น่าจะตรงกับคำว่า "เหตุอันควรสงสัย" ครับ
ครับพี่ แล้วกฏหมายแบบนี้มีไหมครับ
มีบัญญัติคำนี้ไว้ครับ.....
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 93 ซึ่งบัญญัติว่า "ห้ามมิให้ทำ การค้นบุคคลใดในสาธารณสถาน เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเป็นผู้ค้นในเมื่อ
มีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิด หรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด"
มาตรานี้ตรงกับของกฏหมายเมกันที่เรียกว่า Search and Seizure ครับ สามารถค้นได้ถ้ามี probable causes
ครับผม....ลองอ่านอันนี้ครับ เกี่ยวกับการค้น...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
...ค้น... ขณะนี้เรื่องค้นกำลังมีปัญหาถกเถียงกันมากในหมู่นักกฎหมายไทย ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญใหม่ คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงหลักการเดิมของผู้มีอำนาจออกหมายค้น ซึ่งประมวลกฎหมายวิธพิจารณาอาญา มาตรา
58 (3) บัญญัติ ให้เป็นอำนาจของศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มาเป็นอำนาจของศาลแต่ผู้เดียว ตามรัฐธรรมนูญ
ใหม่ มาตรา 238
แม้ในขณะที่เขียนบทความนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณามาตรา 58 (3) ซึ่งบัญญัติให้อำนาจพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
ชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้มีอำนาจออกหมายค้นได้ด้วย ยังคงบัญญัติอยู่ แต่บทบัญญัตินี้คงใช้บังคับไม่ได้อีกต่อไป เพราะเป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือ
แย้งกับรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญใหม่ มาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่า "รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใด
ของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้"
เดิมที่กฎหมายให้อำนาจพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกหมายค้นได้ด้วยนั้น การปฏิบัติงานในการจับกุมปราบ
ปรามผู้กระทำความผิดกฎหมายของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจคงจะสะดวกและคล่องตัวกว่าในปัจจุบันอยู่พอสมควร เพราะการ
ขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกหมายค้นให้ย่อมจะกระทำได้รวดเร็วกว่า ทั้งถ้าหากพนักงานฝ่ายปกครอง หรือ
ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปทำการค้นด้วยตนเอง หากเป็นกรณีที่อาจออกหมายค้นได้ หรือค้นได้ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา
แล้ว พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้นก็สามารถทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณา
ความอาญามาตรา 92 วรรคท้าย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญใหม่ต้องการจะคุ้มครองอย่างแท้
จริงแล้ว หลักการที่ให้ศาลแต่ผู้เดียวเป็นผู้มีอำนาจออกหมายค้นนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งยังสอดคล้องกับหลักการของนานาอารยประเทศ
อีกด้วย
ส่วนความไม่สะดวก และความไม่คล่องตัวในทางปฏิบัตินั้นน่าจะแก้ไขได้โดยการประสานงานกันระหว่างผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
ทุกฝ่าย
วัตถุประสงค์ของการค้น การค้นมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1.
ค้นเพื่อหาคน เช่น ค้นหาคนร้ายเพื่อจับกุมหรือค้นหาคนที่ถูกกักขังไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อช่วยเหลือ
2.
