เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 27, 2024, 03:24:20 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขอคุยเรื่อง จิต วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ กฎแห่งกรรม  (อ่าน 11762 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
NaiMai>รักในหลวง
ไม่ว่าจะมีพร้อมทุกสิ่ง แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าความมีสติ
Hero Member
*****

คะแนน 741
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14573


นายใหม่ รักหมู่


เว็บไซต์
« ตอบ #75 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 11:30:17 AM »

คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ขอบคุณครับพี่ ใหม่ๆผมก็ฟุ้งซ้านจริงๆครับ

แต่ตอนนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ พิสูจน์ ( เห็น ) ให้ได้ ( ด้วยการศึกษา , ด้วยการปฏิบัติ )

ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ครับ
ถ้ามีคำว่า "ให้ได้" ก็ไม่ได้หรอกครับ

 Grin อย่าไปคิดมากเลยตาณัฐ "ธรรม" คือธรรมชาติครับ ทำจิตใจและคิดให้เป็นธรรมชาติ หมั่นประกอบกรรมดีไว้ แล้วจะเข้าใจเอง ว่า "ธรรม" เป็นอย่างไร Grin
บันทึกการเข้า

o/uboy
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #76 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 11:32:52 AM »

คิดไปปวดหัวเปล่าครับ คุณณัฐฯ คิดมากๆ ก็จะฟุ้งซ่าน กลายเป็นความหมกมุ่น แล้วพาลจะลุ่มหลงงมงายได้ง่ายๆ

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

ขอบคุณครับพี่ ใหม่ๆผมก็ฟุ้งซ้านจริงๆครับ

แต่ตอนนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ พิสูจน์ ( เห็น ) ให้ได้ ( ด้วยการศึกษา , ด้วยการปฏิบัติ )

ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ครับ
                                                   ผมขอนำข้อความของท่านเจ้าคุณมาใหม่อีกทีนะครับ

*อย่างไรก็ดี ท่านยอมรับว่า กระบวนการให้ผลของกรรมนี้ เป็นเรื่องละเอียดซับซ้องยิ่ง พ้นวิสัยแห่งความคิด ไม่อาจคิดให้แจ่มแจ้ง บาลีจัดเป็นอจินไตย คือ สิ่งที่ไม่พึงคิดอย่างนึง ท่านว่าถ้าขืนครุ่นคิดก็มีส่วนที่จะอัดอั้นเป็นบ้า ที่ท่านว่าอย่างนี้ มิใช่หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราคิด เพียงแต่ทรงแสดงความจริงไปตามธรรมดาว่า เรื่องนี้คิดเอาไม่ได้หรือไม่อาจเข้าใจได้สำเร็จด้วยการคิดหาเหตุผล แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ด้วยการรู้*


 ถ้าเราเชื่อมั่นในคำสองของพระพุทธเจ้า และยึดมั่นที่จะเดินตาม(เพื่อให้หลุดพ้น) ขอบอกเลยว่าสิ่งที่ท่านสนใจอยู่มันแทบจะไม่มีความสำคัญเลย การพูถึงกรรมดี-กรรมชั่วนั้นก็เพื่อให้คนเลิก-ลดการทำปาป เท่านั้นเอง ก็เปรียบได้ด้วยการให้เรามี ศีล พูดง่ายๆศีลก็คือเกราะป้องกันความชั่ว เมื่อตัวเราสะอาดและมีความพร้อม ต่อมาอีกชั้นนึงเราก็ต้องมีสามธิ สามธิ เมื่อเราเกิดสามธิ เรื่องนี้ก็ยังมีสามธิอีกหลายชั้น แตกแยกย่อย(ควรไปหาอ่านเองในพุทธธรรม) เมื่อเกิดสามธิปัญญาถึงตามมา พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คล้ายๆกับท่านฝึกวิชาในหนังจีน เช่นวิชามี9ขั้น ท่านได้ขั้นแรกท่านทำไอ้นี้ได้ ได้ขั้นสองท่านก็ทำได้เพิ่มมาอีกอย่าง สิ่งที่ท่านอยากพิสูจน์ กว่าท่านจะพิสูจน์ได้ ท่านก็ต้องมีศีลครบสมบูรณ์ก่อน หลังจากได้ศีลแล้ว ท่านต้องไปทำให้เกิดสามธิแก่กล้าอีก พอมีสมาธิปัญญาก็เริ่มเกิด พอเกิดปัญญาแก่กล้าขึ้น สิ่งที่ท่านอยากรู้ท่านก็อาจจะไม่อยากรู้แล้วก็ได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ท่านเกิดปัญญาในขั้นต่อๆไป งงมั้ย ผมพิมพ์เองยังงงเอง Grin ยิ้มีเลศนัยก็ท่านบอกอยู่แล้วว่ามันเป็น อจินไตย คือสิ่งไม่พึงคิดแล้วท่านจะไปคิดมันทำไม
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 29, 2008, 11:48:50 AM โดย นาย C » บันทึกการเข้า
jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #77 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 12:29:44 PM »

