ไม่ต้องเซียนการเมืองก็สามารถฟันธงได้ครับ ว่ายุ่งแย่ๆ... สภาฯ ผ่าน พรบ. นิรโทษกรรมฯ 3 วาระรวด จบเรื่องเอา 04.25 น., พรรคประชาธิปัตย์เป่านกหวีดเรียกระดมพลที่สถานีรถไฟสามเสน+ม็อบบอุรุพงษ์ก็คงได้มวลชนเพิ่ม ฯลฯ...
แต่ในที่สุดจะไม่มีเหตุร้าย เพราะรัฐบาลนี้จัดการมวลชนได้เป็นอย่างดี... ผลสุดท้ายมวลชนทั้งหลายแหล่จะโดนลูกเล่นบนดิน+ใต้ดิน+กฎหมายเล่นงานเสียจนดิ้นไม่ออก, แล้วรัฐบาลก็จะอยู่ในอำนาจต่อไป จนกระทั่ง"นายใหญ่"เข้าประเทศไทย แล้วจัดการกับเสี้ยนหนามจนสงบราบคาบครับ...
ที่นายสมชายพูดมานี่ มองอย่างไร้อารมณ์นะครับ มองด้วยเหตุและผลว่าหากนับ"ฝีมือการบริหารจัดการคน"แล้วทอดตาทั่วทั้งแผ่นดินไทย มีแค่คนเดียวหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับ"นายใหญ่"ได้ คือ"ป๋า"ซึ่งในวันนี้ก็เฒ่าชแรแก่ชราตามประสากฎธรรมชาติมนุษย์ฯ... ที่เหลือล้วนแต่ความสามารถไม่ถึงครับ...
ประชาชนคนไทย"ส่วนใหญ่"ของประเทศไม่ได้ตระหนักถึงปัญหานี้... แล้วในที่สุดประเทศสารขันก็อาจล่มสลายเมื่อเปิดประเทศเข้าสู่ AEC เพราะว่าหลังจากนั้นก็จะมีกระบวนการทางเศรษฐกิจต่อเนื่องจนไปได้สุดทาง คือกลายเป็นหนึ่งรัฐย่อย รวมอยู่ในสหพันธรัฐ AEC (แผนขั้นที่ 7 ของ AEC - แต่สารขันจะโดนย่อยสลายก่อนเพื่อนเลย)...
ที่นายสมชายพูดเรื่อง AEC นี่ไม่ได้เลื่อนลอยนะครับ แต่เป็น"เรื่องจริง"ที่ผู้คนในประเทศไทยไม่ได้รู้ว่าเขามีการตกลงเช่นว่าด้วย เพียงแต่เขาไม่ได้พูดตรงๆว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศสารขันให้กลายเป็นหนึ่งในสหพันธรัฐ เพียงแต่เขาเขียนเอาไว้ใน AEC "Blue print" แล้วบรรจุเอาไว้ตั้งนมนานกาเลแล้ว...
หากท่านใดสนใจจะค้นคว้าต่อ ให้เริ่มจากนี่ลิ้งก์นี่ครับ
http://www.asean.org/archive/5187-10.pdf, ซึ่งในนั้นเขียนเอาไว้ว่าผลสุดท้าย จะใช้นโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ เพียงหนึ่งเดียวตลอดทั่วทั้ง AEC... ซึ่งตรงนี้หากประเทศใดสามารถดำรงความเป็น Core Competency ได้จนเหลือประเทศสุดท้าย ประเทศนั้นจะเป็นผู้"ริเริ่มนโยบายสาธารณะ"ครับ, ส่วนประเทศที่โดนย่อยสลายก่อน จะเป็น"แหล่งทรัพยากร"ให้ที่เหลือ!!!...