*** หุ้ น 2 5 5 7 ***

เอาข่าวมาฝากครับ สำหรับเกษตรกรไทยที่ต้องเจอในต้นปีหน้าครับ ไหว้

11/25/2009 12:16:46 PM
เขตการค้าเสรีอาเซียน... : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

25 พ.ย.--ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

Distributor - Bisnews AFE
ปีที่ 15 ฉบับที่ 2693 วันที่ 25 พฤศจิกายน 2552

เขตการค้าเสรีอาเซียน...ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทย
(ฉบับส่งสื่อมวลชน)

ในวันที่ 1 มกราคม 2553 ประเทศในกลุ่มอาเซียนเดิม 6 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และบรูไน มีข้อผูกพันจะต้องลดภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มโดยแยกเป็นน้ำมันจากเนื้อปาล์ม
ทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันบริสุทธิ์ ( พิกัด 1511.10 และ1511.90) และน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดปาล์มทั้งน้ำมัน
ดิบและน้ำมันบริสุทธิ์ (พิกัด 1513.21 และ1513.29) ซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่ในบัญชีสินค้าปกติ(Inclusion
List: IL) เป็นร้อยละ 0 (จะเห็นได้ว่ามีฟิลิปปินส์เพียงประเทศเดียวที่ยังคงภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ
และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มดิบไว้ที่ร้อยละ 3) ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนใหม่ 4 ประเทศ คือ กัมพูชา
ลาว เวียดนาม และพม่า จะลดภาษีน้ำมันปาล์มเป็นร้อยละ 0 ภายในปี 2558
การลดภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มเหลือร้อยละ 0 ตามกรอบข้อตกลงอาฟตา และการยกเลิกโควตานำ
เข้านับเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลอย่างมากต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับ
ธุรกิจน้ำมันปาล์ม เนื่องจากน้ำมันปาล์มของไทยมีต้นทุนการผลิตสูงไม่สามารถแข่งขันกับน้ำมันปาล์มของ
มาเลเซียได้ เป็นผลมาจากมาเลเซียมีศักยภาพการผลิตปาล์มน้ำมันได้สูงถึง 3.2 ตัน/ไร่/ปี ขณะที่ไทยผลิต
ปาล์มน้ำมันได้เพียง 2.9-3 ตัน/ไร่/ปีเท่านั้น นอกจากนี้ มาเลเซียได้เปรียบไทยในเรื่องต้นทุนการผลิต
เนื่องจากมีการเพาะปลูกปาล์มเป็นแปลงขนาดใหญ่ มีต้นทุนค่าขนส่งน้อย จากการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อ
แหล่งปลูกปาล์มน้ำมันสู่โรงงานแปรรูป รวมทั้งยังมีต้นทุนปุ๋ยและสารเคมีการเกษตรถูกกว่าไทยถึงร้อยละ 50
โดยเฉลี่ยราคาน้ำมันปาล์มมาเลเซียถูกกว่าไทยประมาณร้อยละ 25 การนำเข้าตามโควตาเสียภาษีร้อยละ
20 เมื่อบวกกับค่าขนส่งและค่าบริหารจัดการ ส่งผลราคาใกล้เคียงกับน้ำมันปาล์มของไทย แต่ตามข้อตกลง
อาฟตาที่ไทยต้องลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ก็เท่ากับว่าราคาน้ำมันปาล์มจากมาเลเซียราคาถูกกว่าประมาณร้อย
ละ 20 นอกจากนี้ จุดแข็งของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของมาเลเซียก็คือ การสกัดน้ำมันแยกระหว่างน้ำมัน
จากเนื้อปาล์ม และน้ำมันเมล็ดในปาล์ม นอกจากนี้ น้ำมันปาล์มที่จำหน่ายมีทั้งน้ำมันเกรดสูงหรือเกรดเอ
และน้ำมันปาล์มเกรดต่ำหรือเกรดบี ในขณะที่การผลิตน้ำมันปาล์มของไทยส่วนใหญ่เป็นการสกัดรวมกัน ทำให้
น้ำมันปาล์มที่ได้เป็นน้ำมันเกรดต่ำหรือเกรดบี คาดว่าในปี 2553 มาเลเซียจะเร่งผลักดันน้ำมันปาล์ม
บริสุทธิ์เกรดต่ำเข้ามาขายในประเทศไทย และใช้ไทยเป็นทางผ่านส่งเข้าไปขายในประเทศลาวและพม่า
ด้วย ซึ่งน้ำมันปาล์มชนิดนี้ไทยสามารถผลิตได้เพียงพอใช้ในประเทศ แต่มาเลเซียมีกำลังการผลิตจำนวนมาก
และมีต้นทุนการผลิตถูก จึงขายได้ในราคาต่ำกว่าไทย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยผันแปรสำคัญที่จะทำให้ผลกระทบของการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มของไทยนั้นมากหรือน้อย
เพียงใด ได้แก่
1.สถานการณ์น้ำมันปาล์มในตลาดโลก กระทรวงเกษตรฯของสหรัฐฯคาดการณ์ว่าในปี 2552/53
ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 44.10
ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 ในขณะที่คาดการณ์ว่าความต้องการนำเข้าน้ำมันปาล์มมี
แนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 34.45 ล้านตัน ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา หลังจากความต้องการนำเข้า
น้ำมันปาล์มเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2552 นี้ เนื่องจากความต้องการของประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่
สุดของโลกได้แก่ จีนและอินเดียเพิ่มขึ้น รวมทั้งความต้องการน้ำมันปาล์มของประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพ
ยุโรป ปากีสถาน สหรัฐฯ บังคลาเทศ อียิปต์ อิหร่าน และญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้
ความแห้งแล้งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับหนึ่งของโลก ทำให้น้ำมันปาล์มอาจปรับ
ตัวเพิ่มขึ้นสูงจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ปริมาณการผลิตมีแนวโน้มลดลง คาดการณ์ว่าราคา
น้ำมันปาล์มในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 7 ในไตรมาสแรกปี 2553 หลังในช่วงที่ผ่านมาของปี 2552
ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นไปแล้วร้อยละ 31

