จากความสงสัยที่ผมมีซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้
สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ คือ .... "สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้" ครับ ... ผมอ่านหนังสือ "ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง ตั้งแต่จักรวาลถึงเซลล์" ทำให้คิดได้ว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน บางอย่างใช้จินตนาการประกอบ แล้วก็เื่ชื่อกันมาอย่างนั้น (เช่นคุณย่าลูซี่ มนุษย์คนแรกของโลก)
คงเหลือเพียงแค่วิธีที่ผมต้องฝึกสมาธิจนถึงขั้นที่จะติดต่อและรับรู้ได้กับสิ่งเหล่านั้น
ซึ่งก็ไม่ทราบว่าผมจะมีบุญ , มีความสามารถถึงขั้นนั้นหรือเปล่า
ถ้าเอาถึงขั้นกายเนื้อไปไหนมาไหนได้ .... เหนื่อยแน่ครับ .... แต่ถ้าเข้าใจมโนมยิทธิ ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ
มนุษย์เราพยายามติดต่อและค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว พยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่น
แต่ผมไม่ทราบว่ามนุษย์เรามีการค้นคิดหาวิธีติดต่อกับจิตวิญญาณที่ละออกจากสังขารไปแล้วหรือไม่
อันที่จริงผมคิดว่าถ้ามนุษย์ทุกคนมีโอกาสตายแล้วฟื้นคนละหนึ่งครั้ง
มีโอกาสไปเห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยตัวเอง
ผมคิดว่าเกือบทุกคนต้องเลิกทำกรรมชั่วอย่างเด็ดขาด
หันมาสร้างแต่กรรมดี หยุดการเบียดเบียน , อาฆาต , จองเวร , มุ่งร้ายผู้อื่น
ไม่ว่ามนุษย์จะยิ่งใหญ่เพียงใด ประเสริฐเพียงใด ชั่วช้า ต่ำทรามเพียงใด
สุดท้ายก็ต้องละทิ้งสังขารร่างกายให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา
แต่ก่อนที่ร่างกายจะผุพังไปตามกาลเวลา หากมนุษย์ทุกคนทำแต่กรรมดี
สิ่งเลวร้ายต่างๆก็คงไม่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ไม่ใช่หรือ
ถ้าเป็นเช่นนั้นโลกมนุษย์ก็คงไม่ต่างจากโลกสวรรค์นัก
การไม่เกิด คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดครับ .... จะโลกมนุษย์ หรือโลกสวรรค์ ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ปฏิบัติ
คนจนก็มีทุกข์แบบคนจน คนรวยก็มีทุกข์แบบคนรวย มนุษย์ก็มีทุกข์แบบมนุษย์ เทวดาก็มีทุกข์แบบเทวดา พรหมก็มีทุกข์แบบพรหม ....
ขึ้นชื่อว่าการเกิดล้วนเป็นทุกข์ครับ ... ชาติภพ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ว่ากันตามหลักของปฏิจสมุทบาท ... อย่ายึดมั่นถือมั่น ... คิดอะไรไม่ออก ก็ท่องว่า "มันเป็นเข่นนั้นแล" ....
เพื่อนมันจะว่าเราปลง ... ก็ตอบมันกลับว่า .... "เออ"