ดอยอ่างขางปีนี้ไม่รู้จะหนาวเหมือนปีที่แล้วหรือเปล่า
อุณหภูมิสูงสุด 15 องศาซี อุณหภูมิขนาดนี้ผมพอจำได้ว่า
เดินไปโรงอาหารแทบไม่อยากเอามือออกจากกระเป๋า
ทานข้าวเย็นเสร็จก็รีบนอนเพื่อรอตื่นมาหาที่นั่งผิงไฟคุยกันตอนดึก
ถ้าตอนกลางคืน 5 องศา หรือบางวัน 0 องศา ผมยังพอจำได้ว่า
หนาวจนไม่มีใครนอนหลับ พอหัวค่ำอากาศยังไม่หนาวมาก
จะรีบเข้านอน เพราะต้องสะดุ้งตื่นด้วยความหนาวตอนตีสองตีสาม
พอตื่นก็จะได้ยินเสียงคุยกันงึมงัมที่ลานหน้าห้องพักแล้ว ผมก็จะลุกมา
นั่งผิงไฟคุยกับเพื่อน ๆ มีเหล้าอุ่น ๆ ดื่ม ปืนเก็บไว้แทบไม่อยากจับ
เพราะถ้าจับปืนเหมือนจับน้ำแข็ง พอตอนเช้าสักหกโมงเช้า ถ้าเดิน
ไปที่มอเตอร์ไซต์เอานิ้วจิ้มเบาะน้ำแข็งที่เคลือบเบาะก็จะแตกออกเป็น
แผ่นๆ เหมือนช๊อกโกแลทเคลือบไอติม นั้นเป็นดอยอ่างขางที่ผมไปกันบ่อย ๆ
ในหน้าหนาว ไม่รู้ไปกันทำไม
ที่อ่างขาง เช้า ๆ อย่างนี้ผมเคยเห็นบางคนที่ไม่รู้จักอาบน้ำแล้วเดินตัวเปล่าใส่กางเกงตัวเดียวจากห้องน้ำ
ข้ามมาโรงเรื่อนนอน เดินไปทางไหนก็เห็นกันหมดเพราะควันสีขาวฉุยออกจากตัวขโมง
ต้องยกนิ้วให้ครับ สงสัยเคยอยู่ต่างประเทศแบบติดลบ 20 องศา มาก่อน พอมาเจอแบบนี้ก็แค่จิ๊บ ๆ
ไปที่ห่างไกลความเจริญในฤดูหนาวโดยไม่ได้เตรียมตัวผมเข็ดแล้ว
เพราะเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาครั้งหนึ่ง เดือนนั้นเป็นเดือนธันวาคมหลังคริสมาสต์ก่อนปีใหม่
ผมกะว่าจะไปดูหนังรอบค่ำ แต่พอดีน้องชายขี่มอเตอร์ไซต์ใหม่เข้าบ้านมา เป็นรถระบายความร้อน
ด้วยหม้อน้ำยี่ห้อยามาฮ่า ผมเลยถือโอกาสของลองรถ ตอนนั้นก็ราว 6 โมงเย็น ผมเลือกดอนอินทนนท์
เป็นที่ลองรถ ระยะทางจากบ้านไปเชิงดอยก็ 40 กม. จากเชิงดอยขึ้นยอดดอยอีก 40 กม. รวม 80 กม.
ไปกลับก็ 160 กม . ผมกะว่าคงกลับมาราว 3 ทุ่ม ดูหนังรอบสามทุ่มครึ่งยังทัน ผมคิดไว้อย่างนั้น
ผมบึ่งรถใหม่ของน้องชายออกจากบ้านสวมหมวกกันน๊อก arai ยี่ห้อดัง ในสมัยนั้นในเชียงใหม่มีคนเดียวที่ขี่มอเตอร์ไซต์
ใส่หมวกกันน๊อกก็คือผมเองหละครับ ค่ำวันนั้นมีเพื่อนน้องชายขอซ้อนไปด้วย มันผิดแผนที่ผมคิดไว้แต่แรก
ว่าจะขี่คนเดียวเท่านั้น ผมกะใช้เวลาราว 30 นาที มาถึงเชิงดอยอินทนนท์ ก็คิดว่าคงใช้เวลาอีกราว 1 ชม.
