เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 18, 2024, 05:23:13 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขอความรู้เรื่องกระสุนก๊าซน้ำตาครับ  (อ่าน 5665 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
yod - รักในหลวง ครับ
ความรัก - เริ่ม - จากความรู้สึก หรือ ความคิด กันแน่นะ ..... ประวัติศาสตร์อาจจะย้อนรอยเดิม แต่คนไม่อาจย้อนอดีตได้
Hero Member
*****

คะแนน 1628
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 18173



« ตอบ #15 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2008, 12:44:34 PM »

โรงพยาบาลรับมา

เอาน้ำฉีดรด ก่อนเลยครับ
บันทึกการเข้า

..สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า...วันนี้เขาอยู่หรือจากไป
สำคัญที่ว่า...ช่วงที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน
ขอให้มีความทรงจำที่ดี...ก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อย เราก็ยังมีอะไรดีดีให้นึกถึง
และยิ้มให้ความทรงจำนั้นได้ ...

..กรอบใดกักขังแค่กาย แต่ใจอย่าหมายกั้นได้
โซ่ตรวนรัดรึงตรึงไว้  แต่ใจนั้นใฝ่เสรี..
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #16 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2008, 01:03:38 PM »

แก๊สน้ำตา

มันคืออะไร?
แก๊สน้ำตา (เรียกว่า CS, CN หรือ CX) และแก๊สพริกไทย เป็นอาวุธที่ทหารและตำรวจใช้ในการสลายฝูงชน แก๊สน้ำตาจะระคายเคืองต่อเยื่อบุ (เช่น ตา ปาก จมูก) และระคายต่อผิวหนัง แก๊สบางชนิดจะมีผลต่อจิตประสาทด้วย

เขาใช้อย่างไร?
ผู้ใช้จะยิงจากเครื่องยิงมือถือหรือเครื่องยิงขนาดถังดับเพลิง อาจจะยิงเข้าฝูงชนหรือยิงตรงตัวคนก็ได้ ถุงแก๊สที่ยิงมามีความร้อนมากหากจะจับขว้างต้องใช้ถุงมือ

หากถูกแก๊สแล้วจะเป็นอย่างไร?
1. แสบร้อน ปวดที่ตา ปาก จมูก และทางเดินหายใจ
2. น้ำตาไหลพราก ตามองไม่เห็น
3. น้ำมูก น้ำลายไหล
4. ไอ หายใจลำบาก
5. ตกใจ มึน ไม่รู้เหนือรู้ใต้
สำหรับผู้มีสุขภาพดีอาการข้างต้นจะหายไปภายใน 30 นาที แต่ผู้ที่อาจมีปัญหาเรื้อรังได้แก่ ทารก เด็ก คนชรา หญิงที่อาจตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้สวมใส่คอนแท็คเลนส์ ผู้ที่มีประวัติโรค เช่น หอบหืด โรคผิวหนัง โรคภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น

ป้องกันอย่างไร?
หากอยู่ในเหตุการณ์ที่อาจเสี่ยงต่อแก๊สน้ำตา ควรมีอุปกรณ์และป้องกันตัวดังนี้
1. อย่าใช้โลชั่น น้ำมัน หรือสารพวกสบู่ สารเหล่านี้จะดูดซึมแก๊ส
2. หากจะใช้ครีมกันแดดให้ใช้ชนิดที่ละลายน้ำ อย่าใช้ชนิดที่เจือน้ำมัน (oil-based)
3. ใส่เสื้อผ้าแขนยาวที่ปกปิดผิวหนังให้มากที่สุด สวมหมวกด้วย
4. หากหาหน้ากากไม่ได้อาจสวมแว่นที่ใช้ว่ายน้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูก

ปฏิบัติอย่างไร?
1. อย่าตกใจ ถ้ายิ่งตกใจจะยิ่งระคายเคือง ให้ตั้งสติรู้ว่ามันจะมีผลเพียงระยะเวลาสั้นๆ
2. ใส่แว่นและหน้ากาก (ถ้ามี) ไปอยู่ในจุดเหนือลม
3. ไอ สั่งน้ำมูก บ้วนน้ำลายออกมา อย่าสูดหรือกลืนแก๊สเข้าไป
4. ถอดคอนแท็กเลส์ออก
5. อย่าเกา อย่าถูไถตามผิวหนัง
6. เปลี่ยนเสื้อผ้าหากถูกแก๊สมากๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม
http://www.starhawk.org/activism/teargas.html
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #17 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2008, 01:13:08 PM »

