เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #9660 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 12:19:58 AM » |
|
อิ อิ ตอนนี้ ทองถูก ใครเงินเย็น น่าสะสมไว้นะ
ผมว่าต้นปีหน้า 27000 แน่ ตอนนี้ 23950 ไม่เกินสามเดือน
ผมเคยซื้อราวๆหมื่นนึงบวกลบ หลายสิบบาท ขายได้หมื่นหก ดีใจแทบแย่ครับพี่ป้อมทอง ขายไม่นาน ตั้งแต่มันไปสองกว่า หัวใจสลาย ไม่กี่วันก่อนเพื่อนเพิ่งโทรถาม เพราะผมเคยเอาทองแท่งให้เค้าดู บอกจะซื้อดีมั้ย23,xxx ผมตอบไม่ถูก ใจก็คิดว่ามันคงไม่ลงมากไปกว่านี้ ในช่วงนี้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 2329
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 84478
|
|
« ตอบ #9661 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 05:29:37 AM » |
|
ยิ่งใกล้ปีใหม่ยิ่งซึมนะครับพี่คาฯ ผมว่า ปีก่อนๆก็แบบนี้ พวกต่างชาติหยุดงานไปเที่ยวคริสมาสแล้ว วอลุ่มก็จะหดลงๆ เล่นไปก็ไม่ได้ตังค์ เสียสายตาดูจอ พักก่อนดีกว่า เปิดต้นปี2555 งบไตรมาส4 ปี2554ออกล่ะสิทีนี้ ข่าวร้ายรออยู่เพียบ รอซื้อของถูกดีก่า ดีครับ กลับซื้อถูก แต่เดี๋ยวเจอถูกกว่าอีก (ผม ประจำ) แต่ทยอยซื้อก็ดีนะครับ กำไรน้อยหน่อยแต่ก็เสี่ยงต่ำด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 2329
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 84478
|
|
« ตอบ #9662 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 05:31:43 AM » |
|
อิ อิ ตอนนี้ ทองถูก ใครเงินเย็น น่าสะสมไว้นะ
ผมว่าต้นปีหน้า 27000 แน่ ตอนนี้ 23950 ไม่เกินสามเดือน
น่าสะสมจริงครับพี่ป้อม ชักสงสัยพี่ป้อมทำ Finance หรือตำรวจกันเนี่ยยยยยยย 55555 Merry X' Mas & Happy New เมียครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #9663 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 10:45:12 AM » |
|
อิ อิ ตอนนี้ ทองถูก ใครเงินเย็น น่าสะสมไว้นะ
ผมว่าต้นปีหน้า 27000 แน่ ตอนนี้ 23950 ไม่เกินสามเดือน
น่าสะสมจริงครับพี่ป้อม ชักสงสัยพี่ป้อมทำ Finance หรือตำรวจกันเนี่ยยยยยยย 55555 Merry X' Mas & Happy New เมียครับ Post ก่อน, เรียกตนเองเป็นผู้พันดัน... ต้นปีหน้าเป็นผู้พันรวยทอง... เย้...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #9664 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 12:16:53 PM » |
|
พอร์ตเล็กโตไว/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Link : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50794 Credit : คุณ little wing และ ดร.นิเวศน์ ครับ ^^"
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 ธันวาคม 54 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าหุ้นตัวเล็กนั้นมักจะโตเร็วกว่าหุ้นตัวใหญ่ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่งหรือชีวิตทั้งหลายในโลก เด็กต้องโตเร็วกว่าผู้ใหญ่ บริษัทเล็กมักโตเร็วกว่าบริษัทใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของสิ่งที่เล็กหรือชีวิตที่เล็กก็มักจะสูงกว่าสิ่งที่ใหญ่หรือชีวิตที่เติบโตขึ้นมาแล้ว ความเสี่ยงที่ว่าก็คือ หุ้นตัวเล็กหรือชีวิตที่เล็กนั้น อาจจะง่อยเปลี้ยหรือล้มหายตายจากไปได้ง่ายกว่าหุ้นตัวใหญ่หรือชีวิตที่โตขึ้นมามากแล้ว ในเรื่องของการลงทุนนั้น คนที่มีพอร์ตหรือมีเงินลงทุนจำนวนน้อยนั้น มีทางเลือกหรือมีโอกาสที่จะโตเร็วกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ แต่ก็จะต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงที่ว่าก็คือ แทนที่พอร์ตจะโตเร็วก็กลายเป็นพอร์ตขาดทุนเสียหายไปมากมาย อย่างไรก็ตาม คนที่มีพอร์ตเล็กหลายคนอาจจะบอกว่าเขารับได้ เหนือสิ่งอื่นใด เขายังมีรายได้จากแหล่งอื่นที่จะเข้ามาลงทุนต่อหรือสามารถ แก้ตัว ได้ มาดูกันว่าทำไมพอร์ตเล็กจึงสามารถที่จะโตได้ไวกว่าพอร์ตใหญ่
ข้อแรกก็คือ คนที่มีพอร์ตเล็ก ซึ่งผมคิดว่าเงินลงทุนไม่ควรเกิน 10 ล้านบาท นั้น สามารถที่จะซื้อหุ้นได้เกือบทุกตัวในตลาดหุ้นโดยที่จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายนัก นั่นย่อมหมายความว่าคนที่มีพอร์ตเล็กมีหุ้นให้เลือกลงทุนได้มากกว่าคนพอร์ตใหญ่ ทำให้สามารถหาหุ้นที่อาจจะตัวเล็กแต่มีโอกาสในการเติบโตสูงกว่าปกติ แน่นอน คนที่พอร์ตใหญ่ก็สามารถซื้อหุ้นตัวเล็กได้ แต่เขาอาจจะซื้อได้เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ดังนั้น ถึงแม้ว่าหุ้นตัวนั้นจะทำกำไรให้เขาได้เป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว แต่เม็ดเงินที่ได้นั้นก็จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตโตขึ้นเท่าไรนัก ตัวอย่างเช่น นายเล็กมีพอร์ต 1 ล้านบาท เขาซื้อหุ้น A ซึ่งเป็นหุ้นตัวเล็ก 2 แสนบาท หุ้นขึ้นไป 2 เท่าภายในเวลาเพียง 1 ปี ดังนั้น เฉพาะหุ้นนี้เพียงตัวเดียวก็ทำกำไรให้คุณเล็กแล้ว 4 แสนบาทหรือเท่ากับ 40% ของพอร์ตแล้ว ในเวลาเดียวกัน ถ้านายใหญ่ซื้อหุ้น A เช่นเดียวกันด้วยเงินจำนวน 1 ล้านบาท กำไรของคุณใหญ่จะเท่ากับ 2 ล้านบาทภายในเวลาหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม พอร์ตของคุณใหญ่เท่ากับ 100 ล้านบาท ดังนั้น ผลตอบแทนที่คุณใหญ่ได้จากการลงทุนในหุ้น A ก็คือ 2% ของพอร์ต ซึ่งถือว่ามีผลน้อยมากต่อผลตอบแทนรวมของเขา
