ลองคิดดูอีก 10 ปี ชื่อของพวกท่านจะถูกจดจำถ้ามีใครมาถามว่า แข่ง ฟิวท์ทาเก็ต เริ่มต้นจากใคร
คำตอบ อ้อ.. 10 ปีที่แล้วเหรอ แข่งฟิลด์ทาเก็ตเริ่มต้นจากกลุ่มคนรักปืนอัดลม นั้นหละครับ
เขารวมกลุ่มตั้งชมรมชื่อว่า "กลุ่มขิงแก่แต่รักปืนอัดลม" เห็นว่าพอเริ่มเป็น "พากินสัน"
ศัพท์ฝรั่งเรียกว่างั้น ผมก็ขอเรียกสำเนียงไทยว่า "พากันสั่น" ก็เลยเลิกรากันไปเองแบบ
แพ้สังขารละครับ ของแซวซะหน่อย ฮิ ฮิ
สำหรับผมปืนคืออุปกรณ์อย่างหนึ่งครับ เหมือนค้อน เหมือนมีด มันมีหน้าที่ของมันตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมา
ถ้าเปรียบให้เห็นชัดเจน ผมยกตัวอย่างค้อนก็แล้วกัน เมื่อเราซื้อค้อนมา หน้าที่มันก็คือ ตอกตะปู
เราจะตอกตะปูก็ต้องเป็นงานจึงจะนำค้อนมาตอก เราคงไม่เอาตะปูมานั่งตอกไม้เล่นตัวแล้วตัวเล่าเป็นแน่แท้
อาจจะทำเพื่อทดลองว่า 10 ตัว ต้องไม่งอสักตัวอย่างนั้นหรือเปล่า คิดว่าคงไม่มีใครทำอย่างนั้นรวมตัวผมด้วย
สำหรับปืน ตัวผมก็มองมันเหมือนค้อน คือมันมีหน้าที่ของมัน ผมซื้อมาเพื่อเอามายิงนกพิราบ
ยิงเป้าก็เพื่อปรับศูนย์ ความบันเทิงเล็กน้อย ยอมรับว่าผมไม่มีเวลามากขนาดนั้น แค่ลูกล่อลูกชน
หลอกให้ลูกสาวยิงเป้ากระดาษยังต้องมีรางวัลแลกเปลี่ยนให้ ถ้าวันไหนเธอไม่มีอารมณ์ก็เปรี้ยง
เดียวเลิก หนูไม่อยากยิงคะ ต้องรอวันเธออารมณ์ดีจึงหลอกมาให้ยิงเป้าสัก 10 นัด เพื่อแลกเปลี่ยน
กับการไปเซเว่น หรือ ซื้อขนมกรุบกรอบที่ต้องห้ามให้ทาน
สังเกตว่าผมซื้อแต่เบอร์ 2 เพราะผมตั้งใจเอามายิงนกพิราบ ซึ่งตอนนี้ละแวกบ้านผมมันก็แทบจะหมด
ไป ไอ้ที่มาเกาะก็รีบบินไปไม่อยู่นาน จากสภาวะนี้ผมก็ไม่ค่อยจะได้ยิงก็เลย ได้แต่คอนปืนไปมารอบบ้าน
หนักก็หนัก ชักจะเบื่อๆเหมือนกัน คิดอยากจะขายก็หลายหน มันก็สอดคล้องที่คุณ Spyman กล่าวไว้ว่า
"ถ้าไม่มีการจัดการแข่งขันหรือมีชมรมเกิดขึ้น ปืนลมหมดความท้าทาย" ลองคิดได้อย่างนี้ แสดงว่าคุณ
spyman คงจะอาบน้ำร้อนมาก่อนผมเป็นแน่แท้ ผมเองตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าปืนลมหมดความท้าทายซะแล้ว