ค้นเพื่อหาสิ่งของ ค้นหาสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด เช่น เฮโรอีน ยาบ้า วัตถุระเบิด หรือค้นหาสิ่งของที่ได้มาจากการกระ
ทำความผิด เช่น ค้นหาเงินที่ได้มาจากการปล้นทรัพย์ ค้นหารถยนต์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ หรือค้นหาสิ่งของที่ได้ใช้ในการกระทำ
ความผิด เช่น ค้นหาปืนที่ใช้ฆ่าคน หรือค้นหาสิ่งของที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด เช่น ค้นหากุญแจผีที่เตรียมไว้ไขตู้เซฟเพื่อลัก
ทรัพย์ในตู้เซฟนั้น หรือค้นเพื่อหาสิ่งของที่เป็นพยานหลักฐานในคดี
การค้นเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นจึงอาจเป็นการค้นบุคคลหรือค้นสถานที่ก็ได้
การค้นบุคคล รัฐธรรมนูญใหม่ได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ใน
มาตรา 31 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิและ
เสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้ แต่การลงโทษประหารชีวิตตาม
ที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามความในวรรคนี้
การจับ คุมขัง ตรวจค้นตัวบุคคล หรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้
เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย" กฎหมายที่ให้อำนาจค้นบุคคลได้ในขณะนี้ก็คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 93 ซึ่งบัญญัติว่า "ห้ามมิให้ทำ
การค้นบุคคลใดในสาธารณสถาน เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของใน
ความครอบครองเพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิด หรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด" พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจผู้มีอำนาจค้นบุคคลในที่สาธารณสถานตามมาตรา 93 นี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 2 (16) ให้หมายถึง เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ให้รวมถึงพัสดี
เจ้าพนักงานกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมเจ้าท่า พนักงานตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าพนักงานอื่น ๆ ในเมื่อทำการอันเกี่ยวกับการ
จับกุมหรือปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งตนมีหน้าที่ต้องจับกุมหรือปราบปราม
การค้นบุคคลในที่สาธารณสถานตามปกติจะทำไม่ได้เลย เว้นแต่จะมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในครอบครอง เพื่อใช้
ในการกระทำความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิดและผู้มีอำนาจค้นจะต้องเป็นพนักงานปกครองหรือ
ตำรวจ เช่น ตำรวจติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์ข้ามท้องที่มาเห็นจำเลยกับพวกยืนซุบซิบกันที่หลังสถานีรถไฟ จึงร่วมกับตำรวจท้องที่ทำ
การตรวจค้น เพราะสงสัยว่าจะมีอาวุธปืนและของผิดกฎหมายย่อมค้นได้(คำพิพากษาฎีกาที่ 1082/2507)
ถ้าหากไม่มีเหตุอันควรสงสัยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 กฎหมายห้ามเด็ดขาดไม่ให้ค้นบุคคลในที่สาธารณสถานจึงไม่มีกรณี
ที่จะต้องออกหมายค้นบุคคลในที่สาธารณสถาน ซึ่งต่างกับการค้นทีรโหฐานที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีหมายค้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้น
การค้นสถานที่ การค้นสถานที่อาจจะเป็นการค้นที่สาธารณสถานหรือที่รโหฐานก็ได้ การค้นที่สาธารณสถาน กฎหมายไม่ได้
บังคับให้ต้องมีหมายค้น พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจึงมีอำนาจค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น
สถานที่บนขบวนรถไฟโดยสารไม่ใช่ที่รโหฐานแต่เป็นที่สาธารณสถาน เจ้าพนักงานสรรพสามิตค้นจับฝิ่นในที่ดังกล่าวได้ โดย
ไม่ต้องมีหมายค้น และไม่จำเป็นต้องค้นในเวลากลางวันหรือแสดงความบริสุทธิ์ก่อน (คำพิพากษาฎีกาที่ 2024/2497)
การค้นที่รโหฐาน รัฐธรรมนูญใหม่
มาตรา 35 บัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง
ในการที่จะอยู่อาศัยและครอบครองเคหสถานโดยปกติสุข การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครอง หรือการ
ตรวจค้นเคหสถานจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย" และมาตรา 238 บัญญัติว่า "ในคดีอาญา การค้นในที่รโหฐานจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะมีคำสั่งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุให้
ค้นได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล ทั้งนี้ตามกฎหมายบัญญัติ" รัฐธรรมนูญใหม่ในส่วนที่เกี่ยวกับการค้นนี้ไม่มีบทเฉพาะการ จึงมีผลใช้บังคับทันทีที่รัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้
หลักในรัฐธรรมนูญใหม่เกี่ยวกับการค้นที่รโหฐานก็คือ การค้นที่รโหฐานจะกระทำได้ต่อเมื่อมีคำสั่งหรือหมายของศาล เว้นแต่
จะเข้าข้อยกเว้นตามที่กฎหมายบัญญัติ
คำว่า
"ที่รโหฐาน" ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(13) หมายความถึงที่ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ที่สาธารณ
สถานดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
ส่วนคำว่า
"ที่สาธารณสถาน" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(3) หมายความถึง สถานที่ใด ๆ ที่ประชาชนมีความ
ชอบธรรมที่จะเข้าไปได้
ที่รโหฐานจึงหมายความถึง สถานที่ใด ๆ ที่ประชาชนไม่มีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้
มีปัญหาว่า รถยนต์ที่แล่นหรือจอดอยู่ในที่สาธารณสถานเป็นที่รโหฐานหรือไม่
ปัญหานี้นักกฎหมายบางท่านเห็นว่ารถยนต์ เป็นที่รโหฐาน การค้นรถยนต์จะต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล ส่วนผู้เขียนเห็น
ว่ารถยนต์ไม่ใช่ที่รโหฐาน พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเมื่อมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าในรถยนต์นั้น มีสิ่งของผิดกฎหมายย่อมมี
อำนาจค้นรถยนต์นั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 93 โดยถือว่าเป็นการค้นบุคคลที่ครอบครองรถยนต์นั้นใน
ที่สาธารณสถาน
การค้นรถยนต์ในที่สาธารณสถานคงไม่แตกต่างอะไรกับการค้นกระเป๋าใส่เอกสาร หรือกระเป๋าใส่เสื้อผ้า หากแปลว่ารถยนต์เป็น
ที่รโหฐาน ต้องไปขอหมายค้นจากศาลมาก่อน จึงจะค้นได้ คนร้ายก็คงจะเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะกว่าจะขอหมายค้นมาจากศาลได้
รถยนต์คงแล่นไปไกลเกินกว่าจะตามไปตรวจค้นได้ทัน ครั้นจะกักรถยนต์ไว้รอหมายค้นของศาล ประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็จะเดือดร้อน ถ้า
แปลว่ารถยนต์ไม่ใช่ที่รโหฐาน พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจมีความสงสัยว่าจะมีของผิดกฎหมายอยู่ในรถยนต์ ก็ค้นได้ทันที ค้นไม่
พบของผิดกฎหมาย รถยนต์นั้นก็สามารถแล่นไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องเสียเวลารอหมายค้นจากศาล
การที่รัฐธรรมนูญใหม่ให้ศาลเป็นผู้ออกหมายค้นแต่ผู้เดียวเป็นเรื่องใหม่ วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการขอและออกหมายค้นอาจจะมีข้อ
แตกต่างกันบ้าง แต่หลักใหญ่คงจะเหมือนกัน กล่าวคือ
1. สถานที่ที่จะค้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดจะต้องยื่นคำขอออกหมายศาลค้นต่อศาลนั้น เช่น สถานที่จะค้นอยู่ที่กรุงเทพมหา-
นคร ฝั่งธนบุรี ถ้าเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาล
แขวงธนบุรี ก็ต้องยื่นคำขอออกหมายค้นที่ศาลแขวงธนบุรีถ้าเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกเกินกว่า 3 ปี หรือปรับเกินกว่า 60,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาธนบุรี ก็ต้องยื่นต่อศาลอาญาธนบุรี อย่างไรก็ดี เนื่องจากศาลอาญามีอำนาจนอกเขต