ข้อสอง คนที่มีพอร์ตเล็กนั้น สามารถที่จะ Focus หรือลงทุนในหุ้นน้อยตัวได้มากกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ หลายคนลงทุนในหุ้นตัวเดียวหรือสองตัวในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้น ถ้าหุ้นตัวนั้นขึ้นไปสูงมาก เช่น 3-4 เท่าในเวลาหนึ่งปี ผลตอบแทนของเขาในปีนั้นก็จะเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ในทางตรงกันข้าม คนพอร์ตใหญ่มักจะมีหุ้นจำนวนมากตัวกว่ามาก หุ้นแต่ละตัวอาจจะมีมูลค่าเพียง 5-10% ของพอร์ต ดังนั้น แม้ว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะขึ้นไป 3-4 เท่า แต่หุ้นตัวอื่น ๆ ก็อาจจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นนัก บางตัวก็ลดลง ด้วยเหตุนั้น ผลตอบแทนรวมของพอร์ตก็อาจจะเป็นแค่ 30-40% ซึ่งก็ถือว่ามาก แต่ก็ยังห่างไกลจากคนที่มีพอร์ตเล็ก
ข้อสาม คนพอร์ตเล็กหลายคนที่อยากจะรวยเร็วจากหุ้นนั้น สามารถที่จะใช้มาร์จินหรือกู้เงินเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อซื้อหุ้น ดังนั้น ในยามที่เขาซื้อหุ้นได้ ถูกตัว คือหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง ผลตอบแทนก็จะ ทวีคูณ จากร้อยก็อาจจะกลายเป็นสองร้อย จากสองร้อยก็อาจจะกลายเป็นสี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเวลาหนึ่งปี ในขณะเดียวกัน คนที่มีพอร์ตใหญ่นั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะคิดว่าชีวิตตนเองก็อยู่ในสภาพที่ดีมากอยู่แล้ว เขาไม่อยากเสียมันไป แม้ว่าการใช้มาร์จินอาจจะทำกำไรให้เขามากขึ้น แต่ถ้าพลาด เงินของเขาจะสูญไปมาก และนั่นจะเป็นสิ่งที่ เจ็บปวด มากกว่า ความสุข ที่จะได้จากผลตอบแทนที่จะได้มากขึ้น ชั่งน้ำหนักแล้ว เขาจึงมักจะใช้มาร์จินน้อยกว่าหรือไม่ใช้มาร์จินเลย
ข้อสี่ คนพอร์ตเล็กที่อยากรวยเร็ว มักจะเทรดหรือซื้อขายหุ้นมากกว่าคนพอร์ตใหญ่ เขาสามารถเข้าหรือออกจากหุ้นได้ง่ายเนื่องจากปริมาณหุ้นที่เขาซื้อขายนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นในแต่ละวัน แนวทางของเขาก็อาจจะเป็นว่า เขาจะซื้อหุ้นในช่วงต้น ๆ ก่อนที่หุ้นจะมี Story หรือเรื่องราวดี ๆ แล้วขายเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วและสูงเนื่องจากการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นของนักเล่นหุ้นเมื่อหุ้นนั้นเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุน เขามักจะไม่รอให้ผลประกอบการออกมาเพื่อยืนยันว่าบริษัทนั้นมีพื้นฐานที่ดีจริง ๆ หรือไม่ ด้วยวิธีนี้ การทำกำไรจากหุ้นของเขาจะทำได้หลายรอบกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ที่ไม่สามารถ หมุนหุ้น ได้หลาย ๆ รอบในหนึ่งปี จริงอยู่ คนที่มีพอร์ตใหญ่ก็สามารถซื้อ ๆ ขาย ๆ เข้าออกหุ้นได้หลาย ๆ รอบ แต่นั่นก็ทำได้เฉพาะกับหุ้นขนาดใหญ่มากเช่นหุ้นในกลุ่มการเงิน พลังงาน สื่อสาร ซึ่งหุ้นเหล่านี้มักจะใหญ่เกินกว่าที่จะมี Story ดี ๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อนราคาหุ้นได้มากนัก
นักลงทุนที่พอร์ตยังเล็กบางคนนั้น ค่าที่ต้องการจะโตอย่างรวดเร็วที่สุดที่จะทำได้ เขาจึงใช้เทคนิคหรือแนวทางทุกอย่างที่กล่าวถึงข้างต้นนั่นคือ ซื้อหุ้นตัวเล็กที่อาจจะมีสภาพคล่องต่ำแต่ก็ไม่น้อยเกินไปสำหรับเขา เขาลงทุนถือหุ้นเพียงตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมดที่มี เขาเล่นหุ้นที่จะมีสตอรี่หรือเรื่องราวดี ๆ เช่น อาจจะเป็นหุ้นที่กำลัง ฟื้นตัว หรือบริษัทกำลังมีรูปแบบหรือ โมเดลการทำธุรกิจใหม่ หรือ วัฏจักรธุรกิจกำลังเป็น ขาขึ้น อย่างแรง ต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อซื้อแล้วและหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้น อาจจะด้วยเหตุผลที่คาดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขาเชื่อว่าหุ้นกำลังจะ วิ่ง เขาก็จะใช้มาร์จินเต็มวงเงินเพื่อซื้อหุ้นเพิ่ม และถ้าหากว่าหุ้นขึ้นไปอีก จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม รวมถึงผลจากการที่มีเม็ดเงินจากเขาเองเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่ม เขาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มอีกโดยใช้มาร์จินที่จะเพิ่มขึ้นตามราคาหุ้นที่เพิ่ม กระบวนการ อัดมาร์จิน แบบนี้ บางครั้งก็ทำให้ราคาหุ้น โดยเฉพาะของหุ้นขนาดเล็ก วิ่งขึ้นไปแรงมาก เป็นหลาย ๆ เท่าตัวในเวลาอันสั้น เนื่องจากบางครั้ง การ อัดมาร์จิน ที่ว่านั้น ไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีนักลงทุนรายอื่นเข้ามาเล่นด้วย
