สองสัปดาห์ก่อนผมส่งอุปกรณ์ซิดอัพหน้าท้องไปภูเก็ต น้ำหนักไม่มาก
ไปรษณีย์เห็นขนาดกล่องจึงบอกว่าต้องส่งเป็นโลจิสติก แล้วก็ถามว่าข้างในเป็นอะไร
ผมบอกว่าเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกาย เจ้าหน้าที่จึงเปิดลิสราคารายการแล้วแจ้งว่าค่าส่ง 1800 บาท หนึ่งพันแปดร้อยบาท
ผมเลยบอกว่าถ้าเป็นราวตากผ้าจะเป็นเงินเท่าไหร่ เจ้าหน้าดูลิสรายการแล้วบอกว่า 240 บาท สองร้อยสี่สิบบาท
ผมจึงบอกว่าเป็นราวตากผ้า....
ไอ้บ้านผมนะ เอาอุปกรณ์ออกกำลังการมาใช้ทำราวตากผ้าจริงๆนั้นแหละ ฮะๆๆๆ
ใช่ครับ อุปกรณ์ออกกำลังกายตอนจะซื้อก็คิดว่าจะได้ทำอย่างโน้นอย่างนี้
พอซื้อมามันก็ไม่ได้ใช้ ผมซื้อมาใช้แทบทุกแบบ ไม่ว่ากรรเชียง รวมเซ็ท จักรยาน ลู่วิ่ง และอีกมากมาย
จนรกบ้าน แต่ว่าพอมีครอบครัวกลับไม่มีเวลาออกกำลัง ทุุกวันนี้วันหยุดผมก็นั่งแปลงเวลาให้เป็นเงิน
ตอนนี้ก็คิดแผนว่าบั้นปลายจะจบชีวิตตรงไหนดี ระหว่างบ้านบนวังน้ำเขียว เชียงราย หรือ ภูเก็ต ก็กะว่าจะ
สร้างบ้านพักตากอากาศไว้ทุกที่แต่เงินยังมีไม่พอต่อเติมบ้านพร้อมกันทั้ง 3
หรือไม่ก็อาจจะพาครอบครัวไปอยู่เยอรมันและไปปิดฉากที่บ้านเยอรมันก็เป็นได้
ผมชอบคิดอะไรที่มันไกลออกไปสักยี่สิบถึงสามสิบปีล่วงหน้าครับ
เออ มีเรื่องปกติ ผมคิดว่าปกตินะ เมื่อวันพฤหัส ศุกร์ที่ผ่านมา ผมไปเยี่ยมเพื่อนตามออฟฟิค
ที่เคยทำงาน พบว่าออฟฟิคเงียบเหงาไม่เหมือนดังเมื่อก่อน สอบถามคนที่อยู่ก็ได้ความว่า
พากันไปทำเรื่องสมัครสมาชิก ชพค. ผมก็ถามว่ามันคืออะไร ก็ได้รับคำตอบว่าถ้าสมัครเป็นสมาชิก
ก็จะมีสิทธิกู้เงิน โดยมีเงื่อนไขถ้าเงินเหลือในสลิปเงินเดือนมากก็จะกู้ได้มาก เกณฑ์เท่าไหร่ผมไม่ทราบ
รายละเอียด
ผมก็ถามต่อไปว่าแล้ว ชพค มีเงื่อนไขให้ใช้เงินคืนอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า ถ้าเงินกู้เต็มที่ หนึ่งล้านสองแสนบาท
จะผ่อนคืนเดือนละประมาณหกพันบาท ถ้ากู้เงินได้หกแสนบาท ก็ผ่อนเดือนละประมาณสามพันบาท ไม่ว่าจะกู้เท่าไหร่
ก็จะมีระยะเวลาผ่อนนานถึง 30-35 ปี สรุปคือ ถ้าชดใช้หมดจะเสียค่าดอกเบี้ยทบต้น คือ กู้ได้ล้านสองแสน ก็จะต้องจ่าย
สองล้านสี่แสน ในระยะเวลา 30-35 ปี
ผมจึงให้แนวคิดน้อง ๆ จากที่ได้คุยจากอาจารย์ด้านเศรษศาสตร์ว่า หากกู้ได้ทำไมไม่เอาเงินไปซื้อที่ดินทิ้งไว้
ราคาที่ดินโดยทั่วไปเมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี จะเพิ่มมากกว่าสามเท่าเป็นปกติ อย่างเบาะทำเลไม่ดีก็สองเท่าก็ไม่นับว่าขาดทุน
มีแต่เท่าทุนกับกำไร
ซึ่งในความจริงทราบว่าพวกเด็ก ๆ ที่อายุเกือบสี่สิบ ได้กู้เงินเต็มที่ตามยอดเงินที่เหลือ
