วันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายกอบกู้สถาบันการเงินสหรัฐฯมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ ไปเมื่อวันศุกร์ และ ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายในเวลาอีกสองชั่วโมงต่อมาในวันเดียวกัน
ดร.โอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ก็ชวนผม ไปนั่งคุยเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และ แผนรับมือในปัจจุบันและอนาคตของไทย นั่งถกกันกว่าสองชั่วโมง
แม้จะรู้ว่ามีเวลาไม่มาก ไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะอยู่อีกนานเท่าไร แต่ฟังเสียง รองนายกฯโอฬาร แล้วก็รู้สึกสบายใจ เพราะไม่มีอาการถอดใจ ตรงกันข้ามกลับแสดงความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่าที่จะทำได้ และเตรียมแผนระยะยาวในอนาคต เพื่อรับมือกับคลื่นวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินจากสหรัฐฯ ที่จะทยอยตามมาในปีหน้า ซึ่งมันมาแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่มา
ข้อที่ได้เปรียบและถือเป็นโชคดีของประเทศไทยก็คือ ไทยมีเงินกู้ต่างประเทศที่ เป็นเงินดอลลาร์น้อยมาก และ มีเงินทุนสำรองที่เป็นเงินดอลลาร์เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ดังนั้น ใครที่เป็นห่วงว่านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไม่เลิก แล้วแลกเป็นเงินดอลลาร์ออกนอก ประเทศจะกระทบค่าเงินบาทและเศรษฐกิจไทย คงไม่ต้องเป็นห่วง
ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้ว 120,000 ล้านบาท ตอนนี้ ยังเหลือเงินลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นอีกประมาณ 120,000 ล้านบาท เชื่อว่าต่างชาติต้องทยอยขาย จนหมดพอร์ต เพื่อนำเงินกลับไปเสริมสภาพคล่องบริษัทแม่ ดร.โอฬาร
บอกว่า เงิน 120,000 ล้านบาท เมื่อ แลกเป็นดอลลาร์ก็แค่ 3,500 ล้านดอลลาร์ นิดเดียวเอง ไม่กระทบต่อทุนสำรองอันแข็งแกร่งของไทยแน่ นอน
สำหรับ ตลาดหุ้นไทย กำลังมีการเจรจากับ เวียดนาม ลาว และ กัมพูชา เพื่อชักนำบริษัทขนาดใหญ่ที่ ลงทุนในสามประเทศนี้ ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ขณะเดียวกันก็เจรจากับ มาเลเซีย และ สิงคโปร์ เรื่องการซื้อขายหุ้นข้ามชาติ เพื่อสร้างนักลงทุนในเอเชียขึ้นมาแทนที่นักลงทุนสหรัฐฯและยุโรป โดยจะทำควบคู่ไป Asean Bond เพื่อระดมเงินทุนใน ภูมิภาคเอเชียด้วยกัน
ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ประเทศไทยจะนำเสนอต่อ ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปลายปีนี้
ดร.โอฬาร มองว่า
ในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯตกอยู่ในสภาพ ถดถอย จะส่งผลให้สหรัฐฯไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกอีกต่อไป และ ศูนย์กลางการ เงินของโลก จะเคลื่อนย้ายจาก มหานครนิวยอร์ก มาอยู่ในเอเชียที่ จีน และ ญี่ปุ่น แทนก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า โหรโอฬาร จะแม่นหรือไม่
ผมจำได้ว่า หลายปีก่อน อาจารย์วิศิษฎ์ เตชะเกษม เคยเขียนไว้ในวารสาร การ เงินธนาคาร ทำนายไว้ว่า โลกยุคปัจจุบันตกอยู่ในอิทธิพลของ กลุ่มดาวยุคที่ 8 ทำให้ ความมั่งคั่งจาก สหรัฐฯและยุโรปเสื่อมถอย และ ความมั่งคั่งจะโยกย้ายมาอยู่ที่เอเชียแทน โดยมีจีนและญี่ปุ่นเป็นหลัก และ ความมั่งคั่งร่ำรวยนี้จะอยู่กับชาวเอเชียไปนานถึง 20 ปี
ช่วงที่ อาจารย์วิศิษฎ์ เขียนคำทำนายนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯยังรุ่งโรจน์ จีนเพิ่งจะโผล่รัศมีขึ้นมาเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าผ่านไปไม่กี่ปี คำทำนายนี้กลับเป็น จริง
เมืองไทยวันนี้ยังโชคดีที่สินค้าเกษตรมีราคาดี ทำให้เกษตรกรมีฐานะดี ซึ่ง ดร. โอฬาร บอกว่า
เศรษฐกิจไทยปีหน้าคงจะต้องพึ่งพาภาคการเกษตรอย่างมาก เพื่อทดแทนภาคอุตสาหกรรมซึ่ง จะถดถอยลงผมฟังแล้วก็ชักเป็นห่วงรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่เหลือแต่ละคนขี้ริ้วขี้เหร่เหลือเกิน
กลัวจะ ทำโอกาสให้เป็นวิกฤติ เหมือนยุคสมัคร ข้าวราคาดีๆกลับทำให้ราคา ตกได้อย่างเหลือเชื่อ เวลานี้กำลังจะมาอีหรอบเดียวกันอีกแล้ว.
http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=106608รู้สึกว่า ดร.โอฬารจะเข้าใจว่า ตลาดทุน(หุ้น) กับตลาดเงิน เป็นตลาดเดียวกัน แต่วิกฤติที่เกิดคราวนี้เกิดกับตลาดเงินโดยตรงตลาดหุ้นแค่ได้รับผลกระทบตามมาครับ
ก่อนจะถึงยุคที่จีนกับญี่ปุ่นเป็นศูนย์กลางการเงินโลกแทนนิวยอร์คในช่วงระหว่างการย้ายศูนย์อำนาจเงิน ทั่วโลกคงต้องต่อสู้กับวิกฤติภาวะเงินฝืดหลายปีอยู่ครับ