อีกอันครับ
แก๊สน้ำตา (tear gas) คืออะไร

            แก๊สน้ำตา เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มสารเคมีที่ใช้ในการควบคุมจราจล ซึ่งมีสารที่เกี่ยวข้องมากกว่า 12 ชนิด แต่ที่สำคัญมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่

            1. Chloroacetophenone หรือ CN gas (CAS No. 532-27-4; UN Class 6.1; UN Number 1697; UN Guide 153; เป็นยุทธภัณฑ์ชนิด 1 ภายใต้การควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530) ได้รับการคิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่นำมาใช้ในช่วงสงครามเวียดนามโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา ในช่วง ค.ศ. 1960-1979 มีการนำมาใช้ในการปราบจราจลและในกิจการของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านความมั่นคงและความปลอดภัย โดยการใช้งานจะอยู่ในรูปละอองลอยที่บรรจุในภาชนะอัดความดัน ต่อมานำมาใช้เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวแต่ก็ลดน้อยลงมากแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากระยะเวลาออกฤทธิ์ค่อนข้างนานและใช้ไม่ค่อยได้ผลกับคนติดยาและติดเหล้า

            2. Chlorobenzylidenemalonitrile : CS gas (CAS No. 2698-41-1; เป็นยุทธภัณฑ์ชนิด 1 ภายใต้การควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530) เป็นผงผลึกสีขาว เมื่อไหม้ไฟจะก๊าซไม่มีสี ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1928 แต่ยังไม่มีการใช้จนกระทั่งสงครามเวียดนามจึงมีการใช้เป็นอาวุธสงครามอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

            3. Dibenzoxazepine : CR gas (CAS No. 257-07-8; เป็นยุทธภัณฑ์ชนิด 1 ภายใต้การควบคุมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530) กระทรวงกลาโหมของอังกฤษพัฒนาขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1960 มีลักษณะเป็นผลึกสีเหลืองซีดมีกลิ่นคล้ายพริกไท ในสหรัฐอเมริกาไม่ใช้สารตัวนี้เป็นสารควบคุมจราจล เนื่องจากมีสมบัติก่อมะเร็ง

            สารเคมีเหล่านี้อาจอยู่ในรูปของแข็ง (ผง) หรือของเหลวก็ได้ เมื่อมีการยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมจะได้รับแก๊สน้ำตาได้ทั้งทางการหายใจเข้าไป การสัมผัสดวงตาและผิวหนัง ซึ่งมีผลให้เกิดการไหม้และระคายเคืองทันทีตามบริเวณที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตา อาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสแก๊สน้ำตา ได้แก่

            - น้ำตาไหล มองเห็นไม่ชัด ตาแดง

            - น้ำมูกไหล จมูกบวมแดง

            - ปากไหม้และระคายเคือง กลืนลำบาก น้ำลายไหลย้อย

            - แน่นหน้าอก ไอ รู้สึกอึดอัด หายใจมีเสียงดัง หายใจถี่

            - ผิวหนังไหม้ เป็นผื่น

            - คลื่นไส้ อาเจียน

            โดยปกติแล้ว หลังจากออกมาจากบริเวณที่มีแก๊สน้ำตาและทำความสะอาดร่างกายแล้ว อาการที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ประมาณ 30-60 นาที เท่านั้น ถ้าสัมผัสแก๊สน้ำตาเป็นเวลานานๆ เช่น มากกว่า 1 ชั่วโมง หรือได้รับสัมผัสปริมาณมากๆ ในพื้นที่อับอากาศ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ เช่น ตาบอด ต้อหิน ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตเนื่องจากสารเคมีจะไหม้ลำคอและปอด ปริมาณที่ทำให้เสียชีวิตได้จะมากกว่าปริมาณที่ใช้ในการสลายการชุมนุมหลายร้อยเท่า