ในสลิปเงินเดือน พอได้เงินมาบางคนมีโครงการเอาไปซื้อบ้านอันนี้ก็ดีไป บางคนเอาไปจองซื้อรถป้ายแดงอันนี้เหนื่อยหน่อย
แต่แทบทุกรายจะเหมือนกันหมดคือเอาเงินที่กู้ได้ใหม่ไปโป๊ะล้างหนี้เงินกู้สหกรณ์ที่ก่อไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
อีกสามสิบปีเขาจะอายุเท่าไหร่ จะเอาเงินที่ไหนมาผ่อนใช้หนี้
ก็เดาว่าหลายคนทำได้ตามเป้าหมายแต่อีกหลายคนล้มเหลวเพราะเงินหมดไปกับความฟุ้งเฟ้อ
ผมก็ทำนายไว้ว่าอีกไม่นานฟองสบู่อาจเกิดขึ้นอีกรอบก็เป็นได้ ก็คิดว่าจะรีบทะยอยสะสมเงินสดไว้จำนวนหนึ่ง
กะช้อนซื้อของราคาถูกเมื่อฟองสบู่แตก เหมือนปี 2540 โน้น ซึ่งผมใช้เงินห้าแสนกลายเป็นสองล้านในเวลาไม่กี่ปี
มาตอนนี้ ก็ 2553 เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วมันน่าจะถึงรอบยุบตัวอีกรอบแล้ว
มีหุ้นอาหารตัวหนึ่งชื่อ CPF ผมซื้อไว้ตั้งแต่ราคา 4 บาทกว่า นานมาแล้วจำวันไม่ได้ แล้วราคามันก็ร่วงลงไปเรื่อยที่ 3 บาทกว่า
ทำให้ผมขาดทุนไปหลักแสน ผมก็ไม่ได้สนใจ เมื่อเดือนก่อนเข้าไปดูราคาหุ้นตัวนี้ ผมสะดุ้งขนลุกในราคาของมัน....
พอเห็นตัวเงินที่เพิ่มขึ้นความโลภเกินขึ้นทันทีคือคิดจะขาย...
อันที่จริงผมอยากใช้ชีวิตแบบพอเพียงนะ ขอแค่ ค่าเล่าเรียนลูกก็ไม่ต้องจ่าย ค่าอาหารก็มีคูปองรับอาหารประจำมื้อ
ค่ายาก็รักษาฟรีได้ยาแบบมีคุณภาพ ขึ้นรถโดยสารไม่ต้องจ่าย จะเดินทางก็กดเบอร์ที่บ้านก็มีรถมารับหน้าบ้าน
ได้รับเสื้อผ้าตามความจำเป็น ไม่ต้องห่วงเรื่องรายได้
มีที่อยู่อาศัยสภาพแวดล้อมดี มีความปลอดภัยในชีวิต ได้รับอุปกรณ์ใช้งานตามความจำเป็น
แต่ก็อยากให้ไม่สุดโต่งจนเหมือนเขมรแดง ที่ลากคนรวยมายิงทิ้ง ลากดาราหนังมาประหารชีวิต ใครเป็นคนสังคมชั้นสุง
โดยยิงเป้าหมด
ชีวิตจริงสังคมกลับไม่เป็นใจ ลูกจะเข้าโรงเรียนก็ต้อง... ระหว่างเทอมก็มีการขอความร่วมมือ...
อุปกรณ์จำเป็นเช่นปืนอัดลม มีราคาแพงจัง ขึ้นรถเมล์ก็ต้องจ่าย ขับรถไปเองก็ต้องเติมน้ำมันที่แสนแพง
ราคารถก็แพงเกินปกติ กินข้าวแต่ละมื้อก็ดูเหมือนจะเกินค่าแรงขั้นต่ำ เพราะถ้าลองทานแบบค่าแรงขั้นต่ำก็ทานไม่ได้
ค่าไฟก็ต้องจ่ายเดือนเกือบสามพัน ค่าหนังสือพิมพ์เดือนละเกือบพัน ค่าน้ำเดือนเกือบพัน
บ้านชำรุดก็ต้องซ่อม จะส่งของให้ใครก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ใครไม่มีเงินก็ต้องไปกู้เสียดอก
ไม่ส่งเงินกู้ก็อยู่ไม่เป็นสุข
สรุปแล้วก็ต้องสะสมเงินไว้เพื่อความมั่นคงในชีวิต เพื่อสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน