วิกฤติการเงินสหรัฐฯ บ่อเกิด ผลกระทบ จนถึงจุดสิ้นสุด ตอบทุกคำถาม และความเกี่ยวโยง [6 ต.ค. 51 - 17:25]
ในช่วง 20 กว่าวันที่ผ่านมา โลกทั้งใบดูจะถูกปกคลุมไปด้วยความหวาดผวา จากข่าวการล้มละลายของวาณิชธนกิจขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลลุกลามบานปลายเป็น วิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลกครั้งใหญ่อีก
ขณะเดียวกัน ก็มีคำถามและข้อเคลือบแคลงสงสัยมากมายว่า เหตุใดสหรัฐอเมริกาซึ่งควรจะ เป็นประเทศต้นแบบของนวัตกรรมการเงินที่โปร่งใส และตรวจสอบได้ ไม่ใช่แต่เพียงดึงดูดการลงทุนเท่านั้น จึงล้มเหลว สร้างความผิดหวัง และผลการขาดทุนอย่างใหญ่หลวงให้แก่ชาวโลกได้ถึงเพียงนี้
เพื่อให้ได้คำตอบที่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างครอบคลุมในทุกแง่มุม ทีมเศรษฐกิจ จึงขอนำเสนอบทความเชิงวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ สหรัฐอเมริกา ศาสตราจารย์สตีเวนท์ เดวิด ลีวิตต์ (Professor Steven D.Levitt) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บุคคล ที่ทรงอิทธิพลต่อโลกในนิตยสารไทม์ ที่ได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ เมื่อไม่นานมานี้ มาให้อ่านกัน โดยเฉพาะในคำถามที่มักจะถูกถามบ่อยที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
1. เกิดอะไรขึ้น
เรื่องราวเริ่มขึ้นจากการที่
กระทรวงการคลังสหรัฐฯได้ประกาศนำ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค (Fannie mae and Freddie Mac : สมาคมจำนองแห่งชาติ และบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง) เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2551 สินทรัพย์ของทั้งสองรวมกันมีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 170 ล้านล้านบาท (34 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากเป็นสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ค้ำประกันสินเชื่อการเคหะส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
โดยกระทรวงการคลังได้ขออนุมัติการเข้าไปให้ความช่วยเหลือจากสภาคองเกรสเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ขณะนั้นสภาฯไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้าแทรกแซง กิจการของทั้งสองบริษัทแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ต่อมาทางการตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหาร รวมทั้งเข้าควบคุมการดำเนินงานของบริษัท สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาที่ กำลังเกิดขึ้นกับตลาดเงิน ตลาดทุน และสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาแล้ว
ต่อมาในวันจันทร์ที่ 15 ก.ย.
เลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) ได้ประกาศ ล้มละลาย สร้างสถิติการล้มละลายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ อเมริกา ด้วยสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 20 ล้านล้านบาท พนักงานทั้งหมด 25,000 คน (ลบสถิติเดิมเป็นของเวิลด์คอมซึ่งมีสินทรัพย์ ประมาณ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ น้อยกว่าเลห์แมน 6 เท่า)
ถัดมาอีกวัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศให้เงินกู้ระยะสั้นแก่ เอไอจี A.I.G. บริษัทประกันอันดับ 1 ของโลก ด้วยสินทรัพย์มากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (34 ล้านล้านบาท) มีจำนวนพนักงานมากกว่า 100,000 คนทั่วโลกภายใต้เงื่อนไขข้างต้น
เอไอจีจะต้องพยายามขายสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้หนี้ภายใน 2 ปี ข้างหน้า หากทำไม่สำเร็จ เฟดอาจยินยอมเปลี่ยนหนี้เป็นทุน เพื่อเข้าถือหุ้น 80% ในเอไอจี และรื้อทีมผู้บริหาร แต่ ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่มีแผนที่จะกระทำการดังกล่าว
2. ทำไม และเพราะอะไร
ข้อบ่งชี้ที่เหมือนกันของปัญหาที่เกิดขึ้นกับ
แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ตลอดจนเลห์แมน บราเธอร์ส และเอไอจี คือ หน่วยงานเหล่านี้หมดความสามารถในการหา แหล่งเงินทุน แม้จะมาจากเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
กรณีของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค เป็นผลมาจากบทบาทพิเศษของทั้งสองที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อ สนับสนุนการปล่อยสินเชื่อบ้าน รับประกันเงินกู้สินเชื่อการเคหะ ออกพันธบัตรที่ผ่านการค้ำประกันจากรัฐบาล ซึ่งทำให้แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ออกพันธบัตรได้เต็มที่กว่าบริษัทเอกชนทั่วไป
โดยหลักการแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ควรที่จะใช้ประโยชน์ที่ได้รับจากรัฐบาลไปปรับลด ต้นทุนให้แก่ผู้กู้ยืมเงินเพื่อการซื้อบ้าน แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองหน่วยงานกลับใช้ประโยชน์จากการค้ำประกันของรัฐบาล เพิ่มผลกำไรให้ตนเอง และบีบคู่แข่งในตลาด
นักลงทุน และรัฐบาลต่างประเทศที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง ต่างกระหายที่จะครอบครอง พันธบัตรที่ออกโดยแฟนนี เม และเฟรดดี แมค เพราะมั่นคงดุจดั่งพันธบัตรที่ออกโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯที่สำคัญ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค แทบไม่ได้รับการตรวจสอบเลย มิหนำซ้ำยังดำเนินธุรกรรมที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบริษัท ด้วยการนำเงินไปซื้อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งมีความเสี่ยงเกินมาตรฐานด้วย
ในช่วงปีที่ผ่านมา
เงินทุนที่ 2 บริษัทมีเพียงน้อยนิด จึงไม่พอเพียงกับการชดเชยการขาดทุน จากการลงทุนในตลาดสินเชื่อ ด้อยคุณภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพร์ม) และเมื่อเห็นว่าการขาดทุนจำนวนมหาศาลดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่แพร่กระจายในวงกว้าง เฟดจึงตัดสินใจเข้าช่วยเหลือแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ด้วยการเข้าค้ำประกันหนี้ให้
อย่างไรก็ตาม แม้หนี้จะได้รับการค้ำประกัน แต่กรณีนี้เชื่อว่าที่สุดคงไม่มีนักลงทุนรายใด สนใจเข้ามาซื้อกิจการ หรือแบกรับภาระหนี้ และคงไม่พ้นที่เฟดจะต้องเข้าเทกโอเวอร์ในที่สุด
กรณีของเลห์แมน บราเธอร์ส เกิดขึ้นจากการที่บริษัทไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ได้ ปกติเลห์แมนต้องการเงินหมุนเวียนขั้นต่ำเดือน 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (3.4 ล้านล้านบาท) เพื่อใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พันธบัตร หุ้น และธุรกรรมการเงินอื่นๆ
เวลาที่เจ้าหนี้พบว่า เข้าไปตรวจสอบและติดตามเงินที่ให้กู้ยืมไปได้อย่างลำบาก และลูกหนี้ดำเนินธุรกิจที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เจ้าหนี้มักจะปรับวิธีการให้ยืมเป็นปล่อยเงินกู้ ระยะสั้นให้แทน
หากเปรียบเทียบกับวิธีการอื่น รวมทั้งมาตรการทางกฎหมาย การปฏิเสธให้เงินกู้ ถือเป็นวิธีการควบคุมลูกหนี้ไม่ให้แตกแถวที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
โดยเฉพาะกับเลห์แมน ในฐานะวาณิชธนกิจ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เลห์แมนควรที่จะปรับการลงทุนใหม่ ลดธุรกรรมที่มีความเสี่ยงลง ดังนั้น สำหรับเลห์แมน (รวมทั้งวาณิชธนกิจอื่น) การถูกลดความน่าเชื่อถือจากเจ้าหนี้ ด้วยการปล่อยกู้ระยะสั้นให้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือเป็นอุบัติเหตุ แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก
สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ เมื่อเจ้าหนี้ถูกพูดกรอกหูอยู่ตลอดหลายเดือนว่า การลงทุนของเลห์แมนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ขาดทุนมากกว่าที่ทุกคนคิด ประกอบกับวิกฤติซับไพร์ม และกรณีของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ยิ่งตอกย้ำให้สถานการณ์ รุนแรงขึ้น!
เจอเหตุการณ์เช่นนี้ ต้นทุนการกู้ยืมของเลห์แมนจึงสูงลิบลิ่ว ในขณะที่ราคาหุ้นลดลงฮวบฮาบ แถมยังถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือ สถาบันการเงินส่วนใหญ่ถูกกฎเหล็กควบคุมไม่ได้ปล่อยกู้ ให้เลห์แมนเพราะมีความเสี่ยงสูง ส่วนรายที่พอจะปล่อยกู้ให้ได้ ก็ตัดสินใจไม่ปล่อย เพราะคาดว่าเลห์แมนน่าจะล้มละลายในที่สุด เนื่องจากสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อที่ฝืดเคืองขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกรณีของเอไอจี เอไอจีต้องการเงินทุนเพราะต้องนำไปค้ำประกันสัญญาจำนวน 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาค้ำประกัน ที่ขาดทุนยับเยินเนื่องจากเป็นสินเชื่อซับไพร์มทั้งสิ้น สัญญาดังกล่าวเรียกว่า
สัญญาการค้ำประกันหนี้เสีย (Credit Default Swaps : C.D.S.) อันนับว่าสร้างความเสียหายให้แก่เอไอจีมหาศาล ขณะที่ธุรกิจหลักอย่างธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต และอื่นๆ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดหนักกว่านั้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาลงอย่างหนัก ยังทำให้บริษัทจัดอันดับความน่า เชื่อถือปรับลดความน่าเชื่อถือในหนี้ของเอไอจีลง
ซึ่งทำให้เอไอจีต้องแสดงหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาที่อยู่ในมือมูลค่าเบื้องต้นโดยประมาณ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 510,000 ล้านบาท) ทันที
ปัญหาต่อมาก็คือ หากเอไอจีไม่สามารถหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสัญญา C.D.S. ได้สำเร็จ เอไอจีก็จะถูกบังคับให้เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ซึ่งภายใต้สัญญา
หากบริษัทล้มละลาย ลูกค้าภายใต้สัญญาอื่นๆสามารถเรียกคืนเงินเคลมประกัน ล่วงหน้าได้ สิ่งนี้ย่อมจะเกิดปัญหาและความเสียหายเพิ่มเติมตามมาอีกมากโดย
เอไอจีไม่สามารถนำเงินกำไรจากธุรกิจประกันที่มีสภาพคล่องหมุนเวียนกว่า 380,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 12 ล้านล้านบาท) มาอุดการขาดทุนในธุรกิจ C.D.S.ได้ ขณะที่ไม่มีสถาบันการเงินใดยอมยื่นมือเข้ามาช่วย
เมื่อหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันไม่ได้
พันธบัตรของเอไอจีที่ออกขายทั่วโลกมูลค่ารวมกว่า 160,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (5.4 ล้านล้านบาท) ย่อมมีเสถียรภาพสั่นคลอน และแน่นอนว่า จะสร้างความไม่เชื่อมั่นให้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกได้โดยไม่ยาก
ยิ่งเมื่อกองทุนเพื่อการลงทุนในพันธบัตรที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Pimco หรือ Pacific Investment Management Company เข้ามาลงทุนใน พันธบัตรของเอไอจีเป็นจำนวนมาก โอกาสในการเกิดทฤษฎีโดมิโนก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก!!พิจารณาจากสภาพแวดล้อมจากมูลค่าสัญญาจำนวนมหาศาล และสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่ เข้ามาเกี่ยวพัน ที่สุดเฟดจึงตัดสินใจปล่อยกู้ให้แก่เอไอจีจำนวน 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2.8 ล้านล้านบาท) เพื่อนำไปค้ำประกัน C.D.S. และรักษาระบบการเงินไม่ให้ล่มสลาย หรือแพร่กระจายไปในวงกว้าง
3. ทำไมจึงปล่อยเลห์แมนล้มละลาย แต่อุ้มแบร์ สเติร์น แฟนนี เม และเฟรดดี แมค รวมทั้งเอไอจี
เหตุผลที่ต้องอุ้มแฟนนี เม และเฟรดดี แมค รวมทั้งเอไอจีนั้น ได้อธิบายไปแล้ว แต่สำหรับ แบร์ สเติร์น (Bear Stearns) ซึ่งเกิดเหตุเมื่อเดือน มี.ค. 2551 ด้วยปัญหาคล้ายคลึงกันกับเลห์แมน เพียงแต่แบร์ สเติร์นได้รับการช่วยเหลือ แต่เลห์แมนไม่
สาเหตุที่ทำให้แบร์ สเติร์นรอดตาย มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ ประการแรก มาจากการที่เฟดได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ และไม่ใช่ผู้กำกับดูแลแบร์ สเติร์น อีกทั้งข้อมูลที่ปรากฏสู่สาธารณะ และการที่พนักงานไม่ค่อยยอมเปิดปาก ทำให้ยากที่จะโยงว่าแบร์ สเติร์นเกี่ยวพันกับระบบการเงินในภาพใหญ่มากน้อยเพียงใด
ประการที่ 2 มาจากปัญหาที่เกิดขึ้นของแบร์ สเติร์นเป็นลักษณะปัจจุบันทันด่วน คู่ค้าไม่มีโอกาสตั้งตัว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็คือ การบังคับขายสินทรัพย์ที่แบร์ค้ำประกันอยู่ ซึ่งย่อมจะนำไปสู่ความอลหม่าน สับสน ตื่นตระหนกไปทั่วตลาด
เฟดจึงไม่มีทางออก นอกจากเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ออกตัวว่า การเข้าช่วยเหลือแบร์นั้น เป็นเรื่องไม่ปกติ และอาจเกิดขึ้นครั้งนี้ครั้งเดียว
ช่วงที่เข้าช่วยเหลือแบร์ เฟดได้กำหนดเงื่อนไขการกู้ยืมใหม่ เพื่อปรับปรุงกฎการทำธุรกรรมการเงิน ระหว่างวาณิชธนกิจด้วยกันเอง และบังคับใช้ในทันที เนื่องจากเฟดต้องการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นซ้ำกับเลห์แมน รวมทั้งสถาบันการเงินอื่น
เดือนเดียวกัน เฟดยังศึกษาแนวทางแก้ไขหากปัญหาเกิดขึ้นซ้ำ และสรุปว่า การปรับเครื่องมือการกู้ยืมเงินเล็กน้อย จะแก้ปัญหาล้มละลายได้ และเฟดก็ได้ดำเนินการดังกล่าว
ดังนั้น การเข้าช่วยเหลือเลห์แมนนอกจากจะเป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง ตามที่เคยพูดเอาไว้ว่า การช่วยเหลือแบร์เป็นกรณีพิเศษ และอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้ว ยังจะเป็นการยืนยันด้วยว่าตลอด 6 เดือนหลังแบร์ล้ม มาตรการ กฎเกณฑ์ใหม่ๆที่เฟดคิดค้นขึ้น รวมทั้งการปรับเครื่องมือการกู้ยืมเงินที่หวังจะช่วยกระตุ้นตลาดนั้น ไม่ได้ผล
ที่สำคัญ ยังจะทำให้เฟด และกระทรวงการคลังยอมรับโดยปริยายว่า พูดไม่จริง หรือไร้ความสามารถในการสร้างเสถียรภาพในระบบการเงิน หรือทั้งสองอย่าง
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ทางการจะตัดสินใจไม่อุ้มเลห์แมน เพราะข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชน โดยละเอียดบ่งชี้ว่า เลห์แมนไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ
4. เราไปเกี่ยวอะไร
มองเผินๆ ผู้คนทั่วไปอาจไม่รู้สึกว่า ได้รับผลกระทบทางตรงต่อกรณีดังกล่าวข้างต้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็แค่แสดงให้เห็นถึงปัญหาของสถาบันการเงิน ที่ไม่มีปัญญาจะหาเงินทุนเท่านั้น แต่ด้วยสภาพคล่องที่หดหายไปในตลาดหลายล้านล้านเหรียญ สหรัฐฯนั้น ทำให้สถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ ระมัดระวังในการปล่อยกู้มากขึ้น รวมทั้งการปล่อยกู้ให้บุคคลธรรมดา และบริษัทห้างร้านทั่วไป
แม้แต่กับคนที่เกี่ยวเนื่องน้อยที่สุด เขาก็จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนด้านสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น สำหรับบุคคล หรือธุรกิจที่มีปัญหาด้านการผ่อนชำระสินเชื่อ หรือต้องการสินเชื่อระยะสั้นอัดฉีด ธุรกิจ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ก็จะพบว่า เข้าถึงสินเชื่อได้ยากลำบากขึ้นกว่าปีก่อนๆ ปัญหาเหล่านี้ ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง และน่าจะเป็นครั้งใหญ่อีกครั้ง หลัง The Great Depression (ปี ค.ศ.1930 ฟองสบู่เศรษฐกิจสหรัฐฯแตก) แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่า จะถดถอยลงมากน้อยขนาดไหน
ผลศึกษาล่าสุดของโกลด์แมนแซคส์บอกว่า จีดีพีน่าจะลดลงสัก 2% ในช่วงปีนี้และปีหน้า แต่ก็เป็นการประมาณการที่ไม่แน่นอนมากๆ5. เฟด และกระทรวงการคลังจะทำอย่างไรต่อไป
กฎง่ายๆซึ่งรวบรวมจากสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หากสถาบันการเงินหนึ่งกำลังยืนอยู่บนปากเหว จวนเจียนจะล้มละลาย และจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน กระทบชิ่งเป็นลูกโซ่ สถาบันการเงินนั้นจะได้รับการช่วยเหลืออย่างไม่ต้องสงสัย สถาบันการเงินจะได้รับอนุญาตให้ล้ม ก็ต่อเมื่อส่งผลกระทบในแวดวงจำกัดเท่านั้น
ถ้ายิ่งครึกโครมเท่าใด โอกาสที่เฟดต้องออกโรงก็มีมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าช่วยเหลือเอไอจี ทำให้มีคำถามกลับมามากมายหลายข้อด้วยกัน อาทิ
การกำหนดประเภทของธุรกิจที่จะเข้าช่วยเหลืออย่างเอไอจี เป็นบริษัทประกันไม่ใช่แบงก์ หรือแม้แต่โบรกเกอร์ และเฟด ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องที่ต้องไปดูแล จึงเป็นที่น่าขบคิดว่า หากกรณีเดียวกันเกิดขึ้นกับธุรกิจแอร์ไลน์ หรือรถยนต์ ซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องในตลาด C.D.S เงื่อนไขในการเข้าช่วยเหลือ อาจไม่ใช่ในแบบเดียวกับเอไอจี
คำถามต่อมาคือ ระดับความรุนแรงของความตื่นตระหนกในตลาด เราคงจินตนาการไม่ได้ เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากปล่อยให้เอไอจีล้ม แต่ก็มีเหตุผลพอที่จะเชื่อว่า การอุ้มเอไอจี อาจไม่ได้ช่วยลดแรงกดดันพื้นฐานของระบบการเงิน และหากการช่วยเหลือไม่ได้ผล อาจกลายเป็นว่า ทางการผลาญเงินภาษีประชาชนไปอย่างไร้ ประโยชน์
ประการสุดท้าย ขณะนี้เอไอจีถือว่าเจ๊งไปแล้ว กฎระเบียบต่างๆจะปรับเปลี่ยนใหม่กันอย่าง ไร?!
แน่นอนว่า เฟดคงไม่สามารถเข้าไปอุ้มบริษัทที่จะล้มได้ทุกบริษัท เพราะมีมากมายก่ายกอง แต่จะหาทางป้องกันอย่างไร โดยที่เฟดจะไม่สำลักกับการตามล้อมคอก นวัตกรรมทางการเงินในตลาดเงินตลาดทุนที่เกิดขึ้นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง
6. ตลาดจะเป็นอย่างไรต่อไป และเมื่อไรจะสิ้นสุด
การล้มละลายของเลห์แมน จะเป็นบทเรียนให้แก่สถาบันการเงินอื่นๆที่จะต้องให้บริการความ เสี่ยงด้วยความระมัดระวัง รวมไปถึงความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ และการเลือกหาคู่ค้าด้วยความรอบคอบ และระมัดระวัง
หากวาณิชธนกิจที่เหลือ อย่าง โกลด์แมนแซคส์ และ มอร์แกน สแตนเลย์ ไม่สามารถหาเงินทุนได้พอเพียง ก็อาจต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงในการล้มละลาย ท่ามกลางสถานการณ์ ดังกล่าว การพึ่งพาเงินกู้ระยะสั้นเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ก็ตาม ส่วนที่ว่าเมื่อไรจะสิ้นสุด การขาดเงินทุนเป็นปัญหาสำคัญ ตราบใดที่สถาบันการเงินยังขาด เงินทุน ปัญหาจะยังคงดำรงอยู่ต่อเนื่อง สัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงภาวะขาดแคลนเงินทุน ได้แก่ 1. การที่มีคนเสนอซื้อเลห์แมนเพียง 2 รายเท่านั้น ทั้งๆที่ราคาขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มากมาย แต่ก็ยังไม่มีคนต้องการซื้อ
2. ต้นทุนการกู้ยืมระหว่างแบงก์ที่อยู่ในระดับสูง และ 3. การไม่ยอมรับความเสี่ยงในสัญญา เงินกู้บางอย่าง ซึ่งทำให้ต้นทุนกู้ยืมในสัญญาดังกล่าวอยู่ในระดับสูง
บทเรียนจากเลห์แมน ทำให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่เชื่อว่า องค์กรของตนต้องการเงินทุน เพิ่มขึ้น แม้จะมีมากมายอยู่แล้ว แต่การเพิ่มทุนโดยตรงก็มีต้นทุนสูงเกินไป ทางเลือกที่เหลือก็คือ การขายกิจการหรือขอล้มละลาย. http://www.thairath.co.th/news.php?section=economic02&content=106614ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ที่เหลือ นอกจากเลห์แมนที่ล้มละลายไปแล้ว ก็เหลือ โกลด์แมนซาค กับ มอร์แกนสแตนเลย์ก็มีโอกาสล้มละลายสูงมากเพราะต้นทุนด้านสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนสูงยากและหาเงินทุนได้ยากขึ้นครับ