เห็นด้วยกับ อาจารย์ สุพินท์ ครับ
ต่อไปผมจะพยายามศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อนบ้านเทียบเคียงด้วย แต่ก็คงปลงใจไม่ได้ว่าอันไหนจริง เพราะไม่ได้พบกับตัวเอง
ลองดูตอนเสียกรุงครั้งที่สองซิครับ พม่าเขียนถึง king ของไทยเรา ดีกว่าคนไทยเรากันเองเสียอีก
ตอนเสียกรุงครั้งที่สองที่ทำเป็นละคร พอเข้าใจคร่าวๆว่า มีการแก่งแย่งราชสมบัติ เจ้าฟ้าอุทุมพรเสด็จออกผนวช เจ้าฟ้าเอกทัศครองราช ชื่อ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์แต่มิได้ทรงพระปรชาสามารถอะไร มีขุนนางทรยศ ตกลงบ้านเมืองเรามีวิบากกรรมเสียกรุงเพราะปัญหาความซื่อสัตย์ตลอดเลยนะครับ ไม่ทราบว่าที่ผมเข้าใจนี้ถูกต้องครบถ้วนหรือเปล่าครับ
ตอนเสียกรุงครั้งที่สอง พงศาวดารพม่าเขียนไว้ว่าทางกรุงศรีอยุธยาได้ทำการรบอย่างสุดความสามารถ นักประวัติศาสตร์มองว่าเหตุที่เสียกรุง เนื่องจากความเพลี้ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์ มากกว่าสาเหตุอื่น
ข้างฝ่ายพม่าคงจะมองภาพในฐานะเป็นคู่ศึก คือมองจากภายนอก ไม่ทราบความเป็นไปภายในวัง และผมคิดว่าเป็นวิสัยของคนไทย ที่เมื่อมีศึกสงครามมาประชิดติดเมืองจะเกิดความสำนึกรักชาติและสู้จนตัวตาย ไม่สนใจว่าผู้นำทัพจะเป็นอย่างไร
ผู้นำทัพได้ทำการปกป้องพระนครอย่างสุดความสามารถ ความเชื่อที่ว่า ผู้นำไม่เข้มแข็ง , การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น , การทรยศของขุนนางชั้นสูง จนเป็นเหตุให้เสียพระนคร ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ว่ากันภายหลังทั้งนั้น
จุดที่ทำให้แพ้ คือ อยุธยา ยังใช้ยุทธวิธีเดิมในการป้องกันพระนคร โดยใช้แม่น้ำล้อมรอบ รอฤดูน้ำหลากมาท่วมทัพข้าศึก และจะแต่งทหารเรือเข้าโจมตีระหว่างนั้น ทัพพม่าอ่านกลยุทธ์นี้ออก โดยเลือกจุดตั้งทัพหลวงที่โคก มีการเตรียมเสบียงให้เพียงพอ พอจนถึงฤดูน้ำลด
ในขณะที่ภายในพระนคร ถูกตัดขาดจากภายนอก เสบียงเริ่มร่อยหรอ คาดว่าทัพพม่าจะถอนทัพไปก่อน ก่อนที่ตนจะหมดเสบียง หวังการหน้าจะหาเสบียงเพิ่มเติม ครั้นพอทัพพม่ายันได้ถึงฤดูน้ำลด ภายในพระนครก็ไม่สามารถฝ่าล้อมหาเสบียงเพิ่มได้
ทัพที่มาล้อม เป็นทัพใหญ่ มีการเตรียมการณ์เป็นอย่างดี ไม่ใช่ทัพโจร อย่างที่เราเรียนกันมา
ด้วยเหตุนี้ พอถึงสงครามเก้าทัพ ยุทธศาสตร์การป้องกันพระนครจึงเปลี่ยนไป