รบกวนนิดนึงครับ DOP คืออะไรหรือครับ
[/quote]
จัดห้ายยยยย....ครับ...สั้นๆคือสารตัวนี้ใส่มากจะทำให้พลาติกนิ่ม...ใส่น้อย จะทำให้พลาติกแข็ง....แต่ พลาติก มีหลายชนิดมากๆๆๆๆๆๆๆ.....อย่าอ่านข้อมูลจนจบนะครับปวดหัวตาย.....
-----------------------------------------------
การวิเคราะห์ DOP ในแผ่นพลาสติกหุ้มห่ออาหาร
DOP มีชื่อทางเคมีว่า Dioctyl phthalate หรือ Di (2-ethylhexyl) phthalate เป็น
สารเติมแต่งสำหรับพลาสติกชนิดพีวีซี (Polyvinyl chloride) โดยทำหน้าที่เป็น plasticizer ทำ
ให้เนื้อพลาสติกมีลักษณะอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นได้ดี และเหนียวมากขึ้น อย่างไรก็ตามจากการศึกษา
ความเป็นพิษของ DOP ในห้องปฏิบัติการพบว่า เมื่อหนูได้รับสารดังกล่าวเป็น ระยะเวลานาน
จะทำให้เกิดเนื้องอกในตับได้ ทำให้หลายประเทศในยุโรปและอเมริการวม ทั้งประเทศไทยได้
ประกาศห้ามใช้สารนี้ ในแผ่นพลาสติกหุ้มห่ออาหารแล้ว เพราะว่าสารดังกล่าวอาจปนเปื้อนใน
อาหารได้
จากการวิเคราะห์ฟิล์มหุ้มห่ออาหารหลายยี่ห้อ โดยกลุ่มงานเคมีประยุกต์ ตามวิธีใน
มอก. 1136-2536 ด้วยเครื่อง Gas chromatography และเปรียบเทียบกับ สารมาตรฐาน
พบว่าแผ่นฟิล์มบางยี่ห้อมีส่วนประกอบของ DOP ที่ไม่เหมาะจะใช้ ในการหุ้มห่ออาหาร เพราะ
อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้
-------ข้อมูลอ้างอิงจาก ลิ้งค์ด้านล่างนี้-----
http://www.dss.go.th/dssweb/st-articles/files/cp_1_2543_dop.pdfและ
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_2_001c.asp?info_id=146 พลาสติไซเซอร์
--------------------------------------------------------------------------------
พลาสติไซเซอร์
ที่มา : สุภาณี หิรัญธนกิจจากุล
จากหนังสือความรู้เกี่ยวกับสิ่งเป็นพิษ ตอนที่ 10,
กลุ่มงานพิษวิทยาและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2538
--------------------------------------------------------------------------------
ประวัติ
พลาสติไซเซอร์ (plasticizers) เป็นสารที่ใส่ในโพลิเมอร์ (polymer) หรือผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่อลดจุดหลอมที่ทำให้เกิดการไหล (flexing temperature) ของพลาสติกทำให้เม็ดพลาสติกมีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่มขึ้น สะดวกต่อการดึง รีด ฉาบ หรือหล่อแบบ และยังเป็นตัวรักษาความอ่อนนุ่มไม่ให้เสียไปโดยง่าย อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้าทนต่อกรดด่าง น้ำมันและผงซักฟอก โดยจะใส่ประมาณ 20-40% โดยน้ำหนัก พลาสติไซเซอร์จึงมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลาสติกโพลีไวนิลคลอไรด์ (Polyvinyl Chloride, PVC) ซึ่งเป็นพลาสติกที่นำไปทำประโยชน์ได้มากมาย เช่น ภาชนะบรรจุอาหาร ฟิล์มห่ออาหาร เครื่องมือแพทย์ เช่น ถุงบรรจุเลือด น้ำเกลือ สายยางที่ต่อกับเครื่องมือแพทย์, รองเท้า, กระเป๋า, เสื้อผ้า, กระเบื้องยางปูพื้น, สายไฟ, เทปพันสายไฟ, ท่อน้ำ, แท็งก์เก็บสารเคมีและอื่น ๆ โดยที่มีการใช้พลาสติไซเซอร์ในอุตสาหกรรมพลาสติก PVC ถึง 65% ของปริมาณการใช้พลาสติไซเซอร์ทั้งหมด ผู้ที่เริ่มใช้พลาสติไซเซอร์ในทางอุตสาหกรรมคนแรก คือ Hyatt Brothers ในราว ค.ศ.1870 เมื่อเขาผสมแคมเฟอร์ (camphor) กับไนโตรเซลลูโลส (nitrocellulose) ต่อมาไตรครี-ซิลฟอสเฟต (tricresyl phosphate) ก็ถูกนำมาใช้เป็นพลาสติไซเซอร์ ตามด้วยพทาเลทเอสเทอร์(phthalate esters)