ศาลอาญาตามปกติอยู่ด้วยตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14 (5) ฉะนั้นไม่ว่าสถานที่ที่จะค้นตั้งอยู่ที่ใด หากผู้ขอหมายค้นมี
ความจำเป็นเร่งด่วนไม่อาจไปขอหมายค้นจากศาลที่มีเขตอำนาจได้ทัน ศาลอาญาก็มีอำนาจออกหมายค้นให้ได้
2. การขอหมายค้นต้องยื่นเป็นคำร้องทำนองเดียวกับคำร้องขอฝากขัง โดยทางศาลได้วางระเบียบให้ผู้ยื่นต้องเป็นนายตำรวจชั้น
สัญญาบัตรขึ้นไป หรือถ้าเป็นเจ้าพนักงานอื่นก็ต้องเป็นข้าราชการตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป และต้องแต่งเครื่องแบบ โดยยื่นได้ตลอด 24
ชั่วโมง ตามความจำเป็นและเมื่อมีเหตุออกหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 69
3. หมายค้นเป็นหมายอาญาอย่างหนึ่ง การออกหมายค้นศาลต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 59
โดยศาลต้องสอบให้ปรากฏเหตุผลสมควรที่จะออกหมายค้นเสียก่อนเหตุผลนี้จะได้มาจากคำแจ้งความโดยสาบานตัว หรือพฤติการณ์
อย่างอื่นก็ได้ มาตรา 60 (4) (ค) ในหมายค้นต้องระบุสถานที่จะค้น กำหนดวันเวลาที่จะทำการค้น และชื่อกับตำแหน่งของเจ้าพนักงาน
ผู้จะทำการค้นนั้น แล้วลงลายมือชื่อและประทับตราของศาลตามมาตรา 60 (6) โดยผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งก็ออกหมายค้นได้ตาม
พระธรรมนูญยุติธรรม มาตรา 21 (1)
4. หมายค้นซึ่งออกเพื่อพบและจับบุคคล จะต้องมีหมายจับบุคคลนั้นด้วย เจ้าพนักงานซึ่งจะจัดการตามหมายค้นต้องมีทั้งหมาย
ค้นและหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 70
5. การค้นในที่รโหฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 96 ให้กระทำการค้นในเวลากลางวัน เว้นแต่
1. เมื่อลงมือค้นตั้งแต่เวลากลางวัน ถ้ายังค้นไม่เสร็จ จะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้
2. ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งหรือมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้
3. การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญจะกระทำในเวลากลางคืนได้
ฉะนั้นการขอให้ศาลออกหมายค้นตามปกติควรขอค้นในเวลากลางวัน เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 96(2)
และ (3) และเมื่อศาลออกหมายค้นให้ค้นได้ในเวลากลางคืนแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าผู้ทำการค้นไม่ต้องไปขออนุญาตพิเศษจากอธิบดี กรม
ตำรวจหรือผู้ว่าราชการจังหวัดตามมาตรา 96 (3) อีก
6. เจ้าพนักงานผู้ค้นต้องบันทึกรายละเอียดแห่งการค้น และสิ่งของที่ค้นได้นั้นต้องมีบัญชีรายละเอียดไว้ แล้วส่งบันทึกการค้น
และบัญชีสิ่งของนั้นไปยังศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 103 และ 104 เพื่อศาลจะได้รวมไว้ในสำนวน
หมายค้นต่อไป
ข้อยกเว้นให้ค้นที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล ซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ มาตรา 238 บัญญัติว่า มีเหตุให้ค้นได้
โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัตินั้น แยกได้เป็น 2 กรณี คือ
1. ข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92
2. ข้อยกเว้นตามกฎหมายอื่น ๆ
1. ข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92 ซึ่งบัญญัติว่า "ห้ามมิให้ค้นที่รโหฐาน โดย
ไม่มีหมายค้น เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้น และในกรณีต่อไปนี้
1. เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยจากข้างในที่รโหฐาน
2. เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน
3. เมื่อบุคคลที่ได้กระทำความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน่นแฟ้นควรสงสัยว่าได้ซุกซ่อนตัวอยู่ในที่
รโหฐานนั้น
4. เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าสิ่งของที่ได้มาโดยการกระทำผิดได้ซ่อนอยู่ในนั้น ประกอบทั้งต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่า
