Contrast Ratio คือค่าที่บ่งบอกถึง "ความสามารถในการแสดงรายละเอียดของส่วนมืดสุดและสว่างสุด" ของจอนั้นๆ .. ตามหลักการยิ่งค่า Contrast Ratio มากก็คือความสามารถในการแสดงรายละเอียดในส่วนมืด-สว่างก็ยิ่งมาก แต่ว่าหลายค่าย (Samsung / LG) ก็มักจะเอาค่านี้มาเป็นคำโฆษณา อย่างเช่น 2000:1 / 3000:1 ถ้าสังเกตุดีๆเขาจะมีการวงเล็กไว้ว่า (Dynamic Contrast Ratio หรืออะไรทำนองนี้)
- กล่าวคือ เขาไม่ได้ทำการวัดค่า Contrast Ratio ด้วยวิธีปกติอย่างที่เคยทำ เป็นการวัดด้วยหลักการหรือ technic ของแต่ละเจ้าเอง ในความเป็นจริงค่า Contrast Ratio ที่ระดับ 500-800 :1 ถือว่าสูงมากเพียงพอแล้วละครับ ค่าประเภท 2000:1 3000:1 5000:1 เป็นเรื่องของตัวเลขที่ใช้ในการโฆษณาเท่านั้นเอง
***จอ Plasma จะได้เปรียบจอ LCD เรื่องของ Contrast Ratio ที่มีอัตราสูงกว่า
HDMI สามารถส่งสัญญาณเสียงและภาพที่เป็น Digital พร้อมกันได้ภายในสายเดียว และเป็น port รุ่นใหม่ที่อาจจะเป็น มาตรฐานใหม่ด้วยจะมาแทน DVI (คนที่มี Port DVI อยู่แล้ว ก็สามารถแปลงจาก DVI มาเป็น HDMI ได้ด้วยตัวแปลงครับ)
เกร็ดความรู้การพิจารณาเลือกซื้อ LCD TV
1. ความสว่าง Britness ( Luminance )
ในบริเวณที่มีแสงค่อนข้างสูง หากค่าแสงสว่างที่หน้าจอต่ำจะทำให้ภาพที่มองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งหมายความว่า
ค่าความแสงสว่างยิ่งมากจะทำให้ภาพสว่างยิ่งขึ้น วัดได้จาก ระดับความสว่าง ? cd/m2( แรงเทียนต่อตารางเมตร)
2. รายละเอียดที่กำเนิดภาพ
SVGA ระดับมาตรฐาน อย่างน้อยที่รับชมภาพทั่วไป
XGA ระดับมาตรฐาน อย่างน้อยในระดับกราฟฟิคหรือเน้นตัวหนังสือชัดเจน
3. อัตราส่วนความเปรียบต่าง (Contrast Ratio)
อัตราส่วนความเปรียบต่าง ไม่ใช่ อัตราส่วนความคมชัด ซึ่งหมายถึงความเปรียบเทียบระหว่างสีขาวจัด กับดำจัด ซึ่งยิ่งมี Contrast Ratio มากยิ่งทำให้เกิด มิติของภาพ ความเข้มของภาพ มากยิ่งขึ้น
4. ควรมีช่องต่อเข้าสัญญาณภาพที่หลากหลาย ( VideoTerminal )
INPUT - Composite Video
S-Video
DVD - Componant : YUV ควรรองรับแบบ Progressive ได้
PC-INPUT 15pin VGA
SCART 21pin RGB
DVI หรือ HDMI
รุ่นใหม่ๆ จะมี USB ด้วยครับ
5. ระบบมัลติซิสเต็มทีวีจูนเนอร์ ( Multi System Tuner ) สามารถรับสัญญาณภาพระบบต่างๆได้ทั่วโลก เช่น NTSC/PAL/SECAM เป็นต้น แต่ถ้าดีควรจะรองรับอนาคตการแพร่ภาพแบบ DIGITAL แบบ IDTV หรือ HDTV
6. ระบบเสียงสเตริโอที่มีคุณภาพสูง ( High Quality Stereo Sound System) ควรรองรับระบบเสียง 2 ภาษา เช่น NICAM และ GERMAN STEREO กำลังขับวัตต์ ของลำโพงจะบอกถึงความดัง
7. อายุการใช้งานของหลอดไฟ
ในแต่ละเครื่องนั้นๆอายุการใช้งานของหลอดไฟไม่เท่ากันซึ่งหมายถึงการดูแลรักษาและค่าบำรุงรักษาที่แตกต่าง
8. ย่านแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งาน ควรเลือกย่านตอบสนองแรงดันไฟฟ้าของโทรทัศน์สีให้มีค่ากว้างที่สุดเท่าที่เลือกได้เช่น 180-240VAC
เพราะจะทำให้เครื่องมีความเสถียรมากขึ้นและภาพหน้าจอไม่วูบวาบ เมื่อไฟตกหรือไฟเกิน
- PLASMA TV บทสรุป ที่อาจจะทำให้เราต้องไปขบคิดกันก็คือ จอพลาสม่าทีวีไม่มีการเรืองแสงแบบBack light มุมมองที่เรียบแฟล็ตเท่ากัน สีสันความสว่างไม่เปลี่ยนแปลงที่มุมมองแตกต่างกัน การเคลื่อนไหวสมูท มีความต่อเนื่องของภาพ ปราศจากดีเลย์ ให้สีได้เที่ยงตรง เฉดสีทำได้มากกว่า กระบวนการผลิตจะAccurateกว่าโอกาสเกิดJagged รอยหยักแบบเหลี่ยมน้อยกว่า สีดำจะสมจริงและการไล่โทนดำเทาดีกว่า อัตราContrast Ratioเหนือกว่า
ข้อเสียคือ หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้ ต้องเลือกจอพลาสม่าที่มีการโค้ทติ้งผิวหน้าจอกันสะท้อนที่ดี
ขนาดของจอมีอยู่ในเร็นจ์ที่แคบ32, 42, 50 และ 60นิ้วอัตราการกินพลังงานเฉลี่ยใกล้เคียงกับ LCDความเข้มของสีดำน้อยกว่าLCD
อัตราการสู้แสงสว่างน้อยกว่าLCD
- LCD TVหน้าจอแห้งเรียบ ไม่มีการสะท้อนเงารบกวนสายตาขนาดของจอมีอยู่ในเร็นจ์ที่กว้าง10-60 นิ้ว อัตราการกินพลังงานเฉลี่ยเท่าเทียมกับ PlasmaTV อันนี้จะต้องเรียนเอาไว้เพื่อความเข้าใจนะครับว่า จอแอลซีดีแม้จะกินไฟต่ำ แต่ก็แสดงผลตลอดเวลาที่หน้าจอ พลาสม่าทีวี จะแสดงผลจากการปิดหรือเปิดแสงไปตามความสว่างมืดของภาพ ดังนั้นคิดเฉลี่ยแล้วก็จะสิ้นเปลืองพลังงานพอๆกัน จอLCD TVความเข้มของสีดำที่LCDเด่นกว่าPLASMA อัตราการสู้แสงสว่างดีกว่าPLASMAจึงตั้งไว้ดูที่สว่างๆได้โดยไม่มีปัญหารบกวนหน้าจอ อายุการใช้งานประมาณ 60,000ชั่วโมง
มีข้อเสียคือธรรมชาติในโครงสร้างของมัน มีการเรืองแสงแบบBack lightมุมมองที่เปลี่ยนไปตามตำแหน่งที่นั่งชม
สีสันความสว่างอาจเปลี่ยนแปลงได้ ภาพการเคลื่อนไหวมีโอกาสไม่สมูทสูงเนื่องจากอุณหภูมิ มีการดีเลย์ของภาพได้ ให้สีได้เที่ยงตรง มีโอกาสเกิดJagged รอยหยักแบบเหลี่ยมได้บ้าง อยู่ที่ตัวควบคุมหรือเอนจิ้น การไล่โทนดำเทาจะทำได้น้อยกว่า Plasma อัตรา Contrast Ratioต่ำกว่า Plasma