กลไกของพลาสติไซเซชั่น (mechanism of plasticization)
พลาสติกประกอบด้วยโมเลกุลโพลีเมอร์ (polymer molecules) แต่ละโมเลกุลเชื่อมต่อกันด้วยแรง Vander Waal โดยที่พลาสติไซเซอร์ไม่ได้เกิดปฏิกิริยากับโพลีเมอร์ แต่จะแทรกตัวเองอยู่ระหว่างโมเลกุลโพลีเมอร์โดยไปทำให้แรง Vander Waall ลดลง
ชนิดของพลาสติไซเซอร์
พลาสติไซเซอร์สามารถแบ่งเป็น
1. โมโนเมอริคพลาสติไซเซอร์ (monomeric plasticizers) มีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มพทาเลทเอสเทอร์ เป็นกลุ่มที่ใช้เป็นพลาสติไซเซอร์มากที่สุด เป็นสารประกอบอะโรมาติกที่มีหมู่คาร์บอกซิเลท 2 หมู่ มีลักษณะเป็นของเหลว มีจุดเดือดสูงและความดันไอต่ำ เป็นสารที่เสถียรและละลายในไขมันได้ดี พทาเลทเอสเทอร์ที่ผลิตในอุตสาหกรรมมาจากการทำปฏิกิริยาระหว่างพทาลิกแอนไฮไดร์ (phthalic anhydride) กับแอลกอฮอล์ โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) เช่น กรดซัลฟูริค หรือกรดพาราโทลูอีนซัลโฟนิค พทาเลทเอสเตอร์ที่ใช้เป็นพลาสติไซเซอร์ เช่น
· ไดเมทิลพทาเลท (dimethyl phthalate, DMP)
· ไดเอทิลพทาเลท (diethyl phthalate, DEP)
· ไดนอร์มัวลิวทิลพทาเลท (di-n bytyl phthalate, DBP)
· บิวทิลเบนซิลพทาเลท (butylbenzyl phthalate, BBP)
· ไดทูเอทิลเฮซิลพทาเลท (di-(2-ethylhexyl) phthalate, DOP(1))
· ไดนอร์มัลออกทิลพทาเลท (di-n-octyl phtghalate, DOP(2))
· ไดไอโซโนนิลพทาเลท (diisononyl phthalate, DINP)
- กลุ่มอดิเพท (adipates) และอซีเลท (azelates) ผลิตจากกรดอดิพิค (adipic acid)หรือกรดอซีเลอิคกับแอลกอฮอล์ เช่น ไดทูเอทิลเฮซิลอดิเพท (di-2-ethylhexyl adipate, DOA), ไดไอโซเดซิลอดิเพท (diisodecyl adipate, DIDA), และไดนอร์มัลออกทิลเดซิลอดิเพท (di-n-octhldecyl adipate, DNODA) ตัวที่สำคัญที่สุด คือ DOA ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอาหาร
ส่วนกลุ่มอซีเลทนั้น เช่น ไดทูเอทิลเฮซิลอซีเลท (di-2-ethylhexyl azelate, DOZ), ไดไอโซออกทิลอซีเลท (diisooctyl azelate, DIOZ) และไดเฮกซิลอซีเลท (dihexyl azelate, DHZ) ซึ่งเป็นตัวที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอาหารเช่นกัน (octyl diphenyl phosphate)
- กลุ่มฟอสเฟต มีออกทิลไดเฟนิลฟอสเฟต (octyl diphenyl phosphate) ตัวเดียวเท่านั้นที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอาหาร
2. โพลีเมอริคพลาสติไซเซอร์ (polymeric plasticizers) ได้จากปฏิกิริยาระหว่างกรดไดเบซิค (dibasic acid) เช่น กรดอดิพิค หรือ กรดอซีเลอิคกับไกคอล (glycol) เช่น โพรไพลีนไกคอล (propylene glycol) จะได้พลาสติไซเซอร์ที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงถึง 20 เท่าของชนิดโมโนเมอร์ริค และจะมีโอกาสหลุดจากพลาสติกได้น้อยกว่าที่อุณหภูมิสูง ๆ และยังทนต่อการละลายของน้ำมันและตัวทำละลาย ส่วนราคาของโพลีเมอริคพลาสติไซเซอร์นั้นจะสูงกว่าพวกพทาเลทเอสเตอร์ประมาณ 1.5-2 เท่า
ความเป็นพิษ
เนื่องจากพลาสติไซเซอร์ที่นิยมใช้มากที่สุด คือ กลุ่มพทาเลทเอสเตอร์ ดังนั้นจึงมีผู้ศึกษาวิเคราะห์วิจัยและมีหลักฐานการตรวจพบในสิ่งแวดล้อมมากที่สุด พลาสติไซเซอร์ที่นิยมใช้กันมากและอยู่ในรายการสารมลพิษ (priority pollutants) ขององค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (US Environmental Protection Agency, USEPA) มีอยู่ด้วยกัน 6 ตัว คือ DMP, DEP, DBP, BBP, DOP(1) และ DOP(2) โดยเฉพาะ DOP(1) นิยมใช้กันมากที่สุดหรือที่รู้จักกันในชื่อ ไดขทู เอทิลเฮกซิลพทาเลทซึ่งเป็นคนละตัวกับไดนอร์มับออกทิลพทาเลท (DOP) สารมลพิษเหล่านี้ไม่ค่อยแสดงความเป็นพิษอย่างเฉียบพลัน แต่จะแสดงในลักษณะพิษเรื้อรังเป็นผลให้เกิดอาการตกเลือดในปอด (lung hemorrhage), ตับโต (hepatomegaly) เป็นพิษต่อเซลในร่างกาย (cytotoxicity) ทำให้เกิดมะเร็ง (carcinogenicity) เกิดการก่อกลายพันธุ์ (mutagenicity) และทารกในครรภ์มีรูปร่างผิดปกติ (teratogenicity)