ถ้ามีคำว่า "ให้ได้" ก็ไม่ได้หรอกครับ
ไหว้ ไหว้

 ยิ้มีเลศนัย
บันทึกการเข้า

jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #78 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 12:36:18 PM »

ถ้าเราเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า และยึดมั่นที่จะเดินตาม(เพื่อให้หลุดพ้น) ขอบอกเลยว่าสิ่งที่ท่านสนใจอยู่มันแทบจะไม่มีความสำคัญเลย การพูดถึงกรรมดี-กรรมชั่วนั้นก็เพื่อให้คนเลิก-ลดการทำปาป เท่านั้นเอง ก็เปรียบได้ด้วยการให้เรามี ศีล พูดง่ายๆศีลก็คือเกราะป้องกันความชั่ว เมื่อตัวเราสะอาดและมีความพร้อม ต่อมาอีกชั้นนึงเราก็ต้องมีสามธิ สามธิ เมื่อเราเกิดสามธิ เรื่องนี้ก็ยังมีสามธิอีกหลายชั้น แตกแยกย่อย(ควรไปหาอ่านเองในพุทธธรรม) เมื่อเกิดสมาธิปัญญาถึงตามมา  

คุณณัฐ ... ผมลืม กฏข้อที่ 0 ไปเลย .... ศีลครับ ... ศีล ๕ เอาให้ครบก่อนครับ ... ทำให้ได้มั่นคง ไม่โลเล ไม่มีไขว้นิ้วยกเว้นเป็นบางเวลา ...

มีอะไรบ้างแล้ว
๐. ศีล
๑. ลมหายใจ

แค่นี้ก่อน  Grin
บันทึกการเข้า

Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #79 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 12:45:34 PM »


ผมฝึกอยู่ครับคุณjakrit

แต่เป็นแบบที่พี่ GlockGlack พูดไว้เป๊ะเลยครับ
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #80 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2008, 02:07:04 PM »

การนั่งสมาธิ ไม่ทำให้เห็นอะไรนะครับ .... อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ....

ความตั้งใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ความ "อยาก" ฆ่าคนมามากแล้ว .... ประเภทไม่สำเร็จวันนี้ จะไม่ลุกไปไหนนั่นล่ะครับ ผมเห็นนั่งตายอยู่ตรงนั้นก็มี ...

ผมไม่ใช่ผู้มีความรู้พิเศษ จึงไม่อาจช่วยตอบคำถามของคุณณัฐได้ ... แต่ผมก็เคย "ต้องให้ได้" เหมือนกัน ก็เริ่มแบบนี้ก่อน .... เมื่อถึงเวลาเรียน ก็ช่วยให้เป็นผลได้ง่าย .... ผ่านวันนั้นมาแล้ว เหลือเอามาใช้ในชีวิตไม่กี่อย่างครับ ....

บันทึกการเข้า

Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #81 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2008, 10:21:05 AM »

หามาให้อ่านวันละเรื่องสองเรื่องนะครับ


เรื่องที่ ๑

ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
     

     ....ความจริง  “ตายแล้วไม่สูญ”  และ “ตายแล้วไปไหน”  นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย 

เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า  เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

      ๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

      ๒) เกิดเป็นมนุษย์

      ๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

      ๔) เกิดเป็นพรหม

      ๕) ไปพระนิพพาน

      ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ

ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง

ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้


แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ

      แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว

คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ

      ๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี

หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑

      ๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง

หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒

      ๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี

ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓

      ๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔

      ๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

      กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์

      แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่

      ๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

      ๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน

ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

      ๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น

      ๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

      ๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม

ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ

      ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์

      แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก

แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ

      ๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน

      ๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

      เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก

      แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน

พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา

แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี

ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย

อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย

แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน

      แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ”

กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

      ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพราก

จากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อ

ความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

      ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้อง

ทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ

ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

      ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

      ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์

ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

      ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร

จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

      ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

      ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

      ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

      ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดา

ที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ

เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา

เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

      ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ

พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดา

มันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว

เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

      เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น

จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม

ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด

สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคน

ไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง



      เรื่องของ “การตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จาก

หนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ

หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง

หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว

จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก
 
ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม

ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะ

เป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า
 
“ตายแล้วไม่สูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก

ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เ

พื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ..”

บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #82 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2008, 04:45:18 PM »

เข้ามาตามอ่านครับ Grin

อ้างถึง
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
อ่านแล้วขัดใจ ... เพราะอาจารย์ผมสอนว่า "ขึ้นชื่อว่าการเกิดล้วนเป็นทุกข์" ...

แต่คนเขียนบทความไม่ได้บอกว่าเกิด .... ต้องสังเกต
อ้างถึง
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน

      แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ”

กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

 ยิ้มีเลศนัย

อ้างถึง
การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง

 ไหว้ ไหว้ ไหว้

บันทึกการเข้า

Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #83 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2008, 05:16:57 PM »


 ยากจังน้อ ลุงjakrit น้อ........ ( หมายถึงตัวผมนะ )
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
o/uboy
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #84 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2008, 09:05:46 PM »

 การอ่านหนังสือธรรมมะ บางทีก็ต้องเลือกผู้เขียนด้วยนะครับ ผมเจอบ่อยครับที่แจกกันตามงานศพหรืองานต่างๆ แบบว่าพอเปิดอ่านได้ไม่กี่หน้าผมต้องปิดและไม่อ่านต่อ ก็มีที่ไหน มีบอกเช่นว่าตายแล้วกี่วันไปไหน จะนั้นอีกกี่วันต้องไปทำอะไร อีกกี่วันต้องไปรับประเมินโทษ(อะไรประมาณนี้) หนังสือสมัยนี้มีเยอะมากที่ดูเหมือนหนังสือธรรมมะ แต่เปิดอ่านแล้วมันไม่ใช่ กลายเป็นอ่านแล้วได้ความงมงายมาแทน
 ท่านถึงได้บอกไว้ว่าคนเราสมัยนี้มีความศรัทธากันอยู่มาก แต่ขาดผู้รู้จริงมาสอน และส่วนมาเดินกันผิดทาง.
บันทึกการเข้า
เอ.เค.
Full Member
***

คะแนน 15
ออฟไลน์

กระทู้: 122


« ตอบ #85 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2008, 10:52:48 PM »

นิพพานไม่ใช่การเกิดนะครับ แต่เป็นการดับไม่มีเหลือ เปรียบได้กับแสงไฟที่ปลายเทียน เมื่อดับไปแล้ว ใครบอกได้บ้างว่าดับไปอยู่ที่ไหน?
นิพพานไม่ใช่เมืองหรือดินแดนใดๆที่ต้องไปให้ถึง นิพพานจะว่าเป็นภาวะก็ใช่ ไม่ใช่ภาวะก็ใช่ เพราะละเอียดกว่าจะบัญญัติให้เป็นภาวะใดภาวะหนึ่งได้ (แน่นอน การดับไม่มีเหลือย่อมไม่สามารถนิยามอะไรมาเปรียบได้)
เคยมีหลวงตาท่านหนึ่ง(ผมไม่ทราบว่ากล่าวไว้ถูกหรือผิด)ท่านว่านิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน
บันทึกการเข้า
o/uboy
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #86 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2008, 10:36:06 AM »