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็เป็นการมองหรือวิเคราะห์ในด้านหนึ่งที่เป็นด้านที่สดใส เป็นด้านที่ทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น และมักจะเป็นในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุด ๆ และนั่นทำให้นักลงทุนพอร์ตเล็กจำนวนไม่น้อยทำผลตอบแทนมหาศาลจนกลายเป็นนักลงทุนพอร์ตกลางและพอร์ตใหญ่ภายในเวลาไม่กี่ปี อย่างไรก็ตาม ถ้าหันมามองอีกด้านหนึ่ง นักลงทุนพอร์ตเล็กจำนวนที่มากกว่ามาก ที่ทำการลงทุนแบบเดียวกัน นั่นคือ ลงทุนในหุ้นตัวเล็ก ถือหุ้นเพียงตัวเดียวหรือสองตัวในพอร์ต ใช้มาร์จินซื้อหุ้นเต็มอัตรา และเล่นหุ้นที่มี สตอรี่ แบบเดียวกัน เพียงแต่ว่าในกรณีหลังนี้ เขาเข้ามาซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นได้ขึ้นไปสูงสุดกู่แล้ว และก็ต้องขายในช่วงที่หุ้นตกต่ำลงมา ผลลัพธ์ก็คือ เขาขาดทุนย่อยยับ กลายเป็นนักลงทุนที่ พอร์ตเล็กเหมือนเดิม ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปี เหตุผลที่เขาก็ยังมีพอร์ตลงทุนอยู่ได้ก็คือ เขายังมีแหล่งเงินจากที่อื่นที่จะมาลงทุนได้เสมอตราบที่ยังมีความหวังว่าจะรวยจากตลาดหุ้นได้
คนพอร์ตเล็กนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางในแนวที่ผมพูดถึงและผมเองก็ไม่แนะนำให้เดินทางสาย รวยเร็ว แต่มีความเสี่ยงสูงมากอย่างที่กล่าว แน่นอน คนที่สำเร็จและเป็น Role Model ของนักลงทุนพอร์ตเล็กที่รวยเร็วมากนั้น ทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่อยากทำตาม หลายคนคิดว่า ไม่มีอะไรจะเสีย แต่ผมคิดว่าโอกาสชนะก็น้อยมาก ยังมีแนวทางการลงทุนแบบอื่นที่อาจจะให้ผลไม่ต่างกันนักในระยะยาวแต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
ป้อมทอง พรานชุมไพร
ดับบาป ด้วยบุญปืน
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 780
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 6885
นรชาติวางวาย สถิตย์ไว้ แต่ความดีประดับไว้โลกา
|
|
« ตอบ #9665 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 04:21:20 PM » |
|
อิ อิ ตอนนี้ ทองถูก ใครเงินเย็น น่าสะสมไว้นะ
ผมว่าต้นปีหน้า 27000 แน่ ตอนนี้ 23950 ไม่เกินสามเดือน
น่าสะสมจริงครับพี่ป้อม ชักสงสัยพี่ป้อมทำ Finance หรือตำรวจกันเนี่ยยยยยยย 55555 Merry X' Mas & Happy New เมียครับ เช่นกันครับ แต่นิวเมีย นะ คงขอผ่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
รักกันไว้เถอะ เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหนๆ ก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเพณีไม่มีขีดคั่น เกิดเป็นไทยนั้นปวงชนทุกคนคือไทย
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #9666 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 11:41:59 PM » |
|
เกษียณก่อนกำหนด/ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
Value Investor หนุ่มสาวผู้มุ่งมั่นจำนวนไม่น้อยมักคิดถึงเรื่องการ เกษียณก่อนกำหนด บางคนบอกว่าอยากเลิกทำงานประจำตั้งแต่อายุ 40-50 ปี โดยที่พวกเขามักวางแผนและกำหนดเป้าหมายว่าจะมีเงินเพียงพอที่จะใช้ไปได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำงานหรือเรียกว่ามี อิสรภาพทางการเงิน ได้ในวันที่เกษียณ หลังจากนั้น เขาก็จะลงทุนเพียงอย่างเดียวและใช้ชีวิตและเวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เขาชอบและเป็นประโยชน์ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดและเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนตั้งนั้นได้กำหนดเป้าอย่างสมจริงและมีเหตุผลดีพอหรือไม่ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายที่เขาต้องใช้ในอนาคตนั้นอาจจะมากกว่าปัจจุบันที่เขายังเป็นหนุ่มโสดที่ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบคนอื่นนอกจากตนเอง บางทีเขาอาจจะตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวต่อปีโดยเฉลี่ยสูงกว่าที่เขาจะทำได้จริง ๆ เช่นตั้งไว้ถึงปีละ 15% ซึ่งเป็นสถิติระดับโลก เป็นต้น
ในฐานะของคนที่ผ่านชีวิตการ เกษียณก่อนกำหนด มาแล้ว ผมคิดว่าการตั้งเป้าหมาย เกษียณก่อนกำหนด อาจจะไม่มีความจำเป็นเลย ว่าที่จริงผมเองไม่เคยตั้งเป้าเกษียณก่อนกำหนดด้วยซ้ำ ผมคิดว่าชีวิตคนนั้นไม่มีวันเกษียณ วันที่เกษียณก็คือวันที่เราตาย ดังนั้น ผมจึงคิดแต่ว่าเราจะทำงานไปเรื่อย ๆ ถ้างานนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับแรงงานและเวลาที่เราเสียไปรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการทำงานนั้นด้วย การที่คิดว่าตนเองมีเงิน พอ นั้น เราอาจจะลืมเผื่อความปลอดภัย หรือ Margin Of Safety ไว้ ลองนึกดูว่า ถ้าเรามีเงินที่อยู่ในหุ้น 20 ล้านบาทแล้วเราคิดว่าเราสามารถเลิกทำงานประจำได้ เราลาออกจากงาน แต่แล้วตลาดเกิดวิกฤติราคาหุ้นของเราตกลงมาเหลือเพียง 10 ล้าน อิสรภาพทางการเงินของเราอาจจะหายไป ดังนั้น การทำงานประจำต่อไปเรื่อย ๆ อาจจะเป็นการเพิ่ม Margin Of Safety และทำให้เรามีเงินมากขึ้น รวยขึ้น และมีความสุขเพิ่มขึ้น
การที่จะ เกษียณ เมื่อไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราจะต้องพิจารณากันในช่วงเวลานั้น การตั้งเป้าล่วงหน้าไปไกล ๆ นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยเฉพาะถ้ามันจะทำให้เรากำหนดเป้าหมายหรือกลยุทธ์ที่บีบรัดตัวเองมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เราต้อง เสียสละ ความสุขมากเกินไป เพื่อที่จะไปถึง เป้าหมาย ที่เราคิดว่ามีความหมายมากในวันนี้แต่อาจจะไม่มีความหมายเมื่อเราไปถึง ผมคิดว่า ชีวิตคือการเดินทาง เราต้องพยายามมีความสุขกับมันตลอดเส้นทาง เป้าหมายของชีวิตที่เราพูดถึงนั้น แท้ที่จริงมันคือหลักไมล์ต่าง ๆ ที่เราวางแผนจะเดินผ่าน การมี อิสรภาพทางการเงิน นั้นเป็นหลักไมล์ที่สำคัญเพราะมันเป็นจุดที่ทำให้เราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่เราชอบและมีความสุขได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะต้องเกษียณจากงานประจำถ้างานประจำนั้นยังให้ผลตอบแทนต่าง ๆ คุ้มค่าและเรา เลือก ที่จะทำต่อไป
ในความเห็นของผมนั้น แผนของชีวิตที่เราควรมีและกำหนดให้ชัดเจนก็คือ แน่นอน เราควรมีเงินเท่าไรในแต่ละช่วงชีวิต เช่น เมื่ออายุ 40 ปี 50 ปี 60 ปี และในวันที่เราตายที่ 80 ปี เป็นต้น สิ่งที่ต้องนำมาคิดคำนวณก็คือ รายได้จากการทำงานที่ควรจะต้องเพิ่มขึ้น ผมคิดว่าควรตั้งไว้ว่าเงินรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 5-7% รายจ่ายนั้น สิ่งสำคัญก็คือ เรื่องของครอบครัว จะต้องคำนึงถึงเรื่องการเลี้ยงดูและให้การศึกษากับลูก ๆ และการดูแลพ่อแม่ถ้ามี ในกรณีนี้คนที่ยังเป็นโสดอาจจะคาดการณ์ได้ยากกว่าเพราะยังไม่มีสถิติและข้อมูลในอดีตและปัจจุบันที่จะบอกว่าต้องใช้เงินเท่าไร รายจ่ายอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะต้องตั้งไว้ก็คือ รายจ่ายสำหรับรายการใหญ่ ๆ เช่น การซื้อบ้านเป็นของตนเองถ้ายังไม่มี การเดินทางท่องเที่ยวไกล ๆ หรือต่างประเทศ เช่น บางคนอาจตั้งว่าจะเดินทางเฉลี่ยปีละครั้งหรือสองปีครั้ง เป็นต้น
แผนการเงินที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การออมและการลงทุน นี่อาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการที่เราจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 60 ปี ควรจะกำหนดเป็นเป้าหมายว่า เราจะออมโดยเฉลี่ยเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ผมคิดว่าอย่างน้อย 10 % นี่คงต้องคำนึงถึงรายจ่ายของแต่ละคนที่มีภาระไม่เท่ากัน คนที่มีบ้านอยู่แล้วส่วนใหญ่น่าจะสามารถเก็บออมได้ดีกว่าคนที่ไม่มีบ้านและต้องผ่อนส่งอยู่ จะเก็บออมกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ควรคำนึงถึงว่าเงินที่เหลืออยู่นั้นไม่ทำให้ชีวิตของเราขัดสนจนหาความสุขไม่ได้
การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการออม ไม่ควรตั้งเป้าผลตอบแทนเกิน 10% ต่อปีโดยเฉลี่ยยกเว้นว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีฝีมือสูง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าในระยะยาวหุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีความสะดวกในการทยอยลงทุนได้ดีกว่าหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอย่างอื่น ดังนั้น ควรตั้งเป้าว่าเงินออมของเรา อย่างน้อยจะต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 50% โดยเฉลี่ย นั่นจะเป็นเครื่องมือในการคุมให้ตนเองอยู่กับหุ้นได้ในยามที่ตลาดหุ้น ไม่ดี ซึ่งมักจะเป็นโอกาสดีของการลงทุนในหุ้น
จากแผนทั้งหมดที่กล่าวถึง เราก็อาจจะสามารถกำหนดหลักไมล์คร่าว ๆ ได้ว่าเราจะมี อิสรภาพทางการเงิน เมื่อเรามีอายุเท่าไร แผนที่ดีนั้น เราควรคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณปีละ 3% ไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้เงิน 20 ล้านบาทในวันนี้อาจจะไม่พอในวันที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงินในอีก 20 ปีข้างหน้า เป็นไปได้ว่าเราอาจจะไม่มีอิสรภาพทางการเงินได้จริง ๆ ก่อนอายุ 60 ปี ซึ่งทำให้เราไม่สามารถเกษียณก่อนกำหนดได้ตามที่หวังไว้ อย่าเสียใจหรือท้อถอย ชีวิตคือ การเดินทาง เงินคือปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้การเดินทางง่าย สะดวก และน่ารื่นรมย์ แต่มันไม่จำเป็นต้องมากจนเหลือเฟือ คนรวยจำนวนมากกลับทุกข์มากกว่าคนชั้นกลาง เช่นเดียวกัน คนเกษียณก่อนกำหนดก็ไม่ได้มีความสุขกันทุกคน หลายคนที่ผมรู้จักบ่นว่า