เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 23, 2024, 06:24:08 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขับรถอย่าใจร้อนนะครับ  (อ่าน 6858 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
noppadon ouysuwan
ชาว อวป.
Jr. Member
****

คะแนน 0
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23


« ตอบ #15 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:29:43 PM »

ทั้งคู่มี EQ ต่ำ
บันทึกการเข้า
ออด
Hero Member
*****

คะแนน 17
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2870


« ตอบ #16 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:39:45 PM »

ขัน-ติ คือ ความอดทน อดกลั้น  ขาดการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันของผู้ร่วมเดินทาง ที่ใช้ทางสาธารณะร่วมกัน ไม่มีใครยอมใคร
บันทึกการเข้า

"..รักปืน ชอบปืน หมั่นฝึกซ้อมและดูแลรักษาให้ดี.."
                    "..มีปืน ต้องมีสติ.."
Miami_Dolphin
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 5
ออฟไลน์

กระทู้: 122


« ตอบ #17 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:40:17 PM »

เมื่อชักปืนแสดงว่ามีเหตุต้องยิง ถ้าไม่มีเหตุอย่าได้ชักออกมาเชียว เจอคนมีปืนเหมือนกันก็เป็นแบบนี้

น่าสงสารเด็กครับ
บันทึกการเข้า
noom
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 6
ออฟไลน์

กระทู้: 349


« ตอบ #18 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:43:59 PM »

แค่เพียงยอมกันคนละหน่อย  ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้  สงสารพ่อแม่เด็กครับ
บันทึกการเข้า
Hatyai
Sr. Member
****

คะแนน 23
ออฟไลน์

กระทู้: 641



« ตอบ #19 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:46:07 PM »

เป็นอีกหนึ่งสาเหตุครับ ที่หลายคนชอบว่าคนมีปืนเป็นคนไม่ดี
บันทึกการเข้า
Wisky6
Full Member
***

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 200



« ตอบ #20 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 12:54:08 PM »

มีลูกแล้ว ควรจะต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตให้มาก มีเหตุผล พูดจารู้เรื่องด้วย ไม่ใช่ทำตัวเป็นคน EQ ต่ำเอาแ่ต่ใจ หัวดื้อ ใจร้อน แตะอะไรไม่ได้

Grin Grin Grin ลูกผม ๖ เดือนเป็นวันที่ ๓ กำลังน่ารัก ... เช้า ๆ ตื่นมากระดืบไปมาบนเตียง พ่อนอนอยู่ด้วยไม่สนใจ เอาเท้ายันพ่อสักพัก ก็ต้องตื่นมาเล่นด้วย ... ผมลุกไปอาบน้ำ ก็จะมองตาม .... อาบเสร็จ มาแต่ตัว ก็จ้องเขม็ง .... ก่อนออกจากบ้านก็หอมแก้มเสีย ๒ ที Grin Grin Grin

ใครไม่มีลูก คงไม่มีโอกาสแบบนี้ Grin Grin

วันหนึ่งขณะขับรถพาลูกไปฉีดวัคซีน แฟนผมถามผมว่า เวลาลูกอยู่ในรถ รู้สึกไหมว่าต้องขับให้ระวังมากขึ้น ... ผมยังไม่ทันตอบ ก็ต้องกระทืบเบรคดังเอี๊ยด ทั้งแม่ ทั้งพี่เลี้ยง เกือบตกเก้าอี้ ดีที่ลูกผมคนอุ้มเก่ง โช๊คมือดี ลูกผมเลยไม่ได้บินข้ามไหล่พ่อมากระจกหน้า ...  อ๋อย อ๋อย ผมเลยโดนซ้า .... ยี๊ ยี๊

คนมีลูกก็คงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกตัวเองครับ .... แต่ตอนทำคงไม่ได้คิด (ถ้าเชื่อตามจำเลย) ... เอาไว้มีอีกคน คงต้องทำตัวให้ดีขึ้นครับ ...