เนื่องจากการ เนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายเสียก่อน
5. เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้านและการจับนั้นมีหมายจับ หรือจับตามมาตรา 78
เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ค้นด้วยตนเองไม่ต้องมีหมายค้นก็ได้ แต่ต้องเป็นกรณีที่อาจออกหมายค้นหรือ
ค้นได้ตามประมวลกฎหมายนี้"
ข้อยกเว้นให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจค้นที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีคำสั่ง หรือหมายของศาลตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92 นี้ ผู้เขียนเห็นว่าคงจะใช้ได้เฉพาะ (1) ถึง (5) เท่านั้น เพราะมีเหตุให้ค้นได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือ
หมายของศาลตามรัฐธรรมนูญใหม่ มาตรา 238
ส่วนข้อยกเว้นในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92 วรรคสอง ที่ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้
ใหญ่ค้นด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีหมายค้นนั้น น่าจะใช้ไม่ได้ เพราะที่วรรคสองของมาตรา 92 ให้อำนาจไว้ก็เพราะพนักงานฝ่ายปกครอง
หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้มีอำนาจออกหมายค้นได้เอง เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ได้ให้อำนาจพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่
ออกหมายค้นได้เองอีกแล้ว อำนาจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้นของพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามวรรคสอง ของมาตรา
92 ก็ย่อมหมดไปด้วย
2. ข้อยกเว้นตามกฎหมายอื่น ๆ กฎหมายอื่นที่บัญญัติยกเว้นให้เจ้าพนักงานอื่นค้นที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นมีอยู่มากมาย
เช่น พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 12 ซึ่งบัญญัติว่า "เมื่อเห็นเป็นการสมควรกำหนดเขตท้องที่ใดเป็นเขต
ควบคุมศุลกากรให้ประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตท้องที่นั้นเป็นเขตควบคุมศุลกากรภายในเขตควบคุมศุลกากรให้บรรดาโรงเรือน
หรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นตกอยู่ในอำนาจการตรวจค้นของพนักงานศุลกากรตลอดไปไม่ว่าในเวลากลางวันหรือกลางคืน โดยไม่ต้องมี
หมายค้น แต่ในการใช้อำนาจดังกล่าวแต่ละคราว พนักงานศุลกากรต้องแสดงว่าตนมีเหตุอันสมควรที่จะใช้อำนาจนั้น และต้องแสดงบัตร
ประจำตัวว่าเป็นพนักงานศุลกากรด้วย
"
กล่าวโดยสรุปก็คือเมื่อมีกฎหมายอื่น ๆ ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานใดค้นที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น เจ้าพนักงานนั้น ย่อมมี
อำนาจค้นในที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายค้นของศาล
คำพิพากษาฎีกาที่ 825/2534 เจ้าพนักงานสรรพสามิตมีอำนาจเข้าไปตรวจค้นในสถานที่ของผู้ได้รับอนุญาตให้ขายสุราในเวลา
ทำการได้ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 มาตรา 28 โดยไม่ต้องมีหมายค้น
เนื่องจากขณะนี้ยังมิได้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องค้นให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญใหม่ บทบัญญัติของกฎหมาย
ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องค้นที่ปฏิบัติกันอยู่เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มีอยู่แล้วทั้งสิ้น เมื่อได้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องค้นให้เป็นไป
ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญใหม่เมื่อใดผู้เขียนเชื่อว่าวิธีปฏิบัติของศาลในการออกหมายค้นก็ดี วิธีปฏิบัติของเจ้าพนักงานต่าง ๆ ใน
การขอหมายค้นตลอดจนวิธีการค้นก็ดี คงจะคล่องตัวมากขึ้น และปัญหาต่าง ๆ ที่มีอยู่คงจะหมดไปแน่นอน
ที่มา : หนังสือ รพี'41 สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา