จากคนหนุ่มสาว ในยุค ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นที่มาของการล่มสลายพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย
และทำให้สงครามทางการเมือง ที่เคยใช้อาวุธปืนเข่นฆ่ากัน ตั้งแต่ ๒๕๐๘-๙ ยุติลง.. อย่างเด็ดขาด.
เพื่อให้ได้ย้อนไปดู การใช้ี ลมหายใจของชีวิืตของคนในยุคนั้น.. กรุยทางเพื่อประชาธิปไตย.. มาสู่ในยุคนี้ ครับ.
นักศึกษาที่หนีเข้าป่า ไปร่วมกับ พคท. หลาย พันคน จากเกือบทุกมหาวิทยาลัย ที่มีอยู่ในตอนนั้น
กระจายไปทั่ว ป่า ทั่วทุกภู ทั่วประเทศ. ในส่วนที่ ไป ลงส่วนงาน ทปท. (กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย) ได้สร้างความเสียหาย .. ให้กับฝ่ายรัฐ มากมายนัก..
อย่างไม่เคยมีมาก่อน.. ทปท. รบด้วยสมอง จากปัญญาชนปฎิวัติ จะเป็นรองฝ่ายรัฐเพียงอาวุธ.
ยุทธปัจจัย และกำลังคน.. เท่านั้น.
ส่วน พคท.ที่เป็นฝ่ายนำทางการเมือง มีผู้นำนักศึกษา ไปสังกัดอยู่..
ทั้ง พคท และทปท. ถูกพัฒนา ยกระดับเป็นคุณภาพใหม่ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน.
เท่ากัีบฝ่ายรัฐ จะต้องเสียหายทั้งคนและปัจจัยอื่น มากขึ้นตามไปด้วย..
ใน พคท.มีกระแสทางการเมืองในฝ่ายนำ แยกเป็น สายจีน และสายรัสเซีย ที่เรียกว่าสายเวียต.แต่
พคท.สายจีน ยังเป็นหลัก ในการนำ และได้รับการช่วยเหลือ หลาย หลายทาง จากจีน โดยใช้เส้นทางผ่านมาทางลาว
เป็นปัญหาภายในที่ต่อสู้กันเอง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือโลกทัศน์ ของผู้นำในพคท. ล้วนมาจากชาวนา ที่เจตนาเปลี่ยนให้เป็นโลกทัศน์ของชนชั้น กรรมกร ที่เรียกว่ากรรมาชีพ เท่านั้น
แต่นักศึกษาที่เป็นปัญญาชน จะมีโลกทัศน์ที่เป็นปฎิปักษ์ ทางชนชั้น
ที่จะไม่มีทางประนีประนอมกันได้.. และไม่อาจจะเปลี่ยนไปมีโลกทัศน์อย่างชนชั้นกรรมมาชีพ.
ปัญหานี้ เริ่มเกิดขึ้นได้ ก็เพราะ นักศึกษาที่เข้า ป่า ต้องการประชาธิปไตย เมื่อถูกเข่นฆ่า ก็ต้องหาทางสู้ และกลับมาเอาคืน .. แต่ไม่ใช่ให้ประเทศต้องล้าหลังไป เป็น คอมมิวนิสต์ ใช้โลกทัศน์ อย่างชนชั้นกรรมาชีพ .ปกครองประเทศ..
นักศึกษา ปัญญาชน ในยุคนั้นจึงเริ่มรู้สึกตัวว่า พคท.มองพวกตน เป็นแนวร่วม ..เท่านั้น... และที่สุดของการขัดแย้งนี้ ย่อมมองไม่เห็นอนาคต ที่จะสู้เพื่อ พคท.ไปทำไม .. มันไม่ใช่สิ่งที่เขาหวัง คือประชาธิปไตย
และขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐ มี นายก หรือ ผู้แทนไทยท่านหนึ่ง(ผมจำไม่ได้) เดินทางไปจีน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระดับประเทศ ขึ้นมา เป็นเหตุให้ จีนต้องเลือกความสัมพันธ์ รัฐต่อรัฐ ต้องตัดความช่วยเหลือ แก่ พคท. อย่างสิ้นเชิง..
สมัยนั้นท่านเปรม ได้ออก นโยบาย ๖๖/๒๓,๖๕/๒๕.
๖๖ /๒๔ (ถ้าจำผิดขออภัยครับ) โดยมีอดีต กรรมการ พคท. ได้ช่วยท่านในเรื่องนี้.. การเดินนโยบายทางการเมืองนี้ สอดรับกับสถานการณ์ทางการเมืองใน พคท.
ที่นักศึกษา ทิ้งพคท. จึงได้ร่วมกันทยอย ออกจากป่า กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย ตามนโยบาย ๖๖/๒๓,๖๕/๒๕.
๖๖/๒๔ ออกมาเรียนต่อ จนบางท่านได้เป็นรมต ในยุคนายกทักษิณ..
สงครามประชาชน ของ พคท. จึงต้องล่มสลาย ลงในที่สุด. .
ถ้าไม่มี นักศึกษาปัญญาชน สมัย ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หนีเข้าป่า..คนในชาติ จะต้องเข่นฆ่า ล้มตาย
กันอีกนาน.. นักอนุรักษ์ธรรมชาติ จะไม่มีทางทำป่าให้เป็นป่า. เพราะจะถูกยิงตายตรงชายป่านั้นด้วยความเข้าใจผิด
ธรรมชาติ ของป่าเขา จะไม่มีทางที่คนไทยจะไปสัมผัส ได้เลย ครับ.
สิ่งที่ผมมาเล่านี้ จากมุมมอง ที่ผมได้สัมผัส และอยู่ในกระแส นั้นด้วย ตนเอง
โลกทัศน์ คือ ระดับการคิดการมองปัญหา ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม ของคน. เป็นตัวกำหนด
จะมีชนชั้นของคนผู้นั้น เป็นตัวกำหนด.. ชาวนา ต้องทำนา ผลประโยชน์ทางชนชั้น คือการได้เป็นเจ้าของนา . ต้องยึดกุมอำนาจรัฐ เพื่อทำให้เกิดการปฎิบัติตามมา..เพื่อรับใช้ชนชั้นของตน
นายทุน ก็จะมีโลกทัศน์ที่ ชอบความสะดวกสบาย มีคนรับใช้ ทำธุระกิจเพื่อหาเงิน มาเ้พื่อรับใช้ความต้องการของตัว
นักศึกษา ชนชั้นปัญญาชน มีโลกทัศน์ที่ก้าวหน้า รักการอ่าน การเรียนรู้ รักความเป็นอิสระ้ รักประชาธิปไตย รังเ้กียจการเอารัดเอาเปรียบในสังคม..
ถ้าคลาดเคลื่อดไปบ้างต้องขออภัยครับ. เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นอดีตของคนในยุคนั้น
ที่ล่วงมากว่า ๓๐ ปีแล้ว.
ขอบคุณมากครับคุณบุญสวัสดิ์ .
ขอบคุณมากครับเสธฯมะขิ่น.