เขาไม่รู้จะทำอะไรหลังจากกลับจากการท่องเที่ยวหลายแห่งทั่วโลกหลังจากการเกษียณก่อนกำหนด ข้อแนะนำสุดท้ายของผมสำหรับคนที่มองถึงการเกษียณก่อนกำหนดก็คือ เราต้องมั่นใจว่ามีสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ทำแล้วมีความสุขจริงในระยะยาว ผมเตือนเรื่องนี้เพราะมักได้ยินคนบางคนพูดถึงเรื่องการสอนหนังสือหลังจากการเกษียณก่อนกำหนด เหตุผลก็คือ การบรรยายหรือการสอนหนังสือเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ส่วนใหญ่เราจะรู้สึกดีมีความสุข แต่การสอนนักเรียนที่ต้องมาฟังเราทุกสัปดาห์เพื่อให้สอบได้นั้น บางทีเราอาจจะไม่รู้สึกสนุกหรืออยากทำก็ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #9667 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2011, 11:45:03 PM » |
|
วิถีมหาเศรษฐี / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor
W. Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่น ๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่าง ๆ ของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1) ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหาหรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้อง เงินจะมาเอง
2) รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่า อะไรคือความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้ว งานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุขและเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ วอเร็น บัฟเฟตต์เคยบอกกับซูซี่อดีตภรรยาที่ล่วงลับไปในตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ว่า เขาจะต้องรวย เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนักหรือมีความเก่งเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะเขาเกิดมาด้วยทักษะที่ถูกต้อง ในสถานที่ที่ถูกต้อง และในเวลาที่ถูกต้อง นั่นคือ ทักษะในการจัดสรรเงินทุน หรือก็คือ การลงทุนนั่นเอง
3) เป็นนายของตัวเอง คุณไม่สามารถรวยได้โดยการทำงานให้คนอื่น เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายกับ Value Investor เพราะนักลงทุนนั้น ทุกคนเป็นนายของตัวเอง
4) เสพติดความทะเยอทะยาน คนเราทุกคนต่างก็เสพติดอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างในชีวิต เราติดกาแฟ ติด Internet ติดเหล้า ติดเซ็กส์ ติดอำนาจ เราต้องคิดว่าติดอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์ มหาเศรษฐีบอกว่า ไม่มีความมั่งคั่งถ้าไม่มีความทะเยอทะยาน ทำอะไรสำเร็จแล้วก็ต้องพยายามทำให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนั้นมีด้านมืด มันอาจทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินไปและเป็นอันตราย ความทะเยอทะยานนั้นควรจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนและเราจะต้องไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือการควบคุมของเรา
5) ตื่นเช้า มาถึงก่อน เริ่มตั้งแต่อายุน้อย ในเรื่องของการทำงานทั่วไปและในฐานะของผู้บริหารหรือผู้ประกอบการนั้นผมคิดว่าต้องทำทั้งสามเรื่อง แต่ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าการเริ่มตั้งแต่อายุน้อยนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงและเป็นเศรษฐีได้ง่ายที่สุด แนวทางข้อนี้ค่อนข้างจะต้องสัมพันธ์กับข้อสอง นั่นคือ ถ้าคุณสามารถค้นพบตัวเองว่าเก่งทางไหนตั้งแต่อายุน้อย ความสำเร็จก็ไม่หนีไปไหน
6) อย่าตั้งเป้าหมาย ลงมือทำให้สำเร็จทีละน้อย เดินหน้าไปทุกวัน เป้าหมายหรือแผนธุรกิจนั้น พอเขียนเสร็จก็ล้าสมัยแล้ว มหาเศรษฐีบางคนไม่มี Business Plan และไม่ตั้งแม้แต่เป้ายอดขายด้วยซ้ำ ข้อนี้ฟังดูเหลือเชื่อ ผมคิดว่าเป้าหมายคงอยู่ในใจและเป็นเป้ากว้าง ๆ ที่จะช่วยบอกทิศทาง พวกเขาเน้นที่การปฏิบัติว่าต้องได้ผลมากกว่าการตั้งเป้าแต่ปฏิบัติไม่สำเร็จ นักลงทุนเองก็ควรคิดว่า Execution หรือการปฏิบัตินั้น สำคัญกว่าเป้าหมายมาก ถ้าเราลงทุนแล้วพอร์ตเราโตขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละความสำเร็จ
7) อย่ากลัวความล้มเหลว ทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือ กล้าที่จะล้มเหลว และล้มเหลวต่อหน้าสาธารณชนด้วย ทุกคนจะต้องเคยล้มเหลวมาบ้าง ไม่มีใครประสบความสำเร็จตลอดโดยที่ไม่มีความล้มเหลวมาคั่น ถ้าเรากลัวความล้มเหลว เราจะไม่กล้าทำอะไร ว่าที่จริง ไม่มีคำว่าล้มเหลวยกเว้นว่าคุณจะเลิก การลงทุนนั้นก็เช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จตลอด อย่าเลิกเมื่อขาดทุนหนัก สู้ต่อไป วันหนึ่งเราจะชนะ