ควรทำอย่างไร เมื่อถูกสลายการชุมนุมด้วยการยิงแก๊สน้ำตาใส่

            ถ้าอยู่ในวิถีของแก๊สน้ำตาที่ยิงมา ให้วิ่งไปทิศตรงกันข้ามกับทิศที่ยิงแก๊สน้ำตาจนพ้นระยะกลุ่มแก๊ส ไม่ควรวิ่งไปด้านข้างเพราะมีโอกาสสัมผัสแก๊สน้ำตาได้อยู่ การมองเห็นอาจพล่ามัวและอาจสับสนได้ง่าย ดังนั้นระวังอย่าวิ่งเข้าไปหาตำรวจ  ให้ทำใจให้สงบมองดูรอบๆ ตัว แล้วค่อยเคลื่อนไปยังที่ที่ปลอดภัย ถ้าเป็นไปได้ให้ไปอยู่เหนือลมและปล่อยให้ลมพัดผ่านส่วนของร่างกายที่โดนแก๊สน้ำตา จะช่วยให้แก๊สน้ำตาหลุดไปได้เร็วขึ้นและล้างด้วยสารละลายโซเดียมเมตาไบซัลเฟตหรือน้ำเปล่า อย่าเอามือไปโดนเพราะจะทำให้แก๊สน้ำตาขยายวงและซึมเข้าผิวหนังได้ จากนั้นอาจเข้าร่วมชุมนุมต่อได้ทันที เพราะแก๊สน้ำตาปริมาณน้อยจะส่งผลเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น และถ้ามีโอกาสให้ล้างตัวด้วยน้ำเย็น อย่าใช้น้ำร้อน เพราะน้ำร้อนทำให้รูขุมขนเปิดกว้างขึ้นทำให้แก็สน้ำตาซึมเข้าไปได้ง่ายขึ้น

            หลังเสร็จสิ้นการชุมนุมให้ผึ่งเสื้อผ้าในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อไล่แก๊สน้ำตาที่ติดอยู่ออก ประมาณ 1 วัน หรือซัก 2 ครั้งด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วค่อยซักอีกครั้งด้วยน้ำร้อน

            เนื่องจากแก๊สน้ำตาละลายได้ในไขมัน ดังนั้นไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงและปกป้องผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือวาสลีน

ที่มาของข้อมูล :

http://www.nyc.gov/html/doh/html/bt/bt_fact_tear.shtml
http://en.wikipedia.org/wiki/CN_gas
http://www.crimedoctor.com/self_defense_1.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/CS_gas
http://www.eco-action.org/dod/no7/cs_gas.html
http://en.wikipedia.org/wiki/CR_gas
http://www.dss.go.th/dssweb/st-articles/files/ct_9_2550_TearGas.pdf
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
J_D
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 82
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 952



« ตอบ #18 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2008, 09:32:21 PM »

ว่าแต่ไอแก๊สน้ำตานี่ทำไมเค้าไม่ใช้แบบยิงมาแล้วไหม้ช้าๆแบบที่ตากใบล่ะครับ  หรือกลัวโดนขว้างกลับ   ไอ้แบบที่ใช้นี่ยิงแล้วระเบิดยางรถเด้งเลยประทัดยักษ์ยังเบากว่านั้นเยอะ   ผมว่าถ้ามันไปลงข้างตัวแล้วโดนมันระเบิดใส่สาหัสก็ไม่แปลกหรอก   ประทัดระเบิดใส่มือนิ้วยังขาดเลยลอยกระทงก็มีให้เห็นทุกปี  เป็นไปได้ไหมว่าคราวนี้ ตร. ใช้อาวุธผิดประเภท  น่าจะให้คนกลางทดสอบยิงใส่เจลลาตินดู  จะได้รู้ผลเลยทีนี้ว่าใครโกหก
 
บันทึกการเข้า




ชาติ         = บึง
คนในชาติ = ปลาในบึง

ปลามาแล้วก็ไปแต่บึงอยู่มาก่อนและต้องอยู่ต่อไป  บึงสำคัญกับปลาทุกตัวและสำคัญกว่าปลาทุกตัว  อย่างเอาแต่กินแล้วก็ขี้ใส่บึงอย่างเดียว
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.058 วินาที กับ 22 คำสั่ง