ว่าแต่ท่านต๊อกเมื่อไรจะมีข่าวดีบ้างล่ะ  Grin Grin





ผมขับรถไปทำงานทุกวันไปกลับ120กิโล ผมเจอแบบนี้ก็บ่อยครับ ขับมาจี้ตูดเปิดไฟสูงทั้งที่ข้างหน้ามันก็ไปไม่ได้ บางครั้งก็โมโห แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะทำให้ใจเราไม่สงบซะเปล่าถ้าหลบให้มันไปได้ก็หลบดีกว่า ลูกๆยังคอยอยู่ที่บ้าน รูปเจ้าหนูคนนี้น่ารักครับ  เยี่ยม
บันทึกการเข้า

God made man,
Samuel Colt made the man equal,
Gaston Glock made the man more equal.
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:00:50 PM »

มีลูกแล้ว ควรจะต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตให้มาก มีเหตุผล พูดจารู้เรื่องด้วย ไม่ใช่ทำตัวเป็นคน EQ ต่ำเอาแ่ต่ใจ หัวดื้อ ใจร้อน แตะอะไรไม่ได้

Grin Grin Grin ลูกผม ๖ เดือนเป็นวันที่ ๓ กำลังน่ารัก ... เช้า ๆ ตื่นมากระดืบไปมาบนเตียง พ่อนอนอยู่ด้วยไม่สนใจ เอาเท้ายันพ่อสักพัก ก็ต้องตื่นมาเล่นด้วย ... ผมลุกไปอาบน้ำ ก็จะมองตาม .... อาบเสร็จ มาแต่ตัว ก็จ้องเขม็ง .... ก่อนออกจากบ้านก็หอมแก้มเสีย ๒ ที Grin Grin Grin

ใครไม่มีลูก คงไม่มีโอกาสแบบนี้ Grin Grin

วันหนึ่งขณะขับรถพาลูกไปฉีดวัคซีน แฟนผมถามผมว่า เวลาลูกอยู่ในรถ รู้สึกไหมว่าต้องขับให้ระวังมากขึ้น ... ผมยังไม่ทันตอบ ก็ต้องกระทืบเบรคดังเอี๊ยด ทั้งแม่ ทั้งพี่เลี้ยง เกือบตกเก้าอี้ ดีที่ลูกผมคนอุ้มเก่ง โช๊คมือดี ลูกผมเลยไม่ได้บินข้ามไหล่พ่อมากระจกหน้า ...  อ๋อย อ๋อย ผมเลยโดนซ้า .... ยี๊ ยี๊

คนมีลูกก็คงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับลูกตัวเองครับ .... แต่ตอนทำคงไม่ได้คิด (ถ้าเชื่อตามจำเลย) ... เอาไว้มีอีกคน คงต้องทำตัวให้ดีขึ้นครับ ...

ว่าแต่ท่านต๊อกเมื่อไรจะมีข่าวดีบ้างล่ะ  Grin Grin



อ๊า น่ารักจังครับพี่ ตาโตเชียว อิ อิ น่าอิจฉาคุณพ่อจัง

อูย.. น่าจะใช้ที่นั่งเด็กนะครับ

อือม์ สำหรับผมยังไม่มีช่าวครับ อิ อิ
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
TWC - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 93
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1193


เลือดสีเทา SATIT 9 KKU


« ตอบ #22 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:02:25 PM »

เคยเจอขับรถกวนประสาทเหมือนกันครับ
แต่แม่บ้านปรามไว้"จะบ้าเหรอลูกก็นั่งมาด้วยนะ" Smiley
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:09:17 PM โดย TWC » บันทึกการเข้า

สบายดี.........
SingCring
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #23 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:08:21 PM »

ขออนุญาตนำข้อความที่ผมเคยโพสไว้ น่าจะเทียบเคียงได้

ผมเคยเจอสถานการณ์ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่ามันเป็นพวกกวนเมืองที่ขับรถแล้วปาก้อนหินใส่รถที่จอดกินข้าวต้มอยู่ แต่ผมจะคิดเสมอว่าพวกที่กล้าทำมันก็ต้องมี
1.ทางหลบหนีเตรียมอยู่ก่อนแล้ว หรือ
2.อาวุธ หรือ
3.ทั้งสองอย่าง

        สมัยนี้วัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะมีปืนทั้งนั้น ไม่ว่าเถื่อนหรือแอบขโมยของผู้ปกครองมาพกพาด้วยความคะนองใจ แต่ที่ต่างกันก็คือ
พวกเราจะชักปืนออกมายิงก็ต่อเมือมีเหตุจำเป็นจริงๆ เพราะอันตรายร้ายแรงที่ใกล้จะมาถึง ส่วนพวก(ตื้ด..เซนเซอร์)นั้นสามารถชักปืนออกมายิงได้ทุกสถานการณ์ .......
  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
snowwhite
The more you give, the more you take
Sr. Member
****

คะแนน 43
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 589


1-9-1-1 Never Die


« ตอบ #24 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:09:11 PM »

ได้ข้อมูลเพิ่มเติม บังเอิญแม่เด็กเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่ทำงาน และได้ไปงานศพน้องคนนี้มา  ครอบครัวนี้มีลูกสาว 1 คน และเด็กที่เสียชีวิตเป็นผู้ชาย พึ่งมีอายุเพียง 8 วัน ทั้งพ่อและแม่แทบจะยังไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปกับลูก สุดท้ายต้องมาถ่ายรูปกับลูกขณะไร้วิญญาญ  บอกว่าจากเหตุการณ์พ่อแม่ไม่เป็นอะไร แต่กระสุนเข้าที่ศีรษะของเด็ก ขณะแม่อุ้มอยู่ (ก็เลยคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าไม่ได้อุ้มลูกไว้ กระสุนก็ตรงหน้าอกของแม่พอดี)
ได้สอบถามว่ารายละเอียดวันนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนบอกว่าไม่รู้เพราะไม่อยากถามถึงเหตุการณ์ เนื่องจากกลัวจะสะเทือนความรู้สึก  ซึ่งเพียงก็บอกว่าปรกติพ่อเด็กก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร (อันนี้ก็ไม่รู้ว่าพออยู่ในสถานการณ์นั้นจะเป็นอย่างไร)
 เศร้า


พอดีได้รับเมล์ที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ และคิดว่านะจะเป็นประโยชน์เลยนำมาโพสท์ให้อ่านกันดู..

การขับรถ

คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ

โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย drwithan@hotmail.com

การขับรถเป็นเรื่องราวที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมีเหตุการณ์สำคัญๆ
เกิดขึ้นในชีวิตผมกับเรื่องการขับรถ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมเคยประสบเหตุการณ์อะไรพิเศษๆ
ประเภทขับรถไปเจอมนุษย์ต่างดาวหรือเคยขับรถข้ามมหาสมุทรข้ามโลกหรืออะไรแบบนั้น

แต่เป็นการขับรถ "ที่เป็นธรรมดาๆ" "ที่เป็นปกติ" ในชีวิตประจำวันนี่แหละ

เมื่อหลายปีก่อนผมอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านติช นัท ฮันห์ที่ชื่อ Peace Is Every Step
(มีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้วชื่อหนังสือสันติภาพทุกย่างก้าว)
ท่านบอกว่าทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟแดงในขณะที่ขับรถ ให้ลองถือเสมือนว่าเป็น "สัญญาณเตือน"
ให้เรากลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาฝึกลมหายใจของตัวเองทุกครั้ง

ท่านติช นัท ฮันห์เป็นพระชาวเวียดนาม ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพลัมประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเสาหลักที่สำคัญคนหนึ่งของพุทธศาสนาเคียงคู่กับองค์ทะไลลามะ
ทั้งสองท่านนี้ได้ทำให้พุทธศาสนาเป็นที่ปรากฏและรู้จักไปทั่วโลก คำว่า "ปรากฏและรู้จัก"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่ "ปรากฏและรู้จัก"
ทางภายนอกเท่านั้นแต่รูปธรรมก็คือมีผู้คนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหันมาสนใจที่จะ
"ฝึกฝนตัวเอง" อย่างจริงจังในแนวพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก  โดยที่ยังคงอาจจะดำรงตนอยู่ในศาสนาเดิม
และไม่จำเป็นจะต้องหันมาทำตัวหรือมาเปลี่ยนศาสนาให้เป็นพุทธศาสนิกใดๆ

จุดเด่นที่เป็นลักษณะพิเศษของท่านติช นัท ฮันห์คือท่านเน้นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการทำกิจวัตรปกติในชีวิตต่างๆ ได้
เช่นการล้างจาน การถูบ้าน การกินอาหาร รวมไปถึง "การขับรถ"
ไม่จำเป็นจะต้องนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิเข้าวัดสร้างวัดเท่านั้นที่ถือว่าเป็น "การปฏิบัติธรรม"
โดยที่ท่านเน้นเรื่อง "การอยู่กับปัจจุบันขณะ" โดยอาศัย "ลมหายใจ"  เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ

ผมอยากจะขยายความเพื่ออธิบายเรื่อง "ลมหายใจ" ของท่านนัท ฮันห์อีกสักเล็กน้อย
จุดประสงค์ของการฝึกเรื่องลมหายใจคือเป็นการฝึก "ตัวรู้" ของเรา ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมคิดว่าอุบายของท่าน "แยบยลมาก" ที่มุ่งทำให้เกิด "ความเป็นปกติ" ในชีวิตทั่วๆ
ไปของพวกเรา เมื่อรถติดไฟแดงคนส่วนใหญ่ก็จะ "เผลอหงุดหงิด"
ในช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือวิตกกังวลว่าจะไปทำงานไม่ทัน, ไปถึงที่หมายไม่ทันนั้น คุณกำลังตก  "ร่องอารมณ์"
คุณกำลังทำร้ายตัวเองเพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมามากมาย ตามที่ผม
ได้เคยให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาหลายครั้งแล้วในบทความครั้งก่อนๆ

การเลือกที่จะกลับมาสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ด้วยวิธีง่ายๆ
ด้วยลมหายใจนั้นช่วยให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนด้านบวกอย่างเอ็นดอร์ฟินออกมา

ถ้าเราลองมองในภาพรวมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแค่ในช่วงติดไฟแดงเพียงไม่กี่นาทีตรงนั้น
คนที่โดยไม่รู้ตัวเลือกที่จะหงุดหงิดจะมี "ความแตกต่าง" กับคนที่เลือกโดยรู้ตัวที่อยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่จริงมากมายในทุกเรื่อง
ไม่ใช่แค่เรื่องฮอร์โมนบวกลบซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพที่ดีตามที่ผมอธิบายเท่านั้น แต่จะสามารถส่งผลในทุกเรื่องของชีวิต
ประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี ความรู้สึกสนุกกับชีวิตอยากเรียนรู้ประสบการณ์ของเอ็นดอร์ฟินเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ
ความสุขในชีวิต ความสัมพันธ์ที่ดีๆ กับคนรอบข้าง ฯลฯ

ในแต่ละวันเราจะพบกับ "กับดัก" ในพื้นที่ของชีวิตนั้นมีมากมายเหลือเกิน พวกเราพร้อมที่จะ"ตกลงไป" "หลุดเข้าไป"
ใน "กับดัก" เหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัวเป็นการเข้าไปสู่ "ความไม่ปกติของชีวิต" ซึ่งเรื่องนี้ก็จะนำไปสู่
"การสะสมความเครียด" มากขึ้นไปเรื่อยๆ ทำร้ายร่างกายตัวเองไปเรื่อย ทำร้ายคนรอบข้างไปเรื่อยๆ
และบางคนทำร้ายสังคมไปเรื่อยๆ เช่นกัน

โดยส่วนตัวผมพบประสบการณ์ที่น่าสนใจในเรื่องการฝึกแบบนี้อยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ใหม่ๆ
จะทำค่อนข้างยากคือมักจะลืม แต่ "สัญญาณไฟแดง" แบบที่ท่านนัท ฮันห์แนะนำนี้เป็น"ตัวเตือน" ที่ดีมาก
และเมื่อฝึกเรื่องนี้มากขึ้นๆ น่าแปลกที่เหมือนกับว่าทำให้เรา"เรียนรู้ใหม่" เรียนรู้เส้นทางของความคิดและอารมณ์
"เส้นทางใหม่" ที่จะไม่นำไปสู่ "ฮอร์โมนลบ"

"การเรียนรู้ใหม่" (Re-Learn) ที่ว่านี้ก็ตรงกับที่บรูซ ลิปตันนักชีววิทยาผู้เสนอทฤษฎีเซลล์แบบใหม่ที่บอกว่า
เซลล์ของร่างกายเราสามารถสร้าง "ยีนส์ใหม่" ได้จากผนังเซลล์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำตาม "ความเคยชิน"
ตามที่ยีนส์ในนิวเคลียสได้กำหนดมาไว้แล้ว ลิปตันบอกว่าการเรียนรู้คือการสร้างยีนส์ใหม่ออกมานั่นเอง

โดยส่วนตัวผมพบว่าการขับรถเป็น "บริเวณของชีวิต" ของผมที่ผมสามารถพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก
จากเดิมที่ผมเคยหงุดหงิดเป็นประจำและมากถึง 80-90% ของเวลาที่ใช้ในการขับรถมาเหลืออยู่เพียง 10-20% เท่านั้น


เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอที่จะให้รถทางขวาไปก่อน ไม่พยายามแย่งชิงจังหวะตัดหน้ากัน
แถมยังสามารถส่งยิ้มส่งความปรารถนาดีๆ ไปให้คนขับคนอื่น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอให้รถฝั่งตรงข้ามที่ต้องการจะเลี้ยวขวาเพื่อเข้าซอยที่อยู่ฝั่งผม
เดี๋ยวผมรู้สึกเข้าใจแล้วว่าทำไมมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานไม่ค่อยอยากจะชิดซ้ายมากนัก
รู้สึกเข้าใจสามล้อถีบที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนจะหงุดหงิดมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ยอมชิดขอบทางและขับเกะกะ
รู้สึกหงุดหงิดกับสามล้อที่ช้าต้วมเตี้ยมขวางทางอยู่ข้างหน้า

และเดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าผมควรจะหยุดรถเพื่อให้คนเดินข้ามถนนและผมพร้อมที่รอคนเหล่านี้ข้ามถนน ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้จะรู้สึกว่า
ถนนเป็นของรถยนต์คนข้ามถนนควรจะต้องรอรถยนต์มากกว่าให้รถยนต์หยุดรอ

ที่เล่ามานี้ก็เพียงแค่เล่าให้เห็นประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าเป็นไปได้ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงให้มีอารมณ์ดีขึ้นได้โดยผ่าน
"ประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ" ที่เราเจอกันอยู่ทุกวี่ทุกวันอย่างเช่นการขับรถนี้
ผมเชื่อว่าหลายท่านจะทำได้เหมือนผมและหลายท่านก็คงจะทำได้ดีกว่าผมไปแล้วด้วยซ้ำ

ที่เล่ามานี้ผมไม่ได้มีเจตโอ้อวดใดๆ ตัวผมยังต้องเรียนรู้ใน "บริเวณอื่นๆ ของชีวิต "อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่นในเรื่องการเลี้ยงลูกเป็นตัวอย่างที่ท้าทายยิ่ง
กล่าวคือเป็นบริเวณพื้นที่ของชีวิตที่ผมยังอาจจะทำได้ไม่ดีนัก เป็นต้น

ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ ได้เป็นอย่างดี
เราคงต้องรู้สึกขอบคุณชีวิตที่ให้ "แบบฝึกหัด" ต่างๆ
มากมายที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันที่ทำให้ทุกวันเป็นวันที่เสมือนหนึ่งทำให้เราพบ
"ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" กันได้ตลอดเวลาอย่างที่ติช นัท ฮันห์ได้นำเสนอไว้จริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:25:10 PM โดย snowwhite » บันทึกการเข้า

"Sound Mind in Sound Body"
Egle
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #25 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:13:10 PM »

ไม่น่าเชื่อ คำพูดของ นายวัชฤทธิ์ (คนยิง)
   คนขับรถมากับภรรยา และ ลูกอายุ  8 วัน  จะชักปืนขู่  หรือยิงขึ้นฟ้าก่อน อาจเป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า ที่โดนเปิดไฟไล่
       มีปืนด้วยกัน  ถูกยิง ไป 4 นัด ลูกเสียชีวิต   กลับขับรถไปแจ้งความ  ผิดวิสัยของคนที่มีปืนติดรถ
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #26 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:35:36 PM »





ลูกชายน่ารักมากครับ คุณ jakrit .. ยูมีินเนอร์  น้อย(อดีตดารา ฮอลลิวู๊ด)  Cheesy

บันทึกการเข้า

ฅนต้นน้ำ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 115
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1377



« ตอบ #27 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:51:56 PM »

อ่านแล้วสเทือนใจครับ ลูกน้อยมีบุญแค่ใด้ช่วยชีวิตแม่ใว้ ความใจร้อนใม่ใด้เกิดผลดีในชีวิตเลย
บันทึกการเข้า
boon(เสือไบ)
ความประพฤติบกพร่อง จะทำให้บิดามารดาอับอาย
Hero Member
*****

คะแนน 532
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6011



« ตอบ #28 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:57:20 PM »

กระทู้เรื่องเดียวกันกับที่หลังแนวยิงเลย
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=53431.0
บันทึกการเข้า

If a man says he is not afraid of dying, he is either lying or is a Gurkha
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #29 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2008, 01:57:51 PM »

