ลมเปลี่ยนทิศ
เงินร้อนท่วมโลก...
เมื่อวานนี้ผมเพิ่งเขียนเตือนไปหมาดๆให้ระวัง เงินร้อน Hot Money ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในเมืองไทย ซื้อหุ้น ปั่น หุ้น ซื้อพันธบัตร วันวาน คุณกิริฏา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ก็ออกมาเตือนซ้ำให้ระวัง เงินร้อน ที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ระยะสั้น ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
แต่ คุณกิริฏา ไม่คิดว่าจะมีการ โจมตีค่าเงินบาท ตอนนี้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกสูงมาก จากมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
Hot Money หรือเงินร้อน ในปี 2013 นี้มีมากมายแค่ไหน ผมจะคิดให้ดูเล่นๆ เริ่มตั้งแต่ เฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศ จะ พิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาซื้อพันธบัตรเพิ่มขึ้นเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ 2.55 ล้านล้านบาท จนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงจาก 7.9% ในปัจจุบันเหลือ 6.5%
ลองเอา 12 เดือนคูณเข้าไป ปีนี้จะมีดอลลาร์ใหม่ออกจากแท่นพิมพ์สหรัฐฯถึง 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ 30.6 ล้านล้านบาท มาตรการนี้จะทำต่อเนื่องไปอีก 2 ปี ก็จะมีเงินใหม่เข้าสู่ระบบอีก 2.04 ล้านล้านดอลลาร์ รวม 3.06 ล้านล้านดอลลาร์
มีการประเมินกันว่าตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินปี 2009 เป็นต้นมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ อังกฤษ ยุโรป ญี่ปุ่น ได้พิมพ์เงินใส่ระบบเพิ่มขึ้นถึง 21 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อบวกกับเงินดอลลาร์ใหม่ที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะพิมพ์ในปีนี้และอีก 2 ปีข้างหน้า 3.06 ล้านล้านดอล- ลาร์ และ ธนาคารกลางญี่ปุ่น จะพิมพ์อีก 13 ล้านล้านเยนต่อเดือน หรือ 145,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ปีหนึ่งก็ตก 1.74 ล้านล้านดอลลาร์
เบ็ดเสร็จปีนี้จะมี เงินร้อน ทั่วโลกรวมกันถึง 25.8 ล้านล้านดอล- ลาร์ หรือ 774 ล้านล้านบาท ไม่เอาไปปั่นหุ้น เอาไปลงทุนพันธบัตร แล้วจะเอาไปลงทุนที่ไหน
เป็นโลกการเงินในยุคที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
พี่สมชายช่วยวิเคราะห์บทความนี้ให้หน่อยครับ ว่าจะมีผลต่อเนื่องกับบ้านเรายังไงต่อไปครับ...
เรื่องเงินร้อนที่โดนดั๊มป์ลงมาในตลาดเงินตรานี่คือยาพิษในรูปขนมหวานครับ... แต่ต้องเลือกว่าจะตกเหว หรือเสี่ยงกระตุ้นเศรษฐกิจโดยหวังว่าภาคการผลิตจะเพิ่มผลผลิตได้ตามขึ้นไปให้ทันได้สัดส่วนกับปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมา...
คือมีเงินแยะขึ้นมาก็จริงแต่มูลค่าเงินมันจะลดลง หากมูลค่าสินค้าและบริการไม่เพิ่มตามสัดส่วนเงินใหม่ที่เพิ่มฯ... อธิบายได้ว่านี่คือมาตรการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจให้มีเงินสะพัดว่อนไปมาในตลาด แต่ถ้าภาคการผลิตทั้งสินค้าและบริการไม่ได้เพิ่มขึ้นตามปริมาณเงิน(ตามที่หวังว่าจะกระตุ้นฯ) นั่นก็คือของมีเท่าเดิม แต่ต้องใช้เงินแยะกว่าเดิมเพื่อซื้อของเท่าเดิม(เส้นดีมานด์ชิฟต์ - เงินเฟ้อ)...
แล้วมาถึงตัวเราเองก็ต้องขี่หลังเสือต่อไปห้ามลงครับ... หากเรารู้ว่าเงินกำลังเฟ้อ แล้วไม่สามารถหาเงินได้แยะกว่าเดิมเพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อ นั่นคือเหมือนเงินในกระเป๋ามันลดลงกว่าเดิมทั้งที่จำนวนเงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยกว่าเดิมเพราะราคาข้าวของจะแพงขึ้น(ก็คนอื่นเขาเงินแยะกว่าเดิม)...
ที่ว่าขี่หลังเสือก็คือเราจะโดนสถานการณ์บังคับให้ต้องหาเงินมากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ มิฉะนั้นคนอื่นรวยขึ้น(จำนวนเงินมาก - แต่ซื้อของได้เท่าเดิม) แต่เราจะจนลงตามอัตราเงินเฟ้อ... ที่นายสมชายบ่นใน Post ข้างบนก็เป็นเช่นว่าแหละครับ, หากหุ้นขึ้นต่อนายสมชายก็จำเป็นต้องไล่ตามไปเรื่อยห้ามหยุด มิฉะนั้นคนอื่นเดินต่อแต่นายสมชายไม่เดินก็จะเหมือนถอยหลัง...
นายสมชายยังไม่เท่าไหร่ เพราะเล่นหุ้นเหมือนทุ่นลอยอยู่บนผิวน้ำ ระดับน้ำจะอยู่สูงหรือต่ำก็จะอยู่บนผิวน้ำได้ตลอด... แต่นายสมชายนึกถึงกลุ่มคนที่ยืนเป็นโครงสร้างค้ำสังคมไทยไม่ให้ล้มครืนครับ(ข้าราชการ), ยิ่งมีช่องว่างระหว่างรายได้ข้าราชการกับเอกชนถ่างกันมากเท่าไหร่ มันคือความเครียดสะสม...
หากความเครียดสะสมมากถึงขีดหนึ่ง ข้าราชการส่วนใหญ่คือ"บุคลากรสมองดีที่สุดของประเทศ" จะถูกบีบให้เดินถึงทางเลือกว่าจะเอาตัวเองและครอบครัว หรือจะยอมเสียสละเพื่อชาติอีกต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด... การสอบเข้ารับราชการนั้นยากมาก หัวกระทิของประเทศจะถูกคัดเลือกให้ไปรับราชการทั้งสิ้น เช่นสอบนายร้อยทุกเหล่า, สอบสนามกลาง ก.พ. เพื่อขึ้น บ/ช. รอบรรจุฯ, สอบปลัดอำเภอฯ, หรือแม้แต่สอบนายสิบตำรวจ ฯลฯ สอบทุกอย่างยากมากส์...