เมื่อวานนี้( 31 มีนาคม 2551) เวลา 14.37 น.ขณะทำงานอยู่ น้องสาวโทรศัพทย์เข้ามาบอกว่าสัญญาณกันขโมยทำงาน (น้องสาวโทร.แจ้ง 191 ก่อนที่จะแจ้งผม) ผมรีบขับรถไประยะทางประมาณ 5 กิโลฯ ฝ่าไฟแดงไป 3 จุด ถึงหน้าบ้านมีสายตรวจ 191 อยู่หน้าบ้าน 1 นาย และแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเป็นพี่เจ้าของบ้าน แล้วก็ปีนรั้วบ้านเข้าไป(ตำรวจไม่ยอมตามเข้าไป) ผมรีบอ้อมไปด้านหลังบ้าน......ก็จ๊ะเอ๋ ขโมย 2 คน ลอดออกมาทางช่องกระจกที่มันงัดถอดออกมา ผมซักปืนออกมาสั่งให้หยุด ช่วงนั้นผมคิดตัดสินใจว่า จะยิงหรือไม่ยิงดี แล้วผมก็ยิงขู่ 1 นัด มันวิ่งโดดกำแพงบ้านออกไปในป่าหลังบ้าน ช่วงนั้นก็มีคนมาสมทบ 4 คน (ตำรวจยังไม่มา) ผมขับรถอ้อมไปดักด้านหลังสอบถามชาวบ้านว่ามีวัยรุ่นวิ่งออกมาหรือไม่ เขาบอกว่าไม่มี เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่พึ่งมาถึง แต่ไปปิดล้อม ป่าอีกฟากหนึ่งคงสื่อสารกันผิด ช่วงนั้นตำรวจได้เสื้อวอร์มขโมยมา 1 ตัว ผมย้อนกลับเข้าไปตรวจโภยในบ้าน ช่วงนั้นก็มีนายตำรวจฝ่ายสืบสวนอยู่ 1 นายกำลังตรวจที่เกิดเหตุ แล้วสั่งการให้เข้าตรวจเคลียร์พื้นที่อีก 1 รอบ ช่วงนี้ก็มีสายสายสืบนอกเครื่องแบบมาสบทบหลายนาย ผลก็คือ ได้ตัวขโมยที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า 1 คน (..ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง)
**อยากถามเพื่อนสมาชิกว่า
-ผมตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ไม่ยิงหัวขโมย 2 คนนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่โดนขโมยเข้าบ้าน
-เมื่อเจ้าทุกข์ไม่เอาความ ให้ตำรวจดำเนินการตามกฏหมาย เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รักษา/บังคับใช้กฏหมาย จะดำเนินการอย่างไร เจ้าขโมยรายนี้มีสิทธิที่จะออกมาเดินเล่นโดยไม่ติดคุกหรือเปล่า
ประเด็นแรก ผมว่าพี่อันดามันคิดถูกต้องที่สุดแล้วครับ ที่ไม่ยิงคนร้ายขณะมุดกระจก แต่เปลี่ยนไปยิงขู่แทน แม้เป็นครั้งที่ สามก็ตาม
ประเด็นที่สอง แม้คดีนี่เจ้าทุกข์จะไม่เอาความก็ตาม แต่คำว่าเจ้าทุกข์ไม่เอาความนี้มีความหมายสองอย่างเท่าที่เห็นบ่อยคือ กรณีแรก เจ้าทุกข์ไม่เอาความ หมายถึง ไม่อยากไปแจ้งความ แต่ให้ตำรวจดำเนินคดีเอง กับกรณีที่สอง คือ เจ้าทุกข์ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีกับคนร้ายเลย
ปกติแล้วกรณีที่เจ้าทุกข์ไม่ติดใจเอาความ และตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีได้และพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจที่จะทำการสอบสวนคดีนั้น ก็ต่อเมื่อความผิดนั้น เป็นความผิดต่อส่วนตัว หรือเรียกว่าความผิดอันยอมความได้
กลับกัน หากความผิดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ หรือผิดอาญาแผ่นดิน แม้เจ้าทุกข์จะไม่เอาความ ตำรวจก็ยังคงต้องดำเนินคดีนี้ต่อไป จะไม่ดำเนินคดีกับคนร้าย โดยอ้างสาเหตุว่า เจ้าทุกข์ไม่เอาความไม่ได้
กรณีพี่อันดามันความผิดที่เกิดขึ้น คือความผิดฐานบุกรุก ซึ่งในข้อหานี้ยอมความได้ เจ้าทุกข์ไม่เอาความ ตำรวจสามารถยุติคดีได้ เนื่องจากไม่มีคำร้องทุกข์กล่าวโทษ
