ข้อความบางตอนของผู้แปล...คัดลอกมาให้ท่านแมวบ้าอ่าน...ถ้ามึนงงอย่าโทษผมล่ะ....
ความลับของโรงเรียนโบราณแห่งการรู้แจ้ง
ต้นฉบับภาคภาษาอังกฤษ โดย : avatar_boy
แปลภาคภาษาไทย โดย : Chayutt และ ผองเพื่อนจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์
--------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 11 : ความลับของภูมิปัญญาโบราณแห่งสุญญตา/ความว่าง แหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง
ผมขอนำพวกคุณกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของจุดเริ่มต้น เพื่ออธิบายว่าสรรพสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
แม้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ผมก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถ
เพื่อให้คุณเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้
ขอให้คุณกำหนดสติรู้ในปัจจุบันขณะ และกำหนดสติไว้ที่ตัวเอง แล้วสัมผัสรู้ถึงความเป็นจิตวิญญาณ
หรือจิตสำนึกอันเป็นอนันต์ของคุณเอง หรือไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันเป็นอย่างอื่นก็ได้ เช่น คุณอาจเรียกว่า พระเจ้า
หรือ พุทธะ เป็นต้น ซึ่งนั่นก็เป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้นเอง หาได้มีความสำคัญอย่างแท้จริงไม่
เพียงแต่ทราบไว้ว่าสิ่งนั้นมันมีอยู่ในคุณ ขอให้กำหนดสติรู้ถึงตัวคุณเองและสัมผัสรู้ถึงหัวใจของคุณเอง
แล้วอ่านอย่างช้าๆ ความทรงจำจากโบราณกาลที่คุณได้ลืมมันไปแล้ว และกำลังค้นหามันอยู่นับพันล้านๆๆๆชาติ
และมันก็มีอยู่ในคุณตลอดเวลานั้น มันจะกลับผุดขึ้นมาใหม่อีกครั้งในความทรงจำระดับพื้นผิวของคุณ ให้คุณได้สัมผัสมัน
คุณอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ผมกำลังจะกล่าวต่อไปนี้ แต่ให้เชื่อหัวใจของคุณเอง ผมจะบอกในสิ่งที่ผมรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ว่าช่องว่างและกาลเวลามันกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และว่าคุณมาจากไหน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่
และว่าเพราะอะไรคุณถึงยังไม่ไปในที่ที่คุณควรจะไป
หายใจลึกๆ และช้าๆ และรับรู้ถึงความสงบเยือกเย็น และกำหนดสติรู้อยู่กับปัจจุบันขณะตลอดเวลา
สัมผัสรู้ถึงจิตวิญญาณ/จิตสำนึกของคุณ ตอนนี้คุณควรจะทราบแล้วว่า ทุกๆครั้งที่ผมใช้คำว่าคุณ
ผมหมายถึงคุณที่เป็นจิตวิญญาณ/จิตสำนึกอันเป็นอนันต์นั่นเอง ไม่ได้หมายถึงร่างกายเนื้อหรือยานพาหนะของคุณ
คุณพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ก็ไปกัน
จุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่งคือความว่างเปล่า หรืออาจจะเรียกว่า สุญญตา ก็ได้ สุญญตานี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก
และเริ่มต้นทีเดียวยังไม่มีสิ่งใดอยู่ในความว่างเปล่านี้ มันคือ ความกว้างใหญ่ไพศาลแห่งความไม่มีอะไรเลย
ไม่มีอะไรเลย แปลว่าไม่มีสิ่งใดๆอยู่เลย ดังนั้น มันคือความไม่มีสิ่งใดเลย มันคือความกว้างใหญ่ไพศาลแห่งความไม่มีอะไรเลย
หรือความกว้างใหญ่ไพศาลแห่งความว่างเปล่า
มันคงจะยากสำหรับมนุษย์ที่จะนึกภาพความเป็นสุญญตาออก แต่ถ้าเปรียบเทียบว่าคล้ายๆกับในอวกาศที่ปกติจะมีดวงดาว
มีดาวเคราะห์ มีกลุ่มแก็ส มีโนบูล่าอยู่ และคุณมองเห็นมันอยู่ไกลๆลิบๆ แต่ในขณะต่อมาลองนึกว่าทุกอย่างหายไปหมด
ไร้แสงสว่างใดๆ มันก็จะเหลือเพียงความมืด ความว่างเปล่า ความเงียบสงบและปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ
นี่อาจจะพอเทียบเคียงกับสภาพความว่างเปล่าของสุญญตาได้บ้าง หรือว่าคุณอาจะปล่อยให้ใจของคุณสงบ
และหยุดนิ่งแล้วจ้องมองอะไรบางอย่างนิ่งๆ ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องคิดอะไรเลย คุณก็จะว่างจากทุกสิ่ง
นั่นแหละความว่างเป็นคล้ายๆแบบนั้นแหละ
ความว่างเปล่ามันดำรงอยู่ด้วยตัวมันเอง มันเป็นนิรันดร์และปราศจากกาลเวลา มันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้นตลอดชั่วกาลนาน
แต่กระนั้นก็ตาม ในความเป็นความว่างเปล่าที่ปราศจากสิ่งใดของมันนั้น ก็ดำรงไว้ซึ่งศักยภาพของทุกสิ่งทุกอย่างด้วย
ดังนั้นความเป็นสุญญตานี้ก็คือความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่ทรงพลังอำนาจแห่งศักยภาพ
ของความเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ด้วยความเป็นจิตสำนึกอันเป็นอนันต์อันบริสุทธิ์ ของมันเอง
อยู่มาวันหนึ่ง ความว่างเปล่านี้ไม่มีอะไรจะทำมันก็เลยกลับเข้าไปข้างในตัวมันเองแล้วก็วิปัสสนาดูตัวมันเอง
ความว่างเปล่านี้มันจะวิปัสสนาอะไรได้ ก็มันไม่มีอะไรอื่นใดให้วิปัสสนาเลยนอกจากตัวมันเองเท่านั้น
ดังนั้นมันจึงได้แต่กลับเข้าไปข้างในและวิปัสสนาตัวมันเองเท่านั้น แล้วจากนั้นมีอะไรเกิดขึ้นรู้ไหมครับ
หลังจากที่ความว่างเปล่ามันวิปัสสนาตัวมันเองแล้ว มันก็เกิดภาพสะท้อนของตัวมันเองขึ้นมาในบัดดล
หรืออาจจะเรียกได้ว่า มันได้สร้างหรือขยายตัวตนของมันขึ้นมาอีกตัวตนหนึ่งแล้ว
นี่คือครั้งแรกที่มันประจักษ์ถึงศักยภาพของมัน ที่มันไม่เคยรู้มาก่อน
คุณยังจำได้อยู่ใช่ไหม๊ ที่ว่าความว่างเปล่าคือความไม่มีอะไรเลย แต่ทรงไว้ซึ่งพลังอำนาจแห่งศักยภาพ
ของความเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นหลังจากที่ความว่างเปล่านี้ได้วิปัสสนาตัวมันเองแล้ว ศักยภาพที่หลับใหลอยู่ของตัวมันเอง
จึงตื่นขึ้นมา และสิ่งที่เกิดขึ้นจากความว่างเปล่านี้ก็คือตัวมันเองอีกตัวหนึ่งนั่นเอง (แต่มีจำนวนมากมายจนเป็นอนันต์)
เราอาจจะเรียกความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ว่า จิตวิญญาณ/จิตสำนึกต้นแบบ หรือบางทีผมก็เรียกมันว่า
จิตสำนึกอันเป็นอนันต์
อาจจะกล่าวได้ว่าจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกต้นแบบนี้ก็คือคุณนั่นเอง ซึ่งนั่นก็แปลว่ามีคุณดำรงอยู่ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
เพราะคุณดำรงอยู่ภายในความว่างเปล่าอันนั้น ในรูปแบบของพลังอำนาจแห่งศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่
แล้วเมื่อความว่างเปล่านั้นได้กลับเข้ามาวิปัสสนาภายในของตัวเอง คุณจึงตื่นขึ้นมา ดังนั้นความว่างเปล่านี้
จึงเป็นพ่อ/แม่ผู้ให้กำเนิดคุณ และนี่แหละคือที่ๆคุณมา
แล้ววันหนึ่งความว่างเปล่าก็กล่าวกับคุณว่า ข้าตื่นเต้นมากที่เจ้าซึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งศักยภาพ ที่ครั้งหนึ่งเคยหลับใหลอยู่ภายในตัวข้า
ได้กำเนิดขึ้นมา เพราะการกลับเข้าไปวิปัสสนาภายในตัวข้าเอง เจ้าคือส่วนหนึ่งหรือส่วนขยายของข้า
ข้าปลาบปลื้มมากและข้าก็รักเจ้ามาก ตอนนี้ขอให้เจ้าลองมาเล่นสนุก โดยทำอย่างที่ข้าทำในตอนแรกเถิด
แล้วอะไรหละที่ความว่างเปล่าทำในตอนแรก ก็คือการกลับเข้าไปข้างในตัวเองแล้ววิปัสสนาตัวเองนั่นเอง
และเมื่อความว่างเปล่าบอกให้จิตวิญญาณบริสุทธิ์/จิตสำนึกบริสุทธิ์ต้นแบบกลับเข้าไปวิปัสสนาภายในของตนเองแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ บางอย่างที่หลับใหลอยู่ในรูปแบบของพลังอำนาจแห่งศักยภาพก็อุบัติขึ้น แล้วสิ่งนั้นคืออะไร
สิ่งนั้นก็คือส่วนหนึ่งของความว่างเปล่าเองเช่นกัน ดังนั้น ส่วนหนึ่ง ที่เคยเป็นพลังแห่งศักยภาพที่หลับใหลอยู่ภายใน
ของความว่างเปล่า ก็อุบัติขึ้นได้ด้วยเหตุนี้เอง นี่คือวิธีการกำเนิดขึ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง จากความไม่มีอะไรเลย
หลังจากนั้นความว่างเปล่าก็บอกกับจิตวิญญาณบริสุทธิ์/จิตสำนึกบริสุทธิ์ต้นแบบอื่นๆ ว่า
ลูกๆของข้าเอ๋ย พวกเจ้าจงมาสนุกกับการกลับเข้าไปวิปัสสนาภายในตัวของเจ้าเองเถิด เพื่อให้มีตัวของข้านี้เพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และข้าก็จะยังรักและให้การดูแลพวกเจ้าอยู่เสมอ มันไม่มีอะไรผิด และไม่มีอะไรถูก
และความรักที่ข้ามีต่อเจ้านี้ จะไม่มีที่สิ้นสุด และข้าจะรักพวกเจ้าตลอดไปและตลอดไป ชั่วนิรันดร์
ตอนนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า มันยังไม่มีกาลเวลาในความว่างเปล่านี้ และเพราะว่าไม่มีกาลเวลา มันจึงไม่มีระยะทางด้วย
และเพราะว่าไม่มีระยะทาง มันจึงไม่มีช่องว่าง
จากนั้น อยู่มาวันหนึ่งจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกต้นแบบก็ได้ทำเหมือนกับที่ความว่างเปล่าทำ ตอนแรก
คือ กลับเข้าไปวิปัสสนาภายในของตนเอง แล้วมีอะไรเกิดขึ้นหละ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกรุ่นที่สอง
พอมาถึงตรงนี้ เราก็จะมี ความว่างเปล่า และมี จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกต้นแบบ จากนั้นก็มี
จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกรุ่นที่สอง ซึ่งครั้งหนึ่งนั้น จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกทั้ง 2 รุ่น ได้เคยหลับใหลอยู่ในความว่างเปล่าทั้งคู่
แต่ในตอนนี้ ได้กำเนิดออกมาแล้ว ช่างน่ายินดี และน่าตื่นเต้นไหม๊หละครับ
และตอนนี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เมื่อมีจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกเกิดขึ้นถึงสองรุ่นแล้ว คำตอบคือ มันก็เกิดมีบางอย่างเกิดขึ้น
ระหว่างจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกทั้งสองรุ่น ซึ่งเราอาจเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า กาลเวลา ระยะทาง และ ช่องว่าง ก็ได้
เดิมทีนั้นมันไม่มีกาลเวลาอยู่ในความว่างเปล่า และหลังจากการอุบัติขึ้นของจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกต้นแบบแล้ว
มันก็ยังไม่มีกาลเวลาเกิดขึ้น จนกระทั่งจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกรุ่นที่สองเกิดขึ้นแล้ว กาลเวลาและระยะทางที่เกิดขึ้นตามมา
ทำไมถึงมีกาลเวลาเกิดขึ้น ก็เพราะว่า มันมีระยะทางระหว่างจุดสองจุด คือระหว่างจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกต้นแบบกับจิตวิญญาณ
หรือจิตสำนึกรุ่นที่สองนั่นเอง แต่ถ้าจิตวิญญาณทั้งสองรุ่นนี้กลับไปรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนเดิมหละ อะไรจะเกิดขึ้น
ยังจะมีกาลเวลาอยู่อีกต่อไปไหม๊ คำตอบคือ ไม่มี ถูกต้องแล้วครับ กาลเวลาจะไม่มี เหลือเพียง เดี๋ยวนี้ ส่วนระยะทางก็จะไม่มีด้วย เหลือเพียง ที่นี่ เท่านั้น
คุณเห็นด้วยไหมว่า ถ้าไม่มีกาลเวลาและระยะทางแล้ว มันก็จะเหลือแต่คำว่า ที่นี่ และ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น
และอะไรจะเกิดขึ้นถ้าจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกทั้งสองรุ่นนี้ ไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่แยกจากกันอยู่ พวกเราก็จะมีกาลเวลา ระยะทาง
และช่องว่างยังไงหละครับ เพราะว่ามันมีช่องว่างและระยะทางระหว่างจุดสองจุดอยู่ คือระหว่างจิตวิญญาณทั้งสองรุ่น
(ต้นแบบกับรุ่นที่สอง) นั่นเอง และอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างจุดสองจุดนี้อีกหละ ถ้ามันมีกาลเวลา ระยะทาง และช่องว่างแล้ว
มันก็ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอีกแน่นอน ซึ่งเราอาจจะเรียกมันว่า สรรพสิ่ง ก็ได้
ดังนั้น สรรพสิ่งก็กำเนิดขึ้น หรือแผ่ขยายออกมาจากจุดสองจุดของจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกทั้งสองรุ่น (ต้นแบบและรุ่นที่สอง)
ดังนั้น สรรพสิ่ง ซึ่งเดิมทีเคยเป็นพลังอำนาจแห่งศักยภาพที่หลับใหลอยู่ในภายในจิตวิญญาณรุ่นที่สอง
แต่เมื่อจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกรุ่นที่สองนี้กลับเข้าไปวิปัสสนาภายในของตัวเองแล้ว จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกรุ่นที่สองนี้
ก็จะกลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกต้นแบบอีกครั้ง ดังนั้นกาลเวลาจึงหายไป เหลือแต่ เดี๋ยวนี้
และช่องว่างก็หายไปด้วย เหลือแต่ ที่นี่ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นอีกในขณะนั้น คำตอบคือมีบางอย่างเกิดขึ้นอีก
บางอย่างซึ่งหลับใหลอยู่ภายในก็กำเนิดขึ้น
จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกทั้งสองรุ่น (ต้นแบบและรุ่นที่สอง) สนุกสนานกับการที่ได้ทำอย่างนั้น และพบว่ามันเยี่ยมมาก
เพราะว่าทุกๆครั้งที่จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกนี้กลับเข้าไปวิปัสสนาภายในของตัวเองแล้ว ก็จะมีบางอย่างเกิดขึ้นทันทีเสมอๆ
อา..มันเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นมาก
ดังนั้นอาจจะพูดได้ว่าจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกทั้งสองรุ่น (ต้นแบบและรุ่นที่สอง) ได้สร้างหรือทำให้เกิดสรรพสิ่งมากมาย
จากความว่างเปล่า ช่องว่างและระยะทาง ในขณะนั้น และเราอาจจะเรียกสถานที่นั้นว่า สวรรค์ชั้น 7 ก็ได้
ต่อจากนั้นไม่นานจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกทั้งสองรุ่นนี้ (ต้นแบบและรุ่นที่สอง) ก็เกิดความเบื่อหน่ายกับสวรรค์ชั้น 7 นี้
จึงได้สร้างสวรรค์ชั้นอื่นๆขึ้นมา เราอาจจะให้ชื่อว่า สวรรค์ชั้นที่ 6,5,4,3,2,และ 1 ตามลำดับ
ซึ่งในสวรรค์แต่ละชั้นนั้น ก็จะมีกาลเวลา ระยะทาง ช่องว่าง สรรพสิ่ง และประสบการณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง
และสวรรค์แต่ละชั้นก็จะมีระดับพลังงาน คลื่นความถี่ และการสั่นสะเทือนที่ไม่เท่ากัน
ยิ่งสวรรค์ชั้นต่ำลงมาจากสวรรค์ชั้นที่ 7 เท่าไหร่ กาลเวลาของสวรรค์ชั้นนั้นๆก็ยิ่งจะช้าและระยะทางและช่องว่างในสวรรค์ชั้นนั้นๆ
ก็จะยิ่งมากด้วย ดังนั้นสวรรค์ชั้นที่ 1 จึงเป็นชั้นที่มีกาลเวลาช้าที่สุด และระยะทางก็จะยาวไกลที่สุดด้วย
คุณเห็นด้วยไหม๊ และพลังงาน คลื่นความถี่ และการสั่นสะเทือนก็ย่อมจะต้องต่ำที่สุดด้วย ถูกต้องไหมครับ
ดังนั้นคุณอาจจะลองจินตนาการดูเอาเองก็ได้ว่า บนสวรรค์ชั้นที่ 7 ทุกๆครั้งที่คุณกลับเข้าไปพิจารณาภายในของคุณ(วิปัสสนา)
ก็จะมีบางอย่างอุบัติขึ้นโดยทันทีทันใด อย่างฉับพลัน เพราะว่าระดับพลังงาน คลื่นความถี่ และการสะเทือนบนสวรรค์ชั้นที่ 7 นี้
มีค่าสูงมาก ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรก็ตาม มันก็จะอุบัติผลขึ้นในฉับพลัน!
และเราอาจจะกล่าวได้ว่าโลกอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ 1 คุณคิดว่าใครคือผู้ที่อาศัยอยู่บนโลกและสวรรค์ชั้นที่ 1 นี้
จะใครซะอีกหละ ก็คุณนั่นแหละ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณซึ่งอยู่บนโลกและสวรรค์ชั้นที่ 1 นี้กลับเข้าไปคิดและวิปัสสนาภายในของตัวเอง
มันจะมีอะไรอุบัติขึ้นอย่างฉับพลันแบบนั้นไหม๊ครับ มันคงไม่ได้หรอกครับ เพราะมันอาจจะต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์
หรือเป็นเดือนหรือเป็นปีหรือเป็นศตวรรษ หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่จะต้องดำเนินไปอย่างช้าๆ ช้ามากๆ
และก็อืดอาดมากๆด้วย
ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคุณถึงไม่ค่อยมีความสุขมากนักบนโลกและสวรรค์ชั้นนี้ ก็เพราะว่า คุณเคยอยู่แต่บนสวรรค์ชั้นที่ 7
และบนสวรรค์ชั้นที่ 1 นี้ อะไรๆมันก็ไม่ได้สนุกสนานและรวดเร็วทันใจเหมือนกับบนสวรรค์ชั้นที่ 7
และก่อนหน้าที่คุณจะลงมาที่สวรรค์ชั้นที่ 1 นี้ คุณต้องผ่านลงมาจากสวรรค์ชั้นที่ 6,5,4,3 และ 2 ตามลำดับก่อน
ก่อนที่จะลงมาถึงชั้นที่ 1 นี้ได้
คุณไม่สามารถที่จะกระโดดลงมาจากสวรรค์ชั้นที่ 7 ลงมาที่สวรรค์ชั้นที่ 1 ได้โดยทันที มันเป็นไปไม่ได้!
คุณที่เป็นคุณอยู่ในขณะนี้ หมายความว่าครั้งหนึ่งคุณเคยเป็นส่วนหนึ่งของความว่างเปล่ามาก่อนตั้งแต่ตอนเริ่มแรก
คุณจึงไม่สามารถที่จะออกมาจากที่ที่ไร้สถานที่ คุณซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพลังอำนาจแห่งศักยภาพที่หลับใหลอยู่ในความว่างเปล่า
เมื่อความว่างเปล่าได้กลับเข้าไปพินิจพิเคราะห์(วิปัสสนา)ในตัวเอง คุณจึงอุบัติขึ้นมา และดำรงค์อยู่ในรูปแบบของจิตวิญญาณ
หรือจิตสำนึกอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสา
ในครั้งแรกที่คุณอุบัติขึ้นมาจากความว่างเปล่า/พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดคุณนั้น คุณเป็นจิตวิญญาณ/จิตสำนึกที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสามากๆ
และคุณก็มีพลังอำนาจมหาศาล และคุณก็สนุกสนานมากด้วย เพราะว่าอะไรก็ตามที่คุณคิด คุณพิจารณา
มันจะอุบัติขึ้นอย่างฉับพลันทันที แต่ในขณะนี้ คุณได้สูญเสียความสามารถนั้นไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ก็อย่าแปลกใจถ้าคุณจะรู้สึกอ้างว้าง ไร้ความสุข และเฝ้าปรารถนา และโหยหาที่จะรู้จักตัวเอง
เพราะในส่วนลึกของคุณแล้ว คุณรู้ว่ามันมีอะไรที่มากกว่านี้ แต่คุณไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ดังนั้นจึงทำให้คุณเฝ้าเพียรพยายามที่จะค้นหาพลังอำนาจและความรู้อยู่ตลอดเวลา
หลังจากผ่านไปเป็นล้านๆๆๆๆๆชาติ นับจากที่คุณได้สูญเสียความเป็นตัวคุณเอง ไปกับการแสดงละครชีวิตบนสวรรค์ชั้นต่างๆแล้วนั้น
คุณก็หลงลืมไปว่าคุณเคยดำรงอยู่ก่อนกาลเวลาและสรรพสิ่งจะอุบัติขึ้นเสียอีก
คุณลืมแม้กระทั่งว่าเอกภพ กาแล็กซี่ มิติ ระบบสุริยจักรวาล ดาวเคราะห์ ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ แร่ธาตุ พืช และสัตว์ต่างๆ
ครั้งหนึ่งเคยดำรงอยู่ในรูปพลังความบริสุทธิ์ของความเป็นไปได้ทั้งมวล และความน่าจะเป็นทั้งมวล ภายในคุณ
สิ่งทั้งปวงเป็นแต่เพียงมายา และสิ่งที่จริงแท้แน่นอนตลอดไปและถาวรยั่งยืน และตลอดกาลคืออะไรกันเล่า ก็คือคุณนั่นแหละ
ใช่แล้วครับ คุณในฐานะจิตวิญญาณ/จิตสำนึก เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นของจริง!!! และจิตวิญญาณ/จิตสำนึกต้นแบบ
ที่ดำรงอยู่ในสมองของคุณในขณะนี้ ก็คือผู้ที่ทำให้กายเนื้อหรือยานพาหนะของคุณอันนี้มันทำหน้าที่ได้ หายใจได้ หัวใจเต้นได้
และก็เป็นผู้ที่ทำให้และรักษาเจ้ากายเนื้อนี้ไว้ ให้มันยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงขณะนี้
ส่วนจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกรุ่นที่ 2 ของคุณ ก็คือจิตสำนึกที่ทำให้คุณสามารถคิดได้นี่ยังไงหละครับ
และคุณคิดว่าตรงไหนของร่างกายเนื้อของคุณ ที่จิตวิญญาณหรือจิตสำนึกของคุณอยู่ ก็คือตรงกลางหน้าผาก
ระหว่างคิ้งของคุณนั่นเอง ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่า จักระที่ 6 หรือ ตาที่ 3
ตรงนั้นแหละ คือที่ๆมีความมหัศจรรย์แห่งพลังอำนาจของคุณสถิตอยู่ คุณคือผู้ที่มีความมหัศจรรย์ ทรงพลังอำนาจ
เหลือเชื่อ และน่าอัศจรรย์เสมอ คุณจะจำความทรงจำอันเก่าแก่นี้ได้ไหมหนอ พี่ๆน้องๆของผม
......