เพราะไม่มีนกพิราบให้ยิง
ตอนเด็กผมจะได้สัมผัสปืนลมก็เฉพาะช่วงปิดเทอมใหญ่ ยิงทุกวันยิงเป็นเดือน เว้นช่วงสงกรานต์แค่
สองอาทิตย์ แต่ก็จำได้ว่ามันไม่แรงอย่างนี้เพราะผมยิงนกกระจอกที่อยู่ในรูสันหลังคากระเบื้องลอนคู่
ระยะแค่ 15 เมตร ก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ได้นกกระจอกมาทอดกรอบให้น้า ๆ เขาทานเป็นกับแกล้ม
ถ้าผู้อ่านเคยได้เป็นทหารยามเฝ้าปลายรันเวย์สนามบินเชียงใหม่ ปี 2521 คงจะจำได้ว่าได้เคยไล่เด็ก
กลุ่มหนึ่งที่เขามาเล่นสเก็ตบอร์ดและชอบมาไล่ยิงนกที่ปลายรันเวย์ พอไล่เสร็จพรุ่งนี้มันก็มาอีก เราก็
เห็นว่าไล่บ้างไม่ไล่บ้าง (น่าจะเป็นเพราะยามคนละคน) ก็เลยคิดว่าคงไม่เป็นไร ก็คิดตามประสาเด็ก
พอนึกถึงว่าตอนนั้นมันราวปี พ.ศ. 2521-23 ก็หันมาดูตัวเองว่าทำไมทำอย่างนั้น เออ ตอนนั้นเรามีปัญหา
ไม่มีที่เรียบ ๆ ให้เล่นสเก็ตบอร์ด ไม่มีสนามให้ยิงปืนนี่นา ตอนหลังห้าวขึ้น ก็ไปปล่อยตัวเองลงจากบริเวณ
ครูบาศรีวิชัย ลงมาหน้าสวนสัตว์ ความรุ้สึกมันสุดยอด เครื่องป้องกันก็ไม่มี แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีคิดแล้ว
บอกตรง ๆ ว่า "ผมนั้นโง่บัดซบ" คำนี้เป็นท่อนหนึ่งของโฆษณา "ถ่านไฟฉายตรากบ" ตอนนั้นรถรา
ไม่ค่อยมีเยอะครับ ส่วนปืนลมก็ฝากไว้กับร้านขายดอกไม้ บอกว่าเดี๋ยวจะขึ้นมาเอา ตอนนั้นยิงนกแถว
น้ำตกหัวยแก้วได้ก็ปิ้งกินแถวน้ำตกนั้นเลย ก็ไม่เห็นจะอร่อยเท่าไหร่หรอก สู้ไก่ย่างแถวนั้นไม่ได้สักนิด
สองอาทิตย์นี้ใช้เวลาว่างหาข้อมูลเพื่อนๆ ม.ศ. 3 ปวช ปวส เรื่อยมาจนจบการศึกษาล่าสุด
ก็พบว่า เพื่อนสมัย ม.ศ.3 ตายไปแล้ว 19 คน ปวชอีก 10 ปวสอีก 7 และอื่น ๆ อีก 8
เลยสงสัยว่าทำไมมันตายกันเยอะอย่างนี้นะ ผมก็ไม่รู้ว่าคิวของผมจะมาเมื่อไหร่
มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อ ครูก๋อง ย้ายไปรับราชการครูอยู่แม่ฮ่องสอน ขอซื้อปืนพก เพื่อพกไปสอน
เพราะพื้นที่มันเสี่ยง พวกผิดกฏหมายมีมาก เขาเป็นคนอารมณ์ดี พูดอะไรก็หัวเราะร่วนเหมือนเมากัญชา
หน้าแดงตลอด ถ้าเข้ามาในตัวเมืองเชียงใหม่ก็เอาปืนมาให้ชมบ่อย ๆ กระบอกเดิมนั้นหละครับ