ที่จะขึ้นไปถึงด่านทหารอากาศแล้วจะเลี้ยวกลับ ตอนลงจะเร็วกว่ามากนะจะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที
ดังนั้นผมก็กะว่าถ้าถึงด่านทหารอากาศ ก็จะใช้เวลาอีกไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ถึงบ้าน แผนวางไว้อย่างนั้น
ออกจากบ้านก็แวะเติมน้ำมันเต็มถัง แล้วก็ห้อแรดตะบึ่งฝ่าความหนาวเย็นไปทางสันป่าตอง มันไม่เป็นไป
ตามแผน ผมมาถึงทางแยกขวาเข้าเชิงดอยอินทนนท์ในเวลาเกิน 35 นาที ช้ากว่าที่คิดไว้ รถคันนี้แรงบิด
ไม่ดี ซีซีมีแค่ 125 ซีซี ไม่แรงเหมือน AR 125 ซีซีคันของผม ตอนนั้นสองจิตสองใจว่าจะไม่ขึ้น
แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้ผมเลี้ยวขวาตัดถนนขึ้นดอยอินทนนท์ เวลาผ่านไปดูนาฬิกา 1 ทุ่มแล้ว
ผมอยู่ระหว่างทางตรง กม31 และกำลังไต่ความสูงสู้แรงโน้มถ่วงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด
เข็มความร้อนตีขึ้นสุงสุดบอกว่าเครื่องฮีท ผมรีบจอดมันจอดได้อย่างง่ายดายเพราะกำลังขึ้นเขา
พอจอดรถได้ก็รีบดับเครืองทันที
พอเครื่องดับความมืดก็เข้าปกคลุมดูวังเวงน่ากลัว ก็ยังดีที่มีเพื่อนน้องชายมาด้วย แต่ถ้ามันไม่มา
ก็คงไม่เป็นแบบนี้ ผมคงไปได้ตลอดรอดฝั่ง อันที่จริงรถที่ขึ้นดอยอินทนนท์จะต้องมีการทดสเตอร์
หลังให้ใหญ่ขึ้นอีกสัก 3-4 ฟัน หรือไม่ก็ลดสเตอร์หน้าลงอีกสัก 1 ฟัน ก็ทำให้เรียกแรงบิดได้ดีขึ้น
ในรอบเครื่องต่ำกว่าเดิม
ผมตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไหลลงดอย แต่ต้องสตาร์ทรถเพื่อให้ไฟหน้าติด เพราะคืนนี้ไม่มีแสงจันทร์
เส้นทางบนดอยอินทนนท์นี้ผมเคยขับรถมาลองปืนและส่องสัตว์กลางคืนหลายรอบแล้ว ถนนทุกโค้งผมแทบ
จำได้หมด แต่พอกลางคืนมันไม่เหมือนเดิม ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนมันเหมือนหลงดอย
หมวกกันน๊อกผมถอดออกตั้งนานแล้วให้เพื่อนน้องชายถือไว้เพราะหมอกจากการหายใจมันจับกระจกบังลม
จนมองไม่เห็นทาง
ในที่สุดเครื่องก็ฮีทอีกรอบ แม้ว่าเป็นขาลง แต่เส้นทางก็ยังต้องมีการขึ้นเขาเป็นระยะ ๆ ผมหาน้ำมาเติมไม่ได้