พลาสติไซเซอร์ที่ใส่ในผลิตภัณฑ์พลาสติกจะไม่ได้เกิดพันธะเคมีกับโพลีเมอร์เพียงแต่จะแพร่แทรกเข้าไปอยู่ระหว่างโมเลกุลดังกล่าวแล้วข้างต้น ดังนั้นจึงเกิดการถ่ายเทสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่าย ดังรายงานการตรวจพบสารเหล่านี้ในน้ำ อากาศ ดิน ปลา อาหาร เลือด และพลาสม่า
Stalling, Mayer และผู้ร่วมงานแห่งห้องปฏิบัติการวิจัยสารฆ่าแมลงในปลา ในโคลัมเบีย รัฐมิสซูรี่ ได้ศึกษาความเป็นพิษของพทาเลทเอสเตอร์ในสิ่งมีชีวิตในน้ำ (aquatic organisms) ตรวจพบว่ามี DBP และ DOP(1) ในปลาและน้ำบริเวณอเมริกาเหนือ นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตในน้ำยังสามารถสะสมพทาเลทเอสเตอร์โดยหลังจาก 7 วัน ความเข้มข้นของพทาเลทเอสเตอร์ในสิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนจาก 350 เป็น 3900 เท่าของที่พบในน้ำ นั่นแสดงว่า DBP และ DOP(1) สามารถเข้าไปอยู่ในลูกโซ่อาหาร (food chain) ได้ด้วย และยังพบว่าพทาเลทออสเตอร์จะรบกวนระบบนิเวศและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น daphnia ในระดับความเข้มข้นเป็นไมโครกรัมต่อลิตร (ppb) นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าสิ่งมีชีวิตในน้ำจะไวต่อความเป็นพิษมากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และเพื่อความปลอดภัยของมนุษย์ USEPA ได้กำหนดปริมาณพทาเลทเอสเตอร์ที่อนุญาตให้มีในน้ำดังนี้คือ DMP 313 มิลลิกรัม/ลิตร (ppm), DEP 350 มิลลิกรัม/ลิตร, DBP 34 มิลลิกรัม/ลิตร และ DOP(1) ในแม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำบางปะกง, แม่น้ำท่าจีนและอ่าวไทยตอนบน ส่วนสุภาณีและวราภรณ์ได้ตรวจพบ DEP, DBP, BBP ในแม่น้ำเจ้าพระยาและบริเวณคลอง สระน้ำต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร
ตารางที่ 1 คุณสมบัติทางกายภาพ เคมีและ LD50 พลาสติไซเซอร์บางชนิด
พลาสติไซเซอร์
สูตรโมเลกุล
น้ำหนักโมเลกุล
จุดเดือด (°C)
ที่ 760 mm Hg
การละลายในน้ำ
(กรัม/100 กรัมที่ 20°C)
LD50 (oral)
(กรัม/กิโลกรัม)
DMP
C2H4(COOCH3) 2
194.18
282
0.5
Rat 6.9
DEP
C6H4(COOC2H5) 2
222.23
296.1
0.1
Rabbit 1.0
DBP
C6H4(COOC4H9) 2
278.34
340
0.45 กรัมที่ 25°C
Rat 8.0
BBP
C6H4(COOC4H9)
(COOCH2C6H5)
312.37
370
ไม่ละลาย
-
DOP(1)
C6H4(COOCH2CH(C2H5)C4H9) 2
391.0
370
0.01
rat > 26
DOP(2)
C8H4(COOC8H17) 2
391.0
220 ที่ 4 mmHg
ไม่ละลาย
mouse > 13
DNP
C6H4(COOC9H19) 2
419.0
413
ไม่ละลาย
rat > 2
LD50 (oral) หมายถึง ปริมาณสารพลาสติไซเซอร์ที่ให้สัตว์ทดลองกินเข้าไปแล้วสามารถทำให้สัตว์ทดลองตายร้อยละ 50 คำนวณในหน่วยกรัม/น้ำหนักตัวสัตว์ทดลองหนึ่งกิโลกรัม
อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติไซเซอร์ในประเทศไทย
สารพลาสติไซเซอร์เริ่มมีการผลิตในประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ.2517 โดยบริษัทไทยเคมีภัณฑ์จำกัด ผลิต DOP(1) ด้วยกำลังการผลิตเริ่มแรกเพียง 12,000 เมตริกตัน/ปี ในปัจจุบันมีโรงงานผลิตสารพลาสติไซเซอร์รวม 5 แห่ง ดังรายละเอียดในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 รายชื่อโรงงานผลิตสารพลาสติไซเซอร์ในประเทศไทยและปริมาณการผลิตต่อปี
