ไดเมทิลอีเทอร์ หรือดีเอ็มอี มีสูตรเคมีคือ CH3OCH3 มีสถานะเป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น สามารถทำให้เป็นของเหลวได้เมื่อถูกอัดภายใต้ความดัน ดังแสดงในรูป
- ปกติถูกใช้เป็นสารขับเคลื่อนในกระป๋องสเปรและสารทำความเย็นทดแทนการใช้สารฟรีออนหรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ดีเอ็มอีสามารถจุดติดไฟได้ จึงได้รับความนิยมนำมาใช้ทดแทนแก๊สปิโตรเลียมเหลว เนื่องจากมีสมบัติทางกายภาพคล้ายแก๊สปิโตรเลียมเหลว ดังแสดงในรูป
และยังสามารถนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในเครื่องกังหันแก๊ส นอกจากนั้นยังมีค่าซีเทนสูง ประมาณ 55 เมื่อเผาไหม้จะสามารถเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เกิดเขม่า ปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์และออกไซด์ของไนโตรเจนต่ำกว่าเชื้อเพลิงทั่วไปและไม่มีส่วนประกอบของกำทะถันจึงไม่ก่อให้เกิดแก๊สซัวเฟอร์ไดออกไซด์ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซลในรถบรรทุกได้ ดังแสดงในรูป
ยังมีการคาดการณ์ว่าจะสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิงได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์และสลายตัวได้เองในบรรยากาศ ดังนั้นดีเอ็มอีจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกแห่งศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียว สมบัติต่างๆของดีเอ็มอีเมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆแสดงในตาราง
กระบวนการผลิตดีเอ็มอีแบบดั้งเดิมจะใช้เมทานอลเป็นวัตถุดิบในการผลิตโดยทำปฏิกิริยาดึงน้ำออก หรือปฏิกิริยาดีไฮเดรชัน บนตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นกรด เช่น แกมมาอลูมินา ซีโอไลท์ ในเครื่องปฏิกรณ์เบดนิ่ง ที่อุณหภูมิ 280 องศาเซลเซียสโดยประมาณและความดันบรรยากาศ เป็นต้น อย่างไรก็ตามค่าการเปลี่ยนและค่าการเลือกเกิดอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งต้นทุนยังขึ้นกับราคาของเมทานอลอีกด้วย
กระบวนการที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบันคือ การผลิตดีเอ็มอีโดยตรงจากแก๊สสังเคราะห์ (CO:H2 = 1:1) ผ่านกระบวนการความร้อนเคมี ในเครื่องปฏิกรณ์ slurry บนตัวเร่งปฏิกิริยาออกไซด์ของทองแดง สังกะสี และอลูมิเนียม ที่อุณหภูมิ 260 องศาเซลเซียส และความดัน 30 บรรยากาศ มีค่าการเปลี่ยนของปก๊สสังเคราะห์สูงถึงร้อยละ 40 และค่าการเลือกเกิดดีเอ็มอีร้อยละ 90
เมื่อเปรียบเทียบในเศรษฐศาสตร์ระหว่างการใช้ดีเอ็มอี และน้ำมันดีเซล พบว่าดีเอ็มอียังคงมีต้นทุนที่สูงกว่าน้ำมันดีเซลอยู่มากเนื่องจากความซับซ้อนในการผลิตและต้นทุนของแก๊สสังเคราะห์ อย่างไรก็ตามหากเราพิจรณาในเชิงคุณภาพชีวิต หรือสิ่งแวดล้อมนั้นจะเห็นว่าการใช้ดีเอ็มอีน่าจะมีราคาที่ถูกกว่าการใช้น้ำมันเซล ซึ่งในขณะนี้มีหลายประเทศกำลังให้ความสนใจอย่างมาก เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน เป็นต้น
โรงงานต้นแบบที่มีกำลังผลิต 100 ตันต่อวัน ของประเทศญี่ปุ่น
ประเทศต่างๆ เหล่านี้กำลังพัฒนากระบวนการผลิตและจัดสร้างโรงงานผลิต เพื่อลดต้นทุนของดีเอ็มอี ในประเทศไทยชื่อของดีเอ็มอียังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก มีเพียงนักวิจัยบางกลุ่มในสถาบันอุดมศึกษาเท่านั้นที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตดีเอ็มอีและการทดสอบการใช้ดีเอ็มอีเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ดีเซล ยังไม่มีหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนให้ความสนใจมากนัก