นิพพานไม่ใช่การเกิดนะครับ แต่เป็นการดับไม่มีเหลือ เปรียบได้กับแสงไฟที่ปลายเทียน เมื่อดับไปแล้ว ใครบอกได้บ้างว่าดับไปอยู่ที่ไหน?
นิพพานไม่ใช่เมืองหรือดินแดนใดๆที่ต้องไปให้ถึง นิพพานจะว่าเป็นภาวะก็ใช่ ไม่ใช่ภาวะก็ใช่ เพราะละเอียดกว่าจะบัญญัติให้เป็นภาวะใดภาวะหนึ่งได้ (แน่นอน การดับไม่มีเหลือย่อมไม่สามารถนิยามอะไรมาเปรียบได้)
เคยมีหลวงตาท่านหนึ่ง(ผมไม่ทราบว่ากล่าวไว้ถูกหรือผิด)ท่านว่านิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน
ก่อนอื่นต้องเรียนก่อนว่าเรื่องที่ท่านอยากรู้และสงสัยนั้นมีคำตอบแน่นอนอยู่ในหนังสือพุทธธรรม ผมเองไม่อยากอธิบายตามคำเข้าใจของผมเพราะเกรงว่าผมอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เรื่องนี้ซับซ้อนละเอียดอ่อนมาก ฉนั้นท่านควรไปหาพุทธธรรมอ่านเอาเองจะดีกว่า ผมขอยกข้อความบางตอนของท่านเจ้าคุณอาจารย์มาให้อ่านเล็กน้อย

-ภาวะแห่งนิพาน(หน้า229)
 เมื่อสังสารวัฏฏ์ หายไป ก็กลายเป็นวิวัฏฏ์ขึ้นเองทันที เป็นของเสร็จพร้อมอยู่ในตัว ไม่ต้องเดินทางออกจากสังสารวัฏฏ์ที่แห่งหนึ่ง ไปสู่วิวัฏฏ์อีกแห่งหนึ่ง เว้นแต่จะเป็นการพูดในเชิงภาพพจน์หรืออุปมา เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปทานดับไป นิพานก็ปรากฎแทนที่พร้อมกัน จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปทานนั่นแหละคือนิพาน

-นิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล เรียกให้มาดูได้ ควรน้อมเอาเข้ามาไว้ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ในหนังสือพุทธธรมมีพูดถึง
-นิพพาน
-ประเภทและระดับแห่งนิพพานและผู้บรรลุนิพพาน
-สมถะ วิปัสสนา เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
-บทสรุป ข้อควรทราบเกี่ยวกันนิพพาน
ลองหาอ่านดูนะครับ

ส่วนเรื่องนิพพานไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา ก็หาอ่านได้ในเล่มเดียวกันที่หน้า381 หัวข้อ ..ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับนิพพาน อ่านบทนี้แล้วท่านจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนมากครับ. 
บันทึกการเข้า
jakrit97 - รักในหลวง -
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 164
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5466


Dead boy can't shoot!


« ตอบ #87 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2008, 10:50:10 AM »

ผมก็เคยได้ยินครับ "นิพพานคือนิพพาน" .... ส่วนเรื่อง "ดับ" มันดูขัดกับกฏการอนุรักษ์พลังงาน (กฏทางฟิสิกส์)  ยิ้มีเลศนัย ยิ้มีเลศนัย

ยากจังน้อ ลุงjakrit น้อ........ ( หมายถึงตัวผมนะ )

คุณณัฐเพิ่มอายุให้ผมเสียแล้ว ...  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน

อ้างถึง
คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ
อ่านแล้วหนักนัก ... เปรียบเหมือนอยากเอารถไปดริฟ อ่านตำราเสร็จ รถก็ต้องเปลี่ยน ช่วงล่างก็ต้องทำ ยางก็ต้องสั่ง เวลาวิ่งต้องเท่านี้ หักพวงมาลัยอย่างนี้ ดึงเบรคแค่นี้ ... ยุ่งยากจริง ๆ

บางคนวิ่งลงจากสะพานกลับรถ มันก็หมุนลงมาได้เอง ไม่เห็นต้องทำอะไร  Grin Grin Grin

ช่วงนี้คุณณัฐก็ขับรถวิ่งสบาย ๆ ไปก่อน ไม่ต้องรีบดริฟ .... แต่ถ้าเจอคนดริฟเป็น (ผู้มีความรู้พิเศษ) ก็ถามเขาได้เลยนะ  คิก คิก คิก คิก วิธีนี้แม่ผมทำประจำ  ขำก๊าก ขำก๊าก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2008, 11:10:49 AM โดย jakrit » บันทึกการเข้า

Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #88 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2008, 11