ทานเข้าไปคำแรก...อืม..อร่อยครับ...เนื้อนุ่ม...มีกลิ่นเครื่องเทศพวกกระเทียม..ไทม์...พาสลี่..กรุ่นๆ..แกถามใหญ่เป็นไง..
ผมบอกโอเคครับ...อร่อย...พี่เป็นไงถึงมาเปิดร้านที่นี่ได้ล่ะ....คราวนี้ล่ะเล่ายาวเลย...
ผมไปอเมริกาตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าตอนนี้เจ็ดสิบแล้ว...ผมบอก ฮ้า เจ็ดสิบ...ดูลักษณะพี่เล็กเป็นคนผอมสูงดูแคล่วคล่อง....
พูดจาฉะฉาน...เสียงดังฟังชัด...หลังยังตั้งตรง90องศากับพื้นโลก...ไม่มีวี่แววของชายอายุเจ็ดสิบแง้มมาให้เห็นเลย..
ผมทำมาทุกอย่างตั้งแต่ล้างจานยันเจ้าของร้าน...อยู่ที่นั่นนานแล้วคิดถึงเมืองไทย...เลยตัดสินใจกลับมาตอนหกสิบ..
ร้านนี่เปิดมาเกือบสิบปีแล้ว...ตอนแรกก็เงียบๆ...เพิ่งจะมีคนรู้จักมาสักห้าหกปีนี่เอง...พี่เล็กร่ายยาว...
ตอนกลับมาก็คิดจะเปิดแค่ร้านเล็กๆ...ทำคนเดียว..แต่พอมีชื่อขึ้นมาก็ต้องจ้างลูกน้องเป็นสิบ..ขยายร้านออกไปอีก..
แกเล่าอย่างเมามันส์...ผมแย๊บต่อ...เขาว่ากันว่าพี่ดุ..อารมณ์ไม่ดีก็ไม่ทำซะงั้น..จริงหรือ...พี่เล็กบอกผมเป็นคนตรงๆ..
ลักษณะขวานผ่าซาก...มีอะไรก็พูดไปอย่างนั้น...เขาเอาไปเขียนกันเอง...ผมดูแล้วแกก็เป็นคนอารมณ์ดี..ไม่ได้ดุอย่างที่คิด...
คุยไปคุยมาเราเหมือนจะเคยรู้จักกันที่อเมริกามาก่อน...เนื่องจากบ้านเราอยู่ใกล้กันมาก...แกคลับคล้ายคลับคลา....
ผมเลยเออออเองว่า...น่าพี่เราคงเคยเจอกันน่า...คะยั้นคะยอมากๆเข้า..แกเลยบอกว่า..งั้นในฐานะที่เราน่าจะเคยเจอกัน..
ผมมีส่วนลดให้แล้วกันนะ....ผมรีบขอบคุณอย่างเร็ว...
ทานเสร็จผมมีธุระที่เขาใหญ่...กลับออกมาตอนห้าโมง...แวะอีกรอบ..(บอกแล้วไงของเขาดีจริงๆ)
ตอนเย็นผมสั่งริปอาย...จานใหญ่เหมือนตอนกลางวัน(350กรัม)...สเต็กแถวนี้จะใช้วิธีนึ่งแล้วเอาไปทอดบางร้านนึ่งแล้วเอาไปวางบนจานร้อน
ซึ่งทำให้รสชาติเสียไป..แท้ๆมันต้องย่างบนเตา...ร้านพี่เล็กใช้วิธีหลัง...เสริฟมาพร้อมมันหรือจะเอาข้าวกล้องก็ได้กับข้าวโพด..เป็นเครื่องเคียงที่เข้ากันดี...
ดูน่าทานกว่าผักต้มมาก...มาตอนเย็นคนเยอะ...ไม่มีเวลาได้คุยอีก...ไว้วันหน้า..จะไปคุยด้วยอีกนะครับพี่เล็ก...
ริบอาย