ส่วนความผิดอีกกระทง น่าจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ โดยมีเหตุฉกรรจ์ คือในเคหสถานและโดยเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่จำนงให้เป็นทางคนเข้า ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดินร้ายแรง ถ้าตอนออกจากบ้านไม่ได้หยิบอะไรมาด้วย ก็เป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์
แต่ยังไงความผิดฐานนี้ เป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ แม้ทางพี่อันดามันไม่ไปแจ้งความ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมอยู่ไหนเหตุการณ์ด้วย จึงถือว่าเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมายพบการกระทำผิดแล้ว ในข้อหานี้ ตำรวจต้องดำเนินคดีเท่านั้นครับ ถ้าไม่ดำเนินคดี ถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ครับ
เจ้าทุกข์ไม่เอาความ
---วันนี้เจ้าของบ้านได้ติดตามความคืบหน้า ท่าน สวป. บอกว่าตอนนี้เรื่องอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวน เจ้าของบ้านเคยบอกว่าจับขโมยได้และได้ของคืน (ได้ทรัพย์สินคืนแล้วประมาณ 80-90 % ) จะไม่เอาความปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานดำเนินการตามกฏหมาย
---และเมื่อวานนี้ได้ข่าวว่าน้องชายสองคนของเจ้าหัวขโมยกำลังหาทรัพย์สินไปประกันตัว ผมฟังจากการบอกเล่าของคนที่รู้จักกัน เขาบอกว่า เจ้าน้องชายสองคนนี้ไปติดต่อตำรวจ และทางกำรวจบอกว่าให้หาเงินมา 3 หมื่นแล้วจบเรื่องเพราะเจ้าทุกข์ไม่เอาความ .....เอ๊ะ ทำไมมันจะจบง่ายขนาดนั้นหรือ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนพวกนี้ก็ลอยนวลอยู่และก็คงออกเดดินสายงัดแงะขโมบทรัพย์สินของชาวบ้านอยู่ร่ำไป เฮ้อ...
---- ถึงเจ้าของบ้านจะบอกว่าไม่เอาความ แต่ความผิดฐานลักทรัพย์ในกรณีนี้ พนักงานสอบสวนยังคงมีหน้าที่ดำเนินคดีและสรุปสำนวนสั่งฟ้อง เสนอต่อพนักงานอัยการอยู่ดีละครับ
---- ถ้าว่ากันแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจชั้นสัญญาบัตรคงไม่กล้าบอกว่า "ให้หาเงินมา 3 หมื่นแล้วจบเรื่องเพราะเจ้าทุกข์ไม่เอาความ" หรอกครับ เพราะเขารู้ว่ากฎหมายเขาบัญญัติไว้อย่างไร พนักงานสอบสวนต้องทำอย่างไร ในคดีข้อหาลักทรัพย์อันมีเหตุฉกรรจ์ ยิ่งกรณีนี้ได้ของกลางคือทรัพย์ของเจ้าทุกข์แล้วด้วย งานนี้คงลำบากซะหน่อย แต่ในทางปฏิบัติก็มีบ้างพอสมควรที่เห็นว่าเจ้าทุกข์ไม่มาสนใจคดี ก็เลยมีการฉีกแต่งสำนวนบ้างแต่เมื่อนานมาแล้ว แต่วิธีการแบบนี้ สมัยนี้ทำลำบากสักหน่อยครับ ประชาชนรู้กฎหมายมากขึ้น องค์กรอิสระที่สามารถร้องเรียนได้ให่เข้ามาตรวจสอบ
ถ้าตำรวจทำอย่างงั้นจริง พนักงานสอบสวนคดีนี้คงเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน โดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบต่อหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๐ ,มาตรา๒๐๑ และถูกสอบสวนทางวินัยถึงขั้นไล่ออกละครับ หมดอนาคตแน่งานนี้
ถ้าเป็นไปได้ครับ ผมว่าให้เจ้าทุกข์พยายามติดตามความคืบหน้าของคดีเรื่อยๆครับ ผู้เกี่ยวข้องคงไม่กล้าเปลี่ยนสำนวนอยู่แล้ว