บัญชีสมดุลน้ำมันปาล์มของโลก
ล้านตัน
2550/51 2551/52 2552/532/
สต็อกต้นปี 4.17 4.12 4.65
ปริมาณการผลิต 40.94 42.32 45.02
การนำเข้า 30.74 34.13 34.45
การส่งออก 32.28 34.72 35.06
การใช้ในประเทศ 39.44 41.71 44.1
-ใช้เพื่ออุตสาหกรรม 8.37 8.31 9.08
-ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร 30.38 32.67 34.26
สต็อกปลายปี 4.12 4.65 4.97

ที่มา : USDA. Oilseeds : World Markets and Trade. November 2009.
หมายเหตุ : 1/ ข้อมูลเฉพาะน้ำมันจากเนื้อปาล์ม ส่วนน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มนั้นมีสัดส่วนร้อยละ 10 ของ
การผลิตน้ำมันปาล์มทั้งหมด
2/คาดการณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2552

สำหรับในประเทศไทยคาดการณ์ว่าในช่วงปลายปี 2552 ไปจนถึงต้นปี 2553 ราคาน่าจะทรงตัวอยู่
ในระดับกิโลกรัมละ 4 บาท จากที่ในช่วงต้นปี 2552 ไทยต้องเผชิญปัญหาราคาผลปาล์มดิบตกต่ำจนกระทั่ง
รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงตลาด ราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลจากการซื้อขายผลปาล์มดิบโรงงานจะซื้ออิง
ราคาน้ำมันปาล์มดิบประเทศมาเลเซีย ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นจากตันละ 2,070 ริงกิตต่อตัน เป็น 2,200 ริงกิต
ต่อตัน ประกอบกับราคาน้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันพืชที่ใช้ทดแทนกันได้ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันก็
เป็นช่วงที่ผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดน้อย นอกจากนี้ จำนวนผู้ประกอบการโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่ปัจจุบันมีอยู่
ทั่วประเทศประมาณ 55 บริษัท 64 โรงงาน ถือว่ามีจำนวนค่อนข้างมากได้แข่งขันกันรับซื้อผลปาล์มดิบ ขณะ
เดียวกันมีโรงงานที่อยู่ระหว่างเพิ่มกำลังผลิตและขยายโรงงานอีกบางส่วน ดังนั้นถ้าการก่อสร้างแล้วเสร็จ
สถานการณ์การแข่งขันกันรับซื้อผลปาล์มดิบมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สาเหตุที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มมีทั้งเพิ่ม
กำลังผลิตและสร้างโรงงานแห่งใหม่นั้น เนื่องจากการลงทุนโรงงานสกัดน้ำมันสามารถคืนทุนได้ในเวลาที่
รวดเร็ว จึงน่าจะเป็นแรงงจูงใจให้ผู้ประกอบการทั้งสร้างใหม่ และขยายเพิ่มกำลังผลิต
2.ศักยภาพการผลิตน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ความต้องการน้ำมันปาล์มที่มีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งจีนและอินเดีย รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมัน
ปาล์มในอุตสาหกรรมผลิตไบโอดีเซล เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้
คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มของทั้งอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มอันดับหนึ่ง
ของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 2553 กล่าวคือ คาดการณ์ว่าการส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียในปี
2553 เพิ่มขึ้นเป็น 15,580 พันตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 โดยตลาดส่งออกหลักของอินโดนีเซีย คือ จีน
อินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และปริมาณความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 5,000 พันตัน
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ส่วนมาเลเซียนั้นคาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มลดลงเหลือ 15,700
พันตัน หรือลดลงร้อยละ 1.9 ส่วนปริมาณการใช้ในประเทศอยู่ในระดับ 3,140 พันตัน ซึ่งเมื่อเทียบกับปี
2552 แล้วอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

เปรียบเทียบบัญชีสมดุลน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
พันตัน
อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย
2551/52 2552/531/ 2551/52 2552/531/ 2551/521/ 2552/531/
การผลิต 19,500 20,000 17,259 18,500 1,464 1,5003/
การนำเข้า 770 760 700 700 166 2304/
การส่งออก 14,650 15,580 16,000 15,700 195 200
การบริโภคในประเทศ2/ 4,875 5,000 3,151 3,140 1,220 1,270
สต็อกปลายปี 745 925 1,200 1,660 323 5834/
ที่มา : USDA. Oilseeds : Worl Markets and Trade November 2009.
หมายเหตุ : 1/ ประมาณการ
2/การบริโภคในประเทศรวมการผลิตน้ำมันพืชเพื่อบริโภค ใช้ในอุตสาหกรรม และผลิตไบโอ
ดีเซล
3/ปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นทยอยให้ผลผลิตทุกปี ผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยกเว้นในปีที่
สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
4/ผลกระทบจากอาฟตา

ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือ แม้ว่าทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซียพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันปาล์มบ้าง แต่ก็
นับว่าเป็นปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งออก อีกทั้งปริมาณการนำเข้าก็ค่อนข้างอยู่ในระดับใกล้เคียง
กันในแต่ละปี โดยคาดการณ์ว่าในปี 2553 อินโดนีเซียต้องนำเข้าน้ำมันปาล์ม 760 พันตัน เมื่อเทียบกับปีที่

	ผู้เขียน	หัวข้อ: * หุ้ น 2 5 5 7 * (อ่าน 981147 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้