นเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนหมา เปรียบได้กับชายที่ไม่มีความหล่อ ความสามารถอื่นใดที่จะชนะใจสาว ก็เลยหากลวิธี “ทำดี” จะเรียกว่า “เจ้าบุญทุ่ม” ก็คงจะได้ พวกนี้ตอนที่เข้ามาทำดีนั้น ไม่แสดงออกหรอกครับ ว่า ทำดีแล้วหวังในตัวสาวเจ้า ทำตัวน่านับถือมาก จนสาวคิดว่า “เขาเอ็นดู” ไม่คิดว่า “เขาจะให้ดูเอ็น” พอตายใจเมื่อไร โอกาสเปิดเมื่อไร เสร็จโก๋แน่ อ้อ ส่วนมาก ชายเจ้าชู้หมาหยอกไก่เนี่ยะ มักจะเป็นคนสูงอายุ หรือมีอายุต่างจากสาวเจ้าสักหน่อย ประเภท “เฒ่าหัวงู” เหมือนหมาน่ะครับ มันโตกว่าไก่เยอะ ก็เลยทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ไก่ หลอกให้ไก่ตายใจ แล้วค่อยเขมือบภายหลัง แน่นอน ชายเจ้าชู้ประเภทนี้ อาจจะมีลูกเมียอยู่แล้ว หรือหลอกสาวไปฟันชั่วครั้งชั่วคราว ไม่จริงจัง จริงใจอะไร ก็จัดอยู่ในประเภทคนชั่วชนิดหนึ่งแหละครับ

๕. เจ้าชู้ประตูดิน ผมได้ยินคำนี้มานานนะครับ นึกภาพยังไงก็ยังนึกไม่ออกว่า ประตูดินน่ะ หน้าตามันเป็นยังไง หรือคนโบราณเขาทำประตูกันด้วยดิน ใครทราบที่มาของคำนี้ บอกด้วยนะครับ แต่ที่นำมาเขียนเนี่ยะ ก็เพราะเคยได้ยิน และนึกเปรียบเทียบเอาเองว่า น่าจะได้แก่พวกผู้ชายเจ้าชู้ เหมือนกับประตูติดดิน อ้อ ลืมบอกไป บ้านในสมัยก่อน เขาไม่มีประตูอย่างที่เราเห็นนะครับ เขาป้องกันคนขึ้นบ้านด้วยวิธีการทำตัวบ้านสูง ๆ และมีกระได หรือ บันได ที่สามารถชักขึ้นไปเก็บได้บนบ้าน แค่นี้ใครจะเข้ามาในบ้านที่มีใต้ถุนสูง ๆ ก็คงจะทำไม่ได้ นอกเสียจากไปเรียนวิชาตัวเบาจาก “ชอลิ้วเฮียง” มาเท่านั้น

ไอ้ที่ว่าประตูติดดินนั้น น่าจะเป็นประตูที่เสีย ไม่รักดี ชักขึ้นมาไม่ได้ เพราะจมโคลนกรณีน้ำท่วมใต้ถุนบ้าน หรือติดดินน่ะแหละ หรืออีกกรณีหนึ่ง ประตูรั้ว หรือประตูบ้านที่ทำด้วยไม้ ในกรณีที่บ้านเป็นพื้นดิน ไม่ใช่เทคอนกรีตนะครับ บางทีปิดเปิดลำบาก เพราะการขยายตัวของไม้ หรือการเพิ่มพูนของดิน เปรียบได้กับผู้ชายที่เจ้าชู้ ที่ทำตัว “ติดสาว” เหล่สาว จีบสาวไปทั่วทุกบ้าน เข้าบ้านโน้น ออกบ้านนี้ ได้หรือไม่ได้ (สาว) ว่ากันทีหลัง ขอความสุขใจที่ได้พูดได้คุยกับสาวไว้ก่อน ผู้ชายประเภทนี้ไม่ค่อยน่ากลัว หรือเป็นภัยกับสาว ๆ สักเท่าไร เพราะอย่างไรเสียก็ยังอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ที่อยู่ในบ้าน และคงไม่กล้าไปทำอะไรรุ่มร่ามในบ้านของสาวเจ้าเป็นแน่ เพราะขืนทำอย่างนั้น แทนที่จะได้ลูกสาวเจ้าของบ้าน กลับได้ลูกปืนแทน อย่างนี้ก็ตายแหงแก๋ หมดสภาพประตูพอดี

ที่มาของเจ้าชู้ประตูดิน

ก็นี่ไงครับเดี๋ยวผมจะเล่าที่มาให้ฟัง คำว่าเจ้าชู้ประตูดิน ใช้กันมานานแล้ว ที่ต้องเป็นคำว่าต่อว่าประตู ดินก็ เพราะประตูดินในที่นี้ คือประตูศรีสุดาวงศ์ในพระบรมมหาราชวัง เป็นประตูทางเข้าออกเขตชั้นใน ซึ่งเป็นที่อยู่ของบรรดาหญิงชาว วัง ซึ่งผู้ชายเข้าไม่ได้ หนุ่มๆที่อยากดูสาวชาววังก็ ต้องรอตอนสาวชาววังออกมาจับจ่าย ซื้อหาข้าวของนอก ประตูถึงจะได้เห็น แต่จะไปเกี้ยวแบบเดินไปขอเบอร์แบบเดี๋ยวนี้ไม่ได้นะ เพราะเค้ามีคนมาเฝ้า และที่หน้าประตูก็มีโขลน หรือตำรวจวัง ด้วย สุ่มสี่สุ่มห้เดินทะเล่อทะล่าเข้าไปจีบ เดี๋ยวเป็นไปโดนดี คราวนี้พอสาวชาววังออกมา หนุ่มๆก็จะไปคอยดักดูอยู่แถวหน้าประตูดินที่ว่านี่ แหละหวังจะทำความรู้จักด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่าเจ้าชู้ประตูดินนั่นเอง แถมบางครั้ง มีสร้อยคำต่อท้ายด้วยว่า
"เจ้าชู้ประตูดิน หมูหมาเกี้ยวสิ้นไม่เลือกหน้า"

	ผู้เขียน	หัวข้อ: ว่ากันด้วยเรื่อง " ชายเจ้าชู้ " (อ่าน 7814 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้