โรงงานผลิต
ชนิดของสารพลาสติไซเซอร์
ปริมาณการผลิต (ตัน/ปี)
1. บริษัทไทยเคมีภัณฑ์จำกัด
DOP(1)
15,000
2. บริษัททีโอเอพลาสติไซเซอร์อินดัสตี้ จำกัด
DOP(1)
DBP
DINP
9,600
3. บริษัทอีเทอร์นัลหิโตรเคมีคัล จำกัด
DOP(1)
18,000
4. บริษัทอีเทอร์นัลเคมีคัสอินดัสตี้ จำกัด
DOP(1)
7,000
5. บริษัทแซนด์-โพลีเคมีคอล จำกัด
DOP(1)
DINP
3,200
ข้อมูลจาก (1) Thailand Investment 7th edition. 1994, A directory of Companies Promoted by the Board of Investment p.323-324
(2) ฝ่ายทะเบียนและสถิติ กองควบคุมโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
เอกสารอ้างอิง
1. Fishein, L.and Albro, P.W. 1972 Chromatographic and biological aspects, J.Chromatogr., 70 : 365-412
2. Gene Wilde and David Press, 1968. Modem Plastics Encyclopedia, vol 45 : No. 14A, Publisher : Stuart S. Siegel p. 428-430.
3. Cr.R. Martens, Technology of Paints, Varnishes and Lacquers.
4. Sittig, M. 1985. Handbook of toxic and Hazardous Chemcials and Carcinogen, 2nd edition. Noyes Publication p.225-281, 659-661
5. Ritsema, R., Cofino. W.P., Frintrop P.C.M. and Brinkman, U.A.Th. 1989. Trace-level analysis of phthalate esters in surface water and suspended particulate matter by means of capillary gas chromatography with electron-capture and mass selective detection. Chemoshere, 18 : 2161-2175.
6. Thuren, A. and larsson, P. 1990. Phthalate esters in the Swedish atmoshpere. Environ. Sci. Technol., 24 : 554-559.
7. Russell, D.J. and Mc Duffic, B. 1983. Analysis for phthalate esters in environmental samples : Separation from PCBs and peticide using dual column liquid chromatography. Intern. J. Environ. Anal. Chem. 15 : 165-183.
8. Mayer. F.L., Stalling, D.L., and Johnson, J.L. 1972. Phthalate esters as environmental contaminants. Nature, 238 : 411-413.
9. Sjoberg, P. and Bondesson, U. 1985. Determination of di (2-ethyhexyl) phthalate and four of its a metabolites in blood plasma by gas chromatography mass spectrometry. J. Chromatogr., 344 : 167-175.
10. Teirlynck, O.A. and Rosseel, M.T. 1985. Determination of di-and mono (2-ethylhexyl) phthalate in plasma by gas chromatography. J.Chromatogr. 342 : 399-405.
11. Marx, J.L. 1972. Phthalate acid esters : biological impact uncertain Science., 178 : 46-47.
12. Onodera, S., Chatkittikunrong, W. and Saito, K. 1987. Characterization and determination of lipophilic hydrocarbons in the Chao Phraya, Bang Pakong and Tha-Chin Rivers and the upper gulf of Thailand. J. Chromatogr. 392 : 295-308.
13. สุภาณี หิรัญธนกิจจากุล และวราภรณ์ ลีพิพัฒน์ไพบูลย์. 2537. การวิเคราะห์พทาเลทเอสเทอร์บางชนิดในน้ำโดยการสกัดด้วยวัฎภาคของแข็ง วิทยานิพนธ์ ภาควิชาเคมี บัณฑิต วิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
14. ภาวะธุรกิจและอุตสาหกรรม. มิถุนายน 2532. อุตสาหกรรมผลิตพลาสติไซเซอร์ (Plasticizer) หน้า 62-68