ได้ข้อมูลเพิ่มเติม บังเอิญแม่เด็กเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่ทำงาน และได้ไปงานศพน้องคนนี้มา  ครอบครัวนี้มีลูกสาว 1 คน และเด็กที่เสียชีวิตเป็นผู้ชาย พึ่งมีอายุเพียง 8 วัน ทั้งพ่อและแม่แทบจะยังไม่ได้มีโอกาสถ่ายรูปกับลูก สุดท้ายต้องมาถ่ายรูปกับลูกขณะไร้วิญญาญ  บอกว่าจากเหตุการณ์พ่อแม่ไม่เป็นอะไร แต่กระสุนเข้าที่ศีรษะของเด็ก ขณะแม่อุ้มอยู่ (ก็เลยคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าไม่ได้อุ้มลูกไว้ กระสุนก็ตรงหน้าอกของแม่พอดี)
ได้สอบถามว่ารายละเอียดวันนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนบอกว่าไม่รู้เพราะไม่อยากถามถึงเหตุการณ์ เนื่องจากกลัวจะสะเทือนความรู้สึก  ซึ่งเพียงก็บอกว่าปรกติพ่อเด็กก็ไม่ใช่คนใจร้อนอะไร (อันนี้ก็ไม่รู้ว่าพออยู่ในสถานการณ์นั้นจะเป็นอย่างไร)
 เศร้า


พอดีได้รับเมล์ที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ และคิดว่านะจะเป็นประโยชน์เลยนำมาโพสท์ให้อ่านกันดู..

การขับรถ

คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ

โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย drwithan@hotmail.com

การขับรถเป็นเรื่องราวที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ เพราะมีเหตุการณ์สำคัญๆ
เกิดขึ้นในชีวิตผมกับเรื่องการขับรถ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมเคยประสบเหตุการณ์อะไรพิเศษๆ
ประเภทขับรถไปเจอมนุษย์ต่างดาวหรือเคยขับรถข้ามมหาสมุทรข้ามโลกหรืออะไรแบบนั้น

แต่เป็นการขับรถ "ที่เป็นธรรมดาๆ" "ที่เป็นปกติ" ในชีวิตประจำวันนี่แหละ

เมื่อหลายปีก่อนผมอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งของท่านติช นัท ฮันห์ที่ชื่อ Peace Is Every Step
(มีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้วชื่อหนังสือสันติภาพทุกย่างก้าว)
ท่านบอกว่าทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟแดงในขณะที่ขับรถ ให้ลองถือเสมือนว่าเป็น "สัญญาณเตือน"
ให้เรากลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาฝึกลมหายใจของตัวเองทุกครั้ง

ท่านติช นัท ฮันห์เป็นพระชาวเวียดนาม ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพลัมประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเสาหลักที่สำคัญคนหนึ่งของพุทธศาสนาเคียงคู่กับองค์ทะไลลามะ
ทั้งสองท่านนี้ได้ทำให้พุทธศาสนาเป็นที่ปรากฏและรู้จักไปทั่วโลก คำว่า "ปรากฏและรู้จัก"
ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่ "ปรากฏและรู้จัก"
ทางภายนอกเท่านั้นแต่รูปธรรมก็คือมีผู้คนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหันมาสนใจที่จะ
"ฝึกฝนตัวเอง" อย่างจริงจังในแนวพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก  โดยที่ยังคงอาจจะดำรงตนอยู่ในศาสนาเดิม
และไม่จำเป็นจะต้องหันมาทำตัวหรือมาเปลี่ยนศาสนาให้เป็นพุทธศาสนิกใดๆ

จุดเด่นที่เป็นลักษณะพิเศษของท่านติช นัท ฮันห์คือท่านเน้นว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการทำกิจวัตรปกติในชีวิตต่างๆ ได้
เช่นการล้างจาน การถูบ้าน การกินอาหาร รวมไปถึง "การขับรถ"
ไม่จำเป็นจะต้องนุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิเข้าวัดสร้างวัดเท่านั้นที่ถือว่าเป็น "การปฏิบัติธรรม"
โดยที่ท่านเน้นเรื่อง "การอยู่กับปัจจุบันขณะ" โดยอาศัย "ลมหายใจ"  เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ

ผมอยากจะขยายความเพื่ออธิบายเรื่อง "ลมหายใจ" ของท่านนัท ฮันห์อีกสักเล็กน้อย
จุดประสงค์ของการฝึกเรื่องลมหายใจคือเป็นการฝึก "ตัวรู้" ของเรา ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
ผมคิดว่าอุบายของท่าน "แยบยลมาก" ที่มุ่งทำให้เกิด "ความเป็นปกติ" ในชีวิตทั่วๆ
ไปของพวกเรา เมื่อรถติดไฟแดงคนส่วนใหญ่ก็จะ "เผลอหงุดหงิด"
ในช่วงเวลาที่หงุดหงิดหรือวิตกกังวลว่าจะไปทำงานไม่ทัน, ไปถึงที่หมายไม่ทันนั้น คุณกำลังตก  "ร่องอารมณ์"
คุณกำลังทำร้ายตัวเองเพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนด้านลบที่เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมามากมาย ตามที่ผม
ได้เคยให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาหลายครั้งแล้วในบทความครั้งก่อนๆ

การเลือกที่จะกลับมาสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ด้วยวิธีง่ายๆ
ด้วยลมหายใจนั้นช่วยให้ร่างกายของคุณหลั่งฮอร์โมนด้านบวกอย่างเอ็นดอร์ฟินออกมา

ถ้าเราลองมองในภาพรวมเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแค่ในช่วงติดไฟแดงเพียงไม่กี่นาทีตรงนั้น
คนที่โดยไม่รู้ตัวเลือกที่จะหงุดหงิดจะมี "ความแตกต่าง" กับคนที่เลือกโดยรู้ตัวที่อยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่จริงมากมายในทุกเรื่อง
ไม่ใช่แค่เรื่องฮอร์โมนบวกลบซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพที่ดีตามที่ผมอธิบายเท่านั้น แต่จะสามารถส่งผลในทุกเรื่องของชีวิต
ประสิทธิภาพในการทำงานได้ดี ความรู้สึกสนุกกับชีวิตอยากเรียนรู้ประสบการณ์ของเอ็นดอร์ฟินเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นหัวใจ
ความสุขในชีวิต ความสัมพันธ์ที่ดีๆ กับคนรอบข้าง ฯลฯ

ในแต่ละวันเราจะพบกับ "กับดัก" ในพื้นที่ของชีวิตนั้นมีมากมายเหลือเกิน พวกเราพร้อมที่จะ"ตกลงไป" "หลุดเข้าไป"
ใน "กับดัก" เหล่านั้นอย่างไม่รู้ตัวเป็นการเข้าไปสู่ "ความไม่ปกติของชีวิต" ซึ่งเรื่องนี้ก็จะนำไปสู่
"การสะสมความเครียด" มากขึ้นไปเรื่อยๆ ทำร้ายร่างกายตัวเองไปเรื่อย ทำร้ายคนรอบข้างไปเรื่อยๆ
และบางคนทำร้ายสังคมไปเรื่อยๆ เช่นกัน

โดยส่วนตัวผมพบประสบการณ์ที่น่าสนใจในเรื่องการฝึกแบบนี้อยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ใหม่ๆ
จะทำค่อนข้างยากคือมักจะลืม แต่ "สัญญาณไฟแดง" แบบที่ท่านนัท ฮันห์แนะนำนี้เป็น"ตัวเตือน" ที่ดีมาก
และเมื่อฝึกเรื่องนี้มากขึ้นๆ น่าแปลกที่เหมือนกับว่าทำให้เรา"เรียนรู้ใหม่" เรียนรู้เส้นทางของความคิดและอารมณ์
"เส้นทางใหม่" ที่จะไม่นำไปสู่ "ฮอร์โมนลบ"

"การเรียนรู้ใหม่" (Re-Learn) ที่ว่านี้ก็ตรงกับที่บรูซ ลิปตันนักชีววิทยาผู้เสนอทฤษฎีเซลล์แบบใหม่ที่บอกว่า
เซลล์ของร่างกายเราสามารถสร้าง "ยีนส์ใหม่" ได้จากผนังเซลล์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำตาม "ความเคยชิน"
ตามที่ยีนส์ในนิวเคลียสได้กำหนดมาไว้แล้ว ลิปตันบอกว่าการเรียนรู้คือการสร้างยีนส์ใหม่ออกมานั่นเอง

โดยส่วนตัวผมพบว่าการขับรถเป็น "บริเวณของชีวิต" ของผมที่ผมสามารถพัฒนาขึ้นมาได้อย่างเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมาก
จากเดิมที่ผมเคยหงุดหงิดเป็นประจำและมากถึง 80-90% ของเวลาที่ใช้ในการขับรถมาเหลืออยู่เพียง 10-20% เท่านั้น


เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอที่จะให้รถทางขวาไปก่อน ไม่พยายามแย่งชิงจังหวะตัดหน้ากัน
แถมยังสามารถส่งยิ้มส่งความปรารถนาดีๆ ไปให้คนขับคนอื่น
เดี๋ยวนี้ผมรู้จักรอให้รถฝั่งตรงข้ามที่ต้องการจะเลี้ยวขวาเพื่อเข้าซอยที่อยู่ฝั่งผม
เดี๋ยวผมรู้สึกเข้าใจแล้วว่าทำไมมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานไม่ค่อยอยากจะชิดซ้ายมากนัก
รู้สึกเข้าใจสามล้อถีบที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนจะหงุดหงิดมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ยอมชิดขอบทางและขับเกะกะ
รู้สึกหงุดหงิดกับสามล้อที่ช้าต้วมเตี้ยมขวางทางอยู่ข้างหน้า

และเดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าผมควรจะหยุดรถเพื่อให้คนเดินข้ามถนนและผมพร้อมที่รอคนเหล่านี้ข้ามถนน ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้จะรู้สึกว่า
ถนนเป็นของรถยนต์คนข้ามถนนควรจะต้องรอรถยนต์มากกว่าให้รถยนต์หยุดรอ

ที่เล่ามานี้ก็เพียงแค่เล่าให้เห็นประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าเป็นไปได้ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงให้มีอารมณ์ดีขึ้นได้โดยผ่าน
"ประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ" ที่เราเจอกันอยู่ทุกวี่ทุกวันอย่างเช่นการขับรถนี้
ผมเชื่อว่าหลายท่านจะทำได้เหมือนผมและหลายท่านก็คงจะทำได้ดีกว่าผมไปแล้วด้วยซ้ำ

ที่เล่ามานี้ผมไม่ได้มีเจตโอ้อวดใดๆ ตัวผมยังต้องเรียนรู้ใน "บริเวณอื่นๆ ของชีวิต "อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่นในเรื่องการเลี้ยงลูกเป็นตัวอย่างที่ท้าทายยิ่ง
กล่าวคือเป็นบริเวณพื้นที่ของชีวิตที่ผมยังอาจจะทำได้ไม่ดีนัก เป็นต้น

ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ปกติธรรมดาๆ ได้เป็นอย่างดี
เราคงต้องรู้สึกขอบคุณชีวิตที่ให้ "แบบฝึกหัด" ต่างๆ
มากมายที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันที่ทำให้ทุกวันเป็นวันที่เสมือนหนึ่งทำให้เราพบ
"ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" กันได้ตลอดเวลาอย่างที่ติช นัท ฮันห์ได้นำเสนอไว้จริงๆ


ขอบคุณมากครับ คุณ snowwhite..

หลักคิดในพุทธศาสนา "การอยู่กับปัจจุบันขณะ"  คือ "ให้อยู่กับสภาวะที่เป็นปัจจุบัน"
ให้จิต มีสมาธิ อยู่กับการกระทำของตัว ณ เวลานั้น ..
ในขณะนั้น กำลังทำอะไรอยู่ จิตจะต้องสนใจอยู่กับเรื่องนั้น..ไม่ให้จิตล่องลอย ท่องเที่ยวไปจากสภาพที่เป็นปัจจุบัน.

จิตของคน ยากนัก ที่จะมารวมอยู่กับตัวตน.อยากทราบว่าจิตทำงานอย่างไร
ให้คิดถึงตอนนอนหลับ ร่างกายหลับแต่จิตอาจไม่หลับ การฝันว่าได้ท่องเที่ยวไป คือการทำงานของจิต .. แล้วบ้านของจิตอยู่ตรงส่วนใดของร่างกาย

ท่านผู้ที่ปฎิบัติธรรม จะได้รับบอกว่า มาจากบ่อน้ำเลี้ยงของหัวใจ  ที่อยู่กึ่งกลางร่างกาย
เหนือ สะดือ ขึ้นมาราว ๑ นิ้ว

การมีสมาธิ  คือการที่จิต มีภาวะุจดจ่อสนใจกับเรื่องที่เป็นปัจจุบันเฉพาะหน้า.
จะสามารถแก้ไข หรือทำผลงานออกมาได้ดี

ท่านติช นัท ฮันห์ นำมาปรับใช้กับการขับรถ และอธิบายให้ทราบ. ได้อย่างชาญฉลาดมากครับ.  Cheesy
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.117 วินาที กับ 22 คำสั่ง