สุดยอดข่าวร้ายมาแล้ว [14 ก.ค. 51 - 18:28]
บ่าย 3 โมงวันศุกร์ที่ผ่านมา
สถาบันประกันเงินฝากกลางสหรัฐฯ ได้สั่งปิด ธนาคารอินดี้แมค ซึ่งเคยเป็นธนาคารที่ให้สินเชื่อบ้านใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ เพราะขาดสภาพคล่องอย่างหนักธนาคารอินดี้แมค
เป็นธนาคารแห่งที่ 5 ในสหรัฐฯ ที่ถูกสั่งปิดกิจการในปีนี้ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองพาซาเดน แคลิฟอร์เนีย
ผลจากการปิดธนาคารแห่งนี้ ทำให้ผู้ฝากเงินกว่า 10,000 ราย ต้องสูญเสียเงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ราว 17,000 ล้านบาท
ซึ่งไม่ได้ รับการประกันจากยอดเงินฝากทั้งหมดกว่า 19,000 ล้านดอลลาร์ เพราะสถาบันประกันเงินฝากสหรัฐฯ ประกันเงินฝากสูงสุดคนละ 1000,000 เหรียญต่อบัญชีเท่านั้น
แต่การล้มขอธนาคารอินดี้แมค เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น
เพราะวันเดียวกันก็มีข่าวร้าย โหมกระหน่ำ
สองสถาบันสินเชื่อบ้านยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ คือ แฟนนี เม และ เฟรดดี้ แมค ซึ่งค้ำประกันสินเชื่อบ้านในสหรัฐฯทั้งหมดเป็นมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ ประมาณ 170 ล้านล้านบาท กำลังตกอยู่ในอาการร่อแร่ เพราะขาดทุน และขาดเงินทุน ราคาหุ้นก็ตกต่ำ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
ถ้าหาก
แฟนนี เม และ เฟรดดี้ แมค ล้ม ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กับระบบการเงินสหรัฐฯ คงมีธนาคารล้มกันอีกเยอะ เพราะสองสถาบันการเงินนี้ ถือว่าเป็นสถาบันการเงินของรัฐเลยทีเดียว เพราะก่อตั้งขึ้นโดยกฎหมายพิเศษ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และมีธนาคารกลางสหรัฐฯเป็นนายแบงก์คอยปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ธุรกิจหลักของ แฟนนี เม และ เฟรดดี้ แมค ก็คือ
การไปซื้อสินเชื่อบ้านจากธนาคารต่างๆในสหรัฐฯ แล้วนำมา จัดรวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อออกเป็น ตราสารหนี้ ขายให้กับนักลงทุนทั่วโลก โดยรับประกันว่าจะจ่ายค่าดอกเบี้ยและเงินต้นคืน เพื่อให้ธนาคารในสหรัฐฯ ที่ปล่อยสินเชื่อบ้านไปแล้วมีเงินทุนกลับเข้ามาปล่อยสินเชื่อบ้านอีกรอบตราสารหนี้จากสินเชื่อบ้านที่เอามารวมกันนี่แหละ คือ ต้นตอของซับไพร์มละ
แม้ นายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ จะออกมายืนยันว่า สอง สถาบันการเงินมีเงินทุนเพียงพอที่จะฝ่ามรสุมครั้งนี้ไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
สัปดาห์ที่ผ่าน
มาราคาหุ้น แฟนนี เม ร่วงลงไปถึง 32 เปอร์เซ็นต์ ถ้านับตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นร่วงลงไปแล้ว 65 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าสาหัส ใน ขณะที่ เฟรดดี้ แมค หนักกว่า ราคาหุ้นสัปดาห์ที่แล้วร่วงไปถึง 47 เปอร์-เซ็นต์ นับตั้งแต่ต้นปี ร่วงไปแล้ว 75 เปอร์เซ็นต์ อนาคตริบหรี่เต็มที
ยังไม่มีใครรู้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ และ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ
จะแก้ปัญหาสองสถาบันการเงินที่มีพอร์ตสินเชื่อบ้านรวมกันกว่า 12 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 408 ล้านล้านบาท ได้อย่างไร เพราะต้องใช้เงินมหาศาลอย่างยิ่งแต่ถ้าสหรัฐฯปล่อยให้สองสถาบันการเงินนี้ล้ม อะไรจะเกิดขึ้น กับตลาดเงินสหรัฐฯ และตลาดเงินโลก ผมคงคาดเดาไม่ได้ มันเหมือน ระเบิดนิวเคลียร์ทางการเงิน เลยทีเดียว
เพราะตราสารหนี้จากสินเชื่อ บ้านที่สองสถาบันการเงินนี้ขายออกไปมีมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องเจ๊งกันทั้งโลกนี่คือข่าวร้ายที่ร้ายแรงยิ่งกว่าข่าวร้ายทางการเมืองในบ้านเรา
ล่าสุดยังมีข่าวร้ายเรื่องราคาน้ำมันดิบ ที่พุ่งปรี๊ดขึ้นไปทำสถิติ ใหม่อีกครั้งที่ 147.27 เหรียญต่อบาร์เรล ก่อนจะปิดที่ 145.08 เหรียญ ต่อบาร์เรล เมื่อวันศุกร์ ผลจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง เมื่อ อิหร่าน เดินหน้าทดสอบขีปนาวุธ ท่ามกลางข่าวลือ อิสราเอล อาจจะโจมตีอิหร่าน
ที่ทุกคนกลัวกันก็คือ อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็น เส้นเลือดใหญ่ในการขนส่งน้ำมันดิบ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ถ้าโลกไม่มีน้ำมันใช้สักอาทิตย์สองอาทิตย์ หรือทั้งเดือน มันจะหายนะขนาดไหน ผมคิดไม่ออก แค่นึกก็ปวดหัวแล้วละ.
http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=96861