สังคมไทยเป็นสังคมที่มองเหรียญในด้านเดียว เป็นสังคมที่เห็นการกระทำของบุคคลเพียงน้อยนิด แล้วตัดสิน
ว่าคณะบุคคลนั้นๆ เป็นที่น่ารังเกียจของสังคม โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ท่านได้รู้ได้เห็นใน
การกระทำของเขาเป็นการ
กระทำที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบางครั้งต้องหวานอมขมกลืนในการกระทำของตนเองที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้
บังคับบัญชา ปกป้องเกียรติภูมิและชีวิต สิ่งที่ผ่านมาในบางครั้งเป็นที่ตราหน้า เป็นคนบาปของสังคม ถูก
เหยียบย้ำ ดูถูกดูแคลนจากสังคม บุคคลที่อยู่รอบข้างคอยรับผลกรรมที่ตนเองไม่ได้ก่อ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของ
สังคมที่ถูกตราหน้าว่าพ่อ หรือสามี เป็นฆาตกร
เราลองมาคิดดูว่า สังคมที่เราเห็นเหรียญในด้านเดียวกัน ที่เรามองอยู่ทุกวัน มันมีวความสมบูรณ์ของความดี
และความชั่วที่สมเหตุ สมผล เป็นสิ่งที่ดีและใช้ได้ เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่บางครั้งเราหารู้ไม่ว่า เหรียญใน
ด้านนี้ ถ้าไม่มีอีกด้านหนึ่งของเหรียญก็ปราศจากราคาค่างวด พูดง่ายๆ มันก็ไม่ต่างจากเหรียญเก๊ หาประโยชน์
ไม่ได้
ทีนี้เราลองมองเหรียญอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านมืด ที่แสงสาดส่องไม่ถึงและไม่มีใครมองกัน เปรียบเสมือนกลาง
คืนว่าชีวิตในส่วนนี้บุคคลที่ยืนอยู่ในด้านนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม แล้วใครจะให้โอกาสบุคคลเหล่านี้ให้เป็น
คนที่อยู่ในที่แจ้งและที่มืด โดยเป็นที่ยอมรับของสังคม บุคคลที่เคยยืนอยู่แต่ที่สว่าง ยังสำคัญตัวเองว่าความ
สว่างของพระอาทิตย์ช่างสวยงาม ทำให้โลกน่าอยู่ แต่มีความรุมร้อนของแสงที่สาดส่อง บางครั้งก็ต้องหาที่
หลบซ่อน ทนต่อความร้อน (โกหก) จนอยากจะหาที่สงบร่มเย็นปราศจากแสง สังคมในยามราตรีที่มีแต่ความมืด
มีแสงสว่างเพียงน้อยนิด แต่ก็มีความสุข คือปราศจากความรุมร้อนของมนุษย์ที่สวมหน้ากากเข้าหากัน แต่ก็มี
ข้อจำกัด คือการมองไม่ทะลุปรุโปร่งของอุปนิสัย (สันดานหรือธาตุแท้) สังคมแต่ละด้านมีความจำกัด ทั้งดีและ
ชั่วพอๆ กัน ทำไมมนุษย์เราไม่รับเอาทั้งสองอย่างมาพินิจพิเคราะห์ว่าสังคมทุกวันนี้คือ การอยู่ร่วมกัน แยกดี
แยกชั่ว เราเหมาเอาคณะบุคคลที่กระทำโดยสันดานชั่วที่แท้จริงเป็นความเลวที่แท้จริงนั้นเป็นอยุติธรรม
ทำไมสมเด็จย่าท่านถึงให้เกียรติตำรวจ หรือตำรวจตะเวนชายแดน โดยการสวมใส่ชุดเครื่องแบบโดยปราศ
จากอคติ? แล้วทำไมท่านถึงเสด็จไปเยี่ยมตำรวจตะเวนชายแดน หรือตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน?
ท่านเคยตรัสว่า "ชีวิตตำรวจเป็นชีวิตที่น่าสงสาร ถ้าฉันไม่ดูแลเขาในส่วนนี้ แล้วใครจะเป็นกำลังใจให้ในสิ่งที่
เขาขาดหายไป" ชุดที่ท่านสวมใส่ เท่าที่ผมจำได้มีอยู่สองชุดคือ ชุดเครื่องแบบตำรวจตะเวนชายแดน และอีก
ชุดหนึ่งคือ ชุด พอสว ท่านเปรียบเสมือนเป็นผู้ให้กำเนิดคณะแพทย์คณะนี้ และเป็นแม่พระของตำรวจตะเวน
ชายแดน ท่านเป็นแสงทองที่สาดส่องมองเห็นและให้กำลังใจบุคคลเหล่านี้อยู่เสมอ ท่านเป็นบุคคลที่ประเสริฐ
ที่มองเห็นเหรียญทั้งสองด้านในคราเดียวกัน โดยไม่มีใครต้องทูลถวายรายงานแก่พระองค์ เป็นพระปรีชาที่พระ
องค์มองเห็นบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่น่าสงสาร เมื่อสิ้นพระองค์ท่านแล้ว ใครจะมีสายพระเนตรที่กว้างไกล
มองเห็นความทุกข์ระทมของบุคคลเหล่านี้ได้? คงไม่มี
ด้วยเกล้ากระหม่อมขอเดชะฯ ขอให้พระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย
เห็นผลตอนเช้า เจตนากระทำซ้ำตอนค่ำ เพื่อให้ถูกต้องตรงตามรายละเอียดที่นายสั่งใช่ไหม?