ทำเลไม่สำคัญ ทำเลที่ว่านี้คือสถานที่ที่คุณอยู่หรือที่ที่คุณทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองไหน คุณสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ต้องย้ายไปอยู่เมืองใหญ่หรือเมืองธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่เรามีเครือข่ายการสื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพ ว่าที่จริง บัฟเฟตต์นั้น อยู่ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา ซึ่งเป็นเมืองทางการเกษตรมาตั้งแต่เริ่มธุรกิจลงทุนเมื่อ 50 ปีก่อนที่การสื่อสารยังไม่ดีนัก แทนที่จะอยู่ที่นิวยอร์คหรือบอสตันที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุน ผมเองคิดว่านักลงทุนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กรุงเทพถึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ว่าที่จริง ยิ่งห่างอาจจะยิ่งดี
9) ยึดมั่นในจรรยาบรรณทางธุรกิจ นี่เป็นกฎเหล็กที่สำคัญที่สุด วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดว่า ชื่อเสียงนั้นใช้เวลา 20 ปีในการสร้าง แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาทีในการทำลาย ดังนั้นคุณต้องสำนึกไว้ตลอดเวลา
10) เน้นที่การขาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าบางสิ่งบางอย่างจะถูกขายออกไป นักลงทุนไม่ได้ขายอะไร แต่ต้องรู้ว่า บริษัทที่เราลงทุนนั้นขายอะไร และการขายเป็นหัวใจของความสำเร็จของบริษัท และเป็นความสำเร็จของราคาหุ้น ในความรู้สึกของผม ผมคิดว่า VI จำนวนมากชอบดูกำไรซึ่งเป็นบันทัดสุดท้าย แต่ไม่ค่อยดูยอดขายที่เป็นบันทัดแรกในงบการเงิน
11) ขอยืมไอเดียจากคนที่เก่งที่สุดและคนที่แย่ที่สุด การอ่านประวัติและวิธีคิดของคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมคิดว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้
12) ไม่มีวันเกษียณ การเกษียณจะทำให้ชีวิตคุณล้มเหลว การเกษียณเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเกษียณเป็นอันตรายต่อความสนุกในชีวิต อันตรายต่อความมั่งคั่งส่วนตัว นักลงทุนไม่มีวันเกษียณ บัฟเฟตต์ และ มังเจอร์ อายุเกือบ 80 ปีแล้วยังทำงานทุกวัน แม้แต่ปีเตอร์ ลินช์ หรือ จอห์น เนฟฟ์ ที่เกษียณจากการบริหารกองทุนรวมแต่พวกเขาก็ยังบริหารกองทุนส่วนตัวอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #9668 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2011, 11:30:15 PM » |
|
หนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้นผมคิดว่าเขาน่าจะมีวิธีการและ/หรือคุณสมบัติที่สำคัญอย่างน้อย 3-4 อย่างดังที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้
ข้อแรกคือ เขาจะต้องมี ความรอบรู้ ความฉลาดหลักแหลม ความสามารถในการวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคตของธุรกิจต่าง ๆ หลายอย่าง คนที่เก่งมาก ๆ ในด้านนี้มักจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนอัจฉริยะในด้านของการลงทุน หลาย ๆ คนมักจะเป็นคนที่มี IQ ค่อนข้างสูง
ข้อสอง เขาจะต้องทำงาน เป็นคนขยันไม่เกียจคร้าน โดยเฉพาะที่เป็นงานเกี่ยวกับการลงทุน การหมั่นค้นคว้าหาโอกาสในการลงทุน ต้องเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก คนที่ทำงานมาก ๆ เป็น Workaholic หรือคนบ้างาน ก็จะมีโอกาสได้รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานและข้อมูลสำคัญสำหรับการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จ คนที่สามารถทำงานหนัก ๆ ได้มากนั้น นอกจากจะต้องเป็นคนหนุ่มสาวและมีสุขภาพดีแล้ว เขามักจะต้องมี Passion หรือความหลงใหลในการลงทุนที่รุนแรงด้วย
ข้อสาม เขาจะต้องมี EQ หรือความสามารถทางอารมณ์ที่จะควบคุมตนเองไม่ให้ผันผวนไปตามภาวะของตลาดและราคาหุ้น มีความสามารถที่จะคิดได้อย่างเป็นอิสระด้วยตนเอง และสามารถปฏิบัติตามแผนและนโยบายที่ได้วางไว้อย่างมั่นคง
ข้อสี่ เขาจะต้องมีความเข้าใจหรือมี Sense หรือ ความรู้สึกหรือไหวพริบเกี่ยวกับภาวะของผู้คนและนักลงทุนในตลาด Sense นี้เป็นเรื่องยากที่จะสอนกัน แต่การลงทุนมานานผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็ช่วยให้เรามี Sense ดีขึ้นได้
คุณสมบัติทั้งสี่ข้อนี้ ผมคิดว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวต้องมี อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่คน ๆ หนึ่งจะมีคุณสมบัติดีเด่นในทุกข้อ โดยปกติแล้ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีคุณสมบัติข้อหนึ่งข้อใดหรือสักสองข้อที่เด่น และมีคุณสมบัติในข้อที่เหลือพอใช้ แบบนี้เขาก็จะประสบความสำเร็จได้ ว่าที่จริง เซียน หรือคนที่ประสบความสำเร็จมากนั้น มักจะมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมาก ๆ จริง ๆ เพียงบางข้อเท่านั้น และนั่นยังเป็นการแบ่งแยกด้วยว่าเขาเป็น เซียน ประเภทไหน