พลันก็เห็นเก๋งจีนตะคุ่มอยู่ข้างทาง ผมชลอรถจอดหน้าเก๋งจีนเพราะคิดว่าคืนนี้คงจะกลับไม่ได้แล้ว ไม่งั้นรถพังแน่ ๆ
ผมคิดจะก่อไฟ แต่จะหาฟืนที่ไหน มีดพร้าไม่มีสักเล่ม ไฟพอจะจุดได้ แต่จะเอาอะไรไปตัดไม้
สรุปคืนนั้นเวลา สองทุ่มครึ่ง ผมกับเพื่อนน้องชายตกลงนอนในเก๋งจีนข้างทาง เก๋งจีนไม่มีผนังกันลม
ไม่มีไฟให้ความอบอุ่น ทั้งคุ่นอนพลิกตัวไปมานอนไม่หลับเพราะความหนาว เสียงหมาป่าหอนไกล ๆ
เสียงฟึดฟัดหายใจของสัตว์ป่าดังอยู่รอบ ๆ เก๋งจีน บางครั้งก็เหมือนมีเงาคนดำ ๆ ยืนอยู่หน้าเก๋งจีน
ผมเพ่งดูจนเงาหายไป ก็คิดว่าตาฝาดมากกว่า ตอนนอนแรก ๆ ผมก็กำปืนสั้นในมือขึ้นลำแต่ลดนกไว้
พอดึก ๆ สะดุ้งตื่นก็ต้องงมคลำหาปืนว่ามันไปอยู่ตรงไหน ในบรรยากาศอย่างนั้นพอกระทบเจอเหล็กเย็น ๆ
มันอุ่นใจขึ้นมาทันทีครับ ก็นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ โดยไม่พูดกันเพราะตกลงกันไว้ว่าห้ามพูดคุยอะไรทั้งสิ้น
มีอะไรให้อยู่ในเก๋งจีนห้ามวิ่งออกไปเพราะถ้าหากมีอะไรขยับนอกเก๋งผมจะยิงสิ่งนั้น
โง่มาก่อนฉลาดครับ มานึกได้ว่าเบาะมอเตอร์ไซต์ถอดได้เอาตอนเกือบตีห้า เราสองคนดีใจมาก
รีบถอดเบาะมอเตอร์ไซต์มารองเป็นหมอนทำให้นอนสบายกว่าเดิมอีกเยอะ เพราะทั้งคืน
เรานอนแบบหนุนแขนตัวเอง ก็เลยงีบได้ด้วยความอ่อนเพลียอีกงีบใหญ่ ๆ
ทุกอย่างผ่านไปมาสะดุ้งหนาวตื่นตอนหกโมงเช้าพอเห็นทางถนนเราก็รีบเอารถออก ใช้วิธีไหลรถลงดอย
พอเจอทางขึ้นเขาหรือทางเรียบก็สตาร์ทรถขับไปช้า พอถึงทางลงก็ดับเครื่องไหลลง ประคองรถ
จนไปถึงน้ำตกก็หาน้ำมาใส่รถ จากนั้นก็ติดปีกบินกลับบ้าน ผมกลับถึงบ้านตอน 8 โมงเช้าพอดี
แม่หุงข้าวเหนี่ยวเสร็จแล้ว ปลาสลิดทอดมาร้อน ๆ นับสิบตัววางอยู่บนโต๊ะอาหาร ผมกับเพื่อน
น้องชายทานกันจนอิ่มแล้วก็เข้านอน พวกน้องชายและเพื่อนที่อยู่บ้านยังไม่ตืนกัน
ผมกับเพื่อนน้องชายพากันตื่นอีกทีก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว เอาเรื่องมาเล่าให้พวกที่ไม่ได้ไปด้วย
ตอนนั่งล้อมวงพิงไฟฟังกัน ก็สรุปว่าจะต้องไปแก้มือที่แม่ฮ่องสอนตอนหลังปีใหม่อีกสักรอบ
ก็เอาเรื่องมาเล่าแก้เซ็งฆ่าเวลารอปืนกันเบื่อนะครับ