ดำเงาวับไม่มีสึกเพราะไม่ได้ยิง บอกว่ากลัวปืนมีตำหนิ ผมก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้ว่า ครูก๋องเสียแล้ว
เสียตอนไหน เผาเมื่อไหร่ ผมไม่รู้เรื่องเลย
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมก็เกือบเป็น 1 ในจำนวนรุ่น ม.ศ.3 ที่เสียชีวิต ด้วยการ
โดนวัยรุ่นกระทืบตายหรืออาจโดนยิงตายก็ได้ เพียงเพราะแค่มันขับรถตีโค้งข้ามเลน
จะมาชนผมที่กำลังขี่มอไซค์เพลิน ๆ พอรถผ่านกันไปผมเห็นมันทำปากหมุบหมิบด่า
ผมก็เลี้ยวกลับตามไปเรียกให้มันจอด แล้วก็เดินตัวเปล่าเล่าเปลือยเข้าไปหามันที่รถ
พูดคุยให้มันลงมากระทืบคนแก่คนดีคนนี้สักหน่อยเถอะ มันก็ไม่ลงนะ คงไม่อยากทำคนแก่มั้ง
มันเปิดกระจกบอกว่าเราขี่มอไซค์เงอะงะ โธ่ไอ้บ้าเอ่ย รถมึงจะชนกูจะไม่กูเงอะงะเหรอ
แล้วตรงนั้นก็มันเลนกูซะด้วยนะ ผมก็ถามมันว่าถ้าชนผมแล้วจะทำยังไง
มันก็ตอบว่า ก็ไปโรงบาลซิ ไอ้ผมอยากจะหัวเราะในความโง่ของตัวเองที่ตั้งคำถาม
ไปอย่างนั้น ก็แอบหัวเราะในใจ มันก็ตอบถูกของมันนะ แม้จะดูกวนตีนก็ตาม
แต่สำหรับผมมันเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้วครับ ตรงนี้ต้องยอมมัน
ขนาดผมแกล้งพูดให้ของลับชายต่อหน้าต่อตามัน แต่ผมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนะ
คือทำให้กวนตีนที่สุด แฟนมันก็นั่งข้างๆ คงได้ยิงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ลงมา
สงสัยเป็นริดสีดวงหรือไม่ก็เป็นโรคเกาท์มั๊ง พออารมณ์เย็นลงก็เดินไปยืนบนฟุตบาท
มองผ่านกระจกที่มันเปิดดูหน้าแฟนมัน เออ แฟนมันสวยดีวะ มันก็ไม่ยอมลงมา
แถมเอี้ยวตัวมาถามให้เบอร์โทรศัพท์ซะอีก ผมก็ตอบไปว่าไม่เอาหรอกน้องเอ้ย
อารมณ์มันเย็นลงมากแล้วผมก็ไม่พูดอะไร วัยรุ่นคนนั้นก็ขับรถออกไป ผมก็มา
นั่งคิดได้ว่า "ผมนั้นโง่บัดซบ" ขออีกครั้งนะ
ผมนะผิดตั้งแต่เลี้ยวรถกลับไปเรียกเข้าให้จอดแล้วหละครับ ถ้ามีเรื่องมีราวขึ้นโรงขึ้นศาลผมก็ผิดเต็มประตู
ตอนขึ้นศาลแล้วแพ้คดีนั้นนะถือว่าโชคดีแล้ว ลองคิดดูผมมีโอกาสโดนสวนด้วย 11 มม.
ตรงที่เรียกเขาจอดแล้วเดินเข้าไปหาตายแบบไม่รู้ตัวเลยหละ วอนหาเรื่องซะจริง ๆ เราเนี่ย
ตอนนั้นไม่มีอะไรอยู่ในตัวเลย มีแค่กระเป๋าตังค์ให้ปอเต๊กตึ้งรู้จักว่าเป็นใคร
แบบว่าทุกวันนี้แม้แก่แล้ว แต่ใจมันไม่แก่ตามนะ ทำไงดีไอ้ความรู้สึกอย่างนี้อยากจะ
ขจัดทิ้งไปให้หมด ให้รู้ตัวว่าแก่แล้วนะ วิ่งแค่กิโลเดียวหอบเหนื่อยมาก
คิดย้อนไปตรงเหตการณ์แล้วรู้สึกตกใจกลัวมาก กลัวไม่ได้เห็นหน้าลูกเมีย
ผมเป็นคนมีห่วง แล้วไอ้ห่วงตัวนี้ก็ทำให้ผมกำลังจะกลายเป็นคนขี้ขลาดไปซะแล้ว
ทำไมผมถึงไปมีเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ ต้องเข้มงวดมีวินัยกับตัวเองให้มากกว่านี้
มีคนหลากหลายที่ชอบตั้งคำถามทำนองถ้าเจอเขาขว้างหิน เจอเขาวิ่งเข้ามา
จะทำร้าย เจออะไรร้าย ๆ ทำนองนี้ ถ้ามีปืนอยู่ในมือจะทำอย่างไร คำตอบที่ออกจาก
ตัวผมคือให้วิ่งหนีให้เร็วที่สุดบ้าง ให้ไปแจ้งตำรวจบ้าง ให้ยอมแพ้เขาบ้าง
ไม่มีสักครั้งที่ตอบให้เขาพาตัวเองเข้าสู่เหตุการณ์ในเบื้องหน้า แต่พอเอาเข้าจริง
วันนั้นมันน่าจะมีผีอะไรสักอย่างมาดลใจให้ผมวกเลี้ยวมอเตอร์ไซค์ตามไปหาเรื่องเขา
มันแปลกจริง ๆ หรือว่าไปหลงแอบรักแฟนเขาเข้าแล้วกระมัง ฮิ ฮิ
หรือว่ามันเป็นนิสัยของผม บ่อยครั้งผมก็สังเกตุว่า นักมวยส่วนมากถ้าย้อนดูฐานะ
ตอนเริ่มเข้าวงการมักจะไม่ค่อยมีเงินพอใช้ หรือทางบ้านมีปัญหาเรื่องเงิน
แต่ผมกลับไปชกมวยตามงานวัด หลังเลิกเรียนภาคค่ำ เพียงแค่อยากสนุก
มันจะเจ็บแค่ไหนกัน จะว่าตอนนั้นยากจนก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเงินเดือนที่พ่อให้
ก็ยังมากกว่าครูที่สอนหนังสือผมเสียอีก แล้วมันเป็นเพราะอะไร
ตอนเรียนมหาลัย ก็ขึ้นชกมวย แบบน้ำหนักคู่ชก 4 ก.ก. ผลนะหรือ โดนน๊อก
ตั้งแต่ยกหนึ่ง ตอนนั้นเป็นรอบชิงเหรียญเงิน ผมแพ้ตั้งแต่ลอดเชือกขึ้นเวที
แล้วหละครับ คู่ชกคนนี้ก็วิ่งสวนกันทุกเย็น ยิ้มให้กันทุกวัน แต่บังเอิญผมไป
อยู่รุ่นใหญ่สุดน้ำหนักเกิน 60 กก.ขึ้นไป แล้วไอ้ผมก็ดันน้ำหนัก 60 กก. พอดีเป๊ะ
ส่วนเขา 64 กก. ยืนเทียบกันบนเวที นักศึกษาโห่กันสนั่นท้องพระโรง
เพราะผมตัวเล็กนิดเดียว คู่นี้ดูไม่สนุกหรอกครับมันห่างชั้นกันมาก
ก่อนชกไอ้พี่เลี้ยงแอบกระซิบบอกผมว่า "เองไม่ต้องสนใจ น้ำหนักที่
มากกว่าเรา 4 กก. ไอ้ห่านั้นกระโปกมันใหญ่" (ขออภัยคำไม่สุภาพ
แต่อยากให้มันได้อารมณ์ขันในตอนนั้น) ครั้นผมถูกน๊อก
พอลงมาผมก็บอกพี่เลี้ยงกลับว่าไอ้ที่ผมไม่ลุกเพราะ
กรรมการนับเป็น ภาษาฝรั่ง วัน ทู ทรี ...... ผมแปลไม่ออก
ถ้านับเป็นภาษาไทยผมลุกตั้งแต่นับสามแล้วครับ ฮ่า ฮ่า