คนที่อาศัยความรอบรู้หรือ IQ ทางการลงทุนเป็นหลักมักจะเป็น เซียน ระดับอัจฉริยะที่มักจะประสบความสำเร็จสูงและมีชื่อเสียงยาวนาน ตัวอย่างก็แน่นอน ประเภท วอเร็น บัฟเฟตต์ บิล มิลเลอร์ จอห์น เทมเปิลตัน คนเหล่านี้จะมีความคิดและความเข้าใจลึกซึ้งมากในด้านของการลงทุนและของกิจการ พวกเขาจะสามารถมองเหตุการณ์ไปข้างหน้าได้ไกลกว่าและถูกต้องกว่า และลงทุนซื้อหุ้นจำนวนมากเพื่อรอเก็บเกี่ยวผลในระยะยาวซึ่งผลการลงทุนนั้นมักจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง นักลงทุนทั่วไปมักจะชื่นชมและยกย่องพวกเขา หลังจาก เห็นผลแล้ว แต่ในขณะที่พวกเขากำลังซื้อหุ้นนั้น เรามักจะแปลกใจและคิดว่าพวกเขากำลังคิดผิด เราไม่อยากซื้อหุ้นตามพวกเขาเพราะเรามองว่าหุ้นที่พวกเขากำลังซื้อนั้นดูไม่น่าจะดีและเราไม่เข้าใจว่าเขาซื้อทำไม
คนที่อาศัยความขยันทำงานหนักเป็นหนทางสู่ความสำเร็จนั้น คือคนที่อาจจะเข้าสำนักงานตั้งแต่เช้าตรู่และกลับบ้านเมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว พวกเขาต้องอ่านบทวิเคราะห์เป็นสิบ ๆ เล่มในแต่ละสัปดาห์และต้องเข้าประชุมฟังการบรรยายของบริษัทจดทะเบียนเกือบจะทุกวัน เวลาที่ว่างจากการอ่านพวกเขาก็มักจะต้องพูดโทรศัพท์เพื่อหาข้อมูลที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการลงทุน หลังเลิกงานพวกเขายังต้องหอบแฟ้มกลับไปทำที่บ้าน วันหยุดก็มักจะไม่เป็นวันหยุดอย่างที่ควรเป็น แน่นอน ผมกำลังพูดถึงคนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมที่ต้องติดตามบริษัทเป็นร้อย ๆ แห่งหรืออย่างในสหรัฐนั้นเป็นพัน ๆ แห่ง คนเหล่านี้ส่วนใหญ่กลับไม่ประสบความสำเร็จเพราะพวกเขาต่างก็ขยันและทำงานหนักพอ ๆ กัน คนที่ประสบความสำเร็จสูงมากในกลุ่มนี้ก็คือ ปีเตอร์ ลินช์ ที่สุดท้ายต้องลาเวทีไปก่อนเกษียณเนื่องจากรับกับการทำงานแบบนั้นไม่ไหว
คนที่อาศัย EQ เป็นหลักในการประสบความสำเร็จนั้น คือคนที่มีศรัทธายึดมั่นในหลักการและนโยบายการลงทุนที่ตนเองเห็นว่าดีและเหมาะกับตนเองแล้ว นโยบายและกลยุทธ์เหล่านั้นอาจจะไม่ใช่หนทางที่ทำให้เขารวยเร็วที่สุดแต่อาจจะปลอดภัยและให้ผลตอบแทนคุ้มค่า เขาเชื่อมั่นว่าถ้าเขายึดหลักการที่กำหนดไว้ดีแล้วนั้น ในระยะยาวเขาก็จะบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างเช่น เขาอาจจะกำหนดว่าเขาจะลงทุนแบบสะสมเงินที่หาได้จากการทำงานไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน โดยแบ่งเงินลงทุนไปในหุ้นและพันธบัตรเท่า ๆ กัน โดยที่หุ้นลงทุนอาจจะเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในแต่ละอุตสาหกรรมหลัก ๆ ห้าบริษัทเป็นต้น และการลงทุนนี้จะเป็นการลงทุนตลอดเวลาไม่ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
ตัวอย่างของคนที่ใช้ EQ เป็นหลักและประสบความสำเร็จสูงมากก็คือ คนธรรมดา ที่ชื่อว่า แอนน์ ไชเบอร์ ซึ่งผมเคยเขียนมานานแล้ว เธอเป็นสาวโสดที่ไม่เคยแต่งงาน อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ เป็นคนกินเงินเดือนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ เริ่มลงทุนเมื่ออายุ 50 ปีไปแล้ว เธอยึดมั่นลงทุนในบริษัทที่เธอเห็นว่าเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่น โค๊ก ถือยาว ติดตามผลการดำเนินงาน รับปันผล ลงทุนเพิ่ม วันที่เธอเสียชีวิต พอร์ตของเธอเกือบ พันล้านบาท เธอทำได้เพราะอายุวันตายประมาณ 100 ปี
คนที่ใช้ Sense ในการลงทุนเป็นหลักแล้วประสบความสำเร็จนั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่ก็คือคนที่เราเรียกว่า ขาใหญ่ ในตลาดหุ้น แน่นอน ขาใหญ่ในตลาดหุ้นไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน หลายคนก็ขาดทุนหรืออยู่ไม่นาน คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผมคิดว่าพวกเขาต้องมีคุณสมบัติข้ออื่น ๆ ดังที่กล่าวข้างต้นด้วย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จก็คือ ความสามารถในด้านของจิตวิทยาการอ่านใจนักเล่นหุ้นในตลาดได้ดีกว่าคนอื่น นอกจากการอ่านเกมออกแล้วพวกเขายังน่าจะมีความสามารถในการจูงใจให้คนอื่นเล่นตามด้วย และนี่อาจจะเป็นศาสตร์ที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จสูงมากในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย
ทั้งหมดนั้นก็คือหนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน 4 แบบ นักลงทุนแต่ละคนต้องเลือกว่าวิธีไหนที่เราชอบและมีศักยภาพที่สามารถทำได้ การค้นหาตัวตนก่อนที่จะเลือกเดินทางนั้นสำคัญมาก เลือกถูกก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เลือกผิดเราอาจจะพบกับความผิดหวังหรือหายนะ สำหรับคน กลาง ๆ ผมแนะนำว่าแนวทางของการใช้ EQ เป็นหลักในการลงทุนเป็นวิถีทางที่น่าสนใจ และย้ำอีกครั้ง ไม่ว่าจะเลือกแนวไหน เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจทุกทางด้วยมิฉะนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #9669 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 11:09:42 AM » |
|
นายสมชายว่าอย่าไปเชื่อ ดร.นิเวศน์ เลยนะครับ... พูดแล้วน้าเบ้มอย่าเพิ่งโกรธนายสมชายนะเออ... เย้...
คือสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ แกเขียนมานั่นมันอ่านง่าย เข้าใจง่าย แต่ทำได้ยาก, อ่านไปแล้วมันดูเหมือนมีแสงสว่างไปเรื่อยๆๆๆๆๆ... แต่เวลาทำจริงตามที่แกบอกได้ยากส์ เพราะสิ่งที่แกบอกมันไม่ขาวขาดดำขาด ไม่ชัดเจนเหมือนขั้นตอนกระบวนการเป๊ะๆแบบหุ่นยนต์ไร้หัวใจ...
ตัวอย่างเช่น"ความสามารถในการอ่านใจนักเล่นหุ้นได้ดีกว่าคนอื่น"... ตรงนี้ถ้าจะขยายความออกมาเป็นกระบวนการซื้อขาย เช่นถามว่าวันนี้วินาทีนี้ หุ้นชื่อนี้ จะทำยังกับมัน มีให้เลือก ก.ซื้อ ข.ขาย ค.นั่งดู, อย่างนี้ ดร.นิเวศน์ ตอบไม่ได้ครับ...
หากถามคาดคั้นให้ ดร.นิเวศน์ฯ ให้แกตอบให้ได้ แกก็จะอธิบายเรื่องโน้นเรื่องนี้มาอีกยาววววว... แล้วก็บอกตัดสินใจเอง...
นายสมชายว่าคำตอบของคนเล่นหุ้นแล้วรวย ก็คือ 1) เล่นตามกราฟ 2) มีวินัยให้เล่นตามกราฟ... แล้วแปลออกมาเป็นขั้นตอนซื้อขายได้ว่า 1) ซื้อเมื่อทะลุแนวต้าน 2) ขายทิ้งเมื่อหลุดแนวรับ และ 3) ขายทำกำไรเมื่อพอใจ...
หากเล่นตามกฎ 3 ข้อที่นายสมชายบอกข้างบน รับรองว่ากำไรมากกว่าขายทุนแน่ๆครับ... ตรงนี้หากใครอยากเถียง นายสมชายสามารถเอากราฟมากาง แล้วเถียงได้ทุกกราฟหุ้น ไม่ว่าจะของตลาดไทย ตลาดต่างประเทศ...
หากเล่นตามกฎ 3 ข้อข้างบนแล้ว โอกาสขาดทุนคือเส้นต่อระหว่างเขตแดนแนวรับแนวต้าน... ตรงนั้นคนที่มีฝีมือจะขาดทุนไม่เกิน 2 - 3 ช่องช่วงที่ยังไม่รู้ทิศทางหุ้นว่าจะเป็น"ขาขึ้น"หรือ"ขาลง", แต่รับรองได้ว่าถ้ามีวินัย ถ้ามีวินัย ถ้ามีวินัย(ตั้งใจพิมพ์ซ้ำ 3 ครั้งครับ)... จะไม่ขาดทุนแบบ"จมหาย"...
ตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลังมานี่หากเล่นตามกฎเหล็ก 3 ข้อของนายสมชายแล้วจะมีโอกาสซื้อน้อยมากครับ... ตัวอย่างหุ้นบางตัวเช่น Bay มีโอกาสซื้อแค่ช่วงเดียว เดี๋ยวสักครู่นายสมชายจะเอากราฟมาเปลี่ยนสีให้ดูว่ามีแค่ช่วงเดียวช่วงไหนครับ...
ดังนั้นหากใครขาดทุนช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา นั่นคือฝืนตลาดครับ... นายสมชายก็โดน และต้องคอยบอกตัวเองให้มีวินัย!!! (จะเห็นว่านายสมชายไม่ค่อยมา Post บางช่วง - เพราะตลาดมันไม่เอื้อฯ)...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #9670 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 11:16:12 AM » |
|
รูปข้างล่างนี้คือ Bay จะเห็นว่าตั้งแต่เดือน 6 เป็นต้นมา เกิด New High หลอก 2 ครั้งในเดือน ต.ค. แล้วมีจังหวะซื้อได้ครั้งเดียวที่ปลายเดือน พ.ย. ... ที่เหลือมันไม่เคยเกิด New High เลยครับ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #9671 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 11:19:04 AM » |
|
รูปนี้ Jas ครับ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #9672 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 11:20:26 AM » |
|
รูปนี้ KTB ครับ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #9673 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 11:22:02 AM » |
|
ขอบคุณครับพี่สมชาย ผมก็อ่านไปเรื่อยๆ ความจำสั้นครับ อ่านไปเดี๋ยวผมก็ลืมตลอด ครึ่งปีหลังนี่เล่นยากจริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
naisomchai
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #9674 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 11:22:24 AM » |
|
รูปนี้ตัว Set เองครับ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|