อ่ะ ไปเจอจาก pantip พิจารณาประกอบเอาเองนะ ยาวหน่อยนะ คนรู้ทัน
-----------------------------------------------------------------------
สภาหอการค้าฯ นำร่องเปิดสัมพันธ์ซาอุฯ สำเร็จในรอบ 20 ปี
16 May 2008 03:54 PM
จากการเปิดเผยของ นายไพรัช บูรพชัยศรี กรรมการเลขาธิการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่าระหว่างวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา ตนได้นำนักธุรกิจไทยเดินทางเข้าประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งถือเป็นนักธุรกิจไทยกลุ่มแรกที่ทางซาอุดิอาระเบียออกวีซ่าให้ หลังจาก ที่ไทยมีปัญหากับซาอุฯ มาถึง 20 ปี ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจาก หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดงาน World of Muslims ขึ้นโดยได้เชิญกลุ่มปรเทศ O.I.C มาประชุมที่ประเทศไทย ทำให้บรรยากาศ ความรู้สึก และการแสดงออกถึงความจริงใจที่ปรเทศไทย มีต่อกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง นำไปสู่สายสัมพันธ์ในทางที่ดีขึ้น และนับว่าการเดินทางในครั้งนี้ ได้รับความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง และในกลุ่มประเทศ O.I.C ก็พร้อมที่จะเดินทางมาประเทศไทย อีกครั้งในเดือนสิงหาคม ที่จะถึงนี้ เพื่อเข้าร่วมงาน World of Muslims ที่จะจัดขึ้นที่เมืองทองธานี
นายไพรัช ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าเคยมีคนไทย เกือบ 300,000 คน ทำงานในซาอุฯ ปัจจุบัน คนไทยที่ไปทำงานรุ่นแรก ๆ เหลืออยู่ประมาณ 20,000 คน อายุ 40 กว่าปีเป็นส่วนใหญ่ คนงานต่างด้าวในซาอุฯ มีประมาณ 6 ล้านคน เป็นชาวอินเดีย อินโดนีเซีย บังคลาเทศ ฟิลลิปินส์ และอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้า ได้มีการหารือกับหอการค้าที่ซาอุฯ เพื่อจัดตั้งสภาธุรกิจ หรือการค้าไทย ซาอุฯ ได้พบกับองค์กรสำคัญ ๆ ได้แก่ SASO ซึ่งเป็นหน่วยงานมาตรฐานสินค้าของซาอุฯ และได้เชิญมาดูงาน การตรวจสอบอาหารฮาลาล ในประเทศไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในในการส่งออกสินค้าไทยไปซาอุฯ การไปครั้งนี้มีนักธุรกิจในกลุ่ม อัญญมณี , วัสดุก่อสร้างและซิเมนต์ , อาหารและเครื่องดื่ม , ธุรกิจบริการรับเหมาก่อสร้าง ,ธุรกิจการศึกษา เกือบ 20 คน ร่วมเดินทางไปด้วย โดยนักธุรกิจซาอุฯ ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและดีใจที่หอการค้าไทยนำนักธุรกิจมาจับมือร่วมทำธุรกิจกับซาอุฯ ซึ่งทางซาอุฯก็มีนักธุรกิจกว่า 50 ราย ที่มีความสนใจและมาร่วมพบปะกับนักธุรกิจไทย เพื่อหาลู่ทางการทำธุรกิจระหว่างกัน ทั้งนี้ในส่วนหอการค้าทั้ง 2 ประเทศ จะสานต่อทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน อันจะเป็นการขยายมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เห็นว่าโอกาสและการลงทุน ในประเทศซาอุดิอาระเบีย มีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นแหล่งอุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ตลอดจนเป็นตลาดใหญ่มีประชากรกว่า 17 ล้านคน มากที่สุดในกลุ่ม GCC รวมถึงมีแรงงานต่างชาติอีกกว่า 7 ล้านคน และซาอุดิอาระเบียยังมีรายได้ประชาชาติต่อหัวสูงที่สุดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบีย เป็นประเทศสมาชิก Gulf Cooperation Council (GCC) ซึ่งประกอบด้วยประเทศโอมาน , บาห์เรน , คูเวต , กาต้าร์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีความตกลงจัดเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกัน เพียงร้อยละ 5 ซึ่งสินค้าไทยสามารถกระจายไปยังกลุ่มประเทศ GCC ได้
นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังเป็นประเทศผู้นำในโลกอิสลาม และกลุ่มประเทศอาหรับ
ซึ่งปัจจุบันดำเนินนโยบาย Look East ซาอุดิอาระเบีย มีความต้องการอุปโภค /บริโภคสินค้าจำนวนมาก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
ซาอุดิอาระเบีย จะค่อย ๆ ถอนเงินสนับสนุน (Subsidy) อุตสาหกรรมเกษตรและกสิกรรมภายในประเทศลง เนื่องจากมีการใช้น้ำมาก
โดยจะนำเข้าเป็นการทดแทน ทั้งนี้ ซาอุดิอาระเบีย มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประเภทอาหาร ร้อยละ 5 และลดการเก็บค่าธรรมเนียมการบริการที่ท่าเรือลง ร้อยละ 50 รวมทั้งเพิ่มเงินเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐบาล ร้อยละ 5 เป็นเวลา 3 ปี (2551 2553) เพื่อแก้ไขภาวะเงินเฟ้อ และไม่เฉพาะด้านการเกษตรเท่านั้น ยังมีช่องทางในภาคการก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นการรับเหมาช่วง การตบแต่งภายใน เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบัน กรุงริยาด ซึ่งเป็นเมืองหลวงมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เกิดขึ้นมาก
ส่วนที่เมืองเจดดาห์ ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งด้านการเมืองและศาสนา เป็นที่ตั้งของ Organization of Islamic Conference (O.I.C) ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังอาศัย O.I.C เป็นกระบอกเสียงแทนในเรื่องปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ให้บานปลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ ส่วนภาคธุรกิจที่สำคัญคือ การก่อสร้าง เจดดาห์ กำลังมีโครงการ King Abdullah Economic City ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดูไบ 3 เท่า ใหญ่กว่าฮ่องกง 4 เท่า และจะมีการก่อสร้างเมืองเศรษฐกิจอีก 6 เมืองภายในปี 2020 และจะมีการสร้างชุมชนของแต่ละประเทศที่เข้ามาลงทุนด้วย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ และมาเลเซีย
นายไพรัช กล่าวว่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะให้กับนักธุรกิจไทย ที่จะเข้าไปทำธุรกิจกับซาอุดิอาระเบีย จะต้องรู้จักการสร้างสัมพันธ์ก่อนการค้า รักษาสัมพันธ์ระหว่างขายและดูแลถนอมความความสัมพันธ์หลังการขาย เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอาหรับ โดยเฉพาะการทำความรู้จักและมีความมั่นใจในคู่ค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรระมัดระวังในการทำข้อตกลงทางการเงิน วิธีที่เหมาะสมที่สุด คือควรเปิด L/C นอกจากนี้จะต้องศึกษากฎระเบียบการนำเข้าและการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของซาอุดิอาระเบีย (SASO) ให้ละเอียด ไม่ควรมองแค่ซาอุดิอาระเบียเพียงจุดเดียว ควรจะมองเป็นภาพรวมทั้ง GCC เนื่องจากกลุ่ม GCC นี้มีความเชื่อมโยงทางการค้าถึงกันหมด โอกาสการค้าการลงทุนในซาอุดิอาระเบียนั้นมีอย่างแน่นอน เพียงแต่จำเป็นต้องใช้เวลาและต้องมีความอดทน และรู้ธรรมชาติของชาวซาอุดิอาระเบียในการเจรจา สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชื่อใจ จะต้องได้เพื่อนก่อนธุรกิจ แล้วธุรกิจจะตามมา เนื่องจากระบบของซาอุดิอาระเบีย การลงทุนทางธุรกิจจำเป็นต้องมี Sponsor หมายถึง ต้องมีชาวซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ร่วมประกอบการจึงจะสามารถดำเนินกิจการได้
อย่างไรก็ตาม นายไพรัช ได้กล่าวเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ภาครัฐควรจะต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์กลุ่มประเทศเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและจริงใจ ควรจะสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับประเทศไทยในอนาคตต่อไป
***********************************
http://www.thaiechamber.com/cms/content.jsp?id=com.tms.cms.article.Article_f0db9a23-c0a81019-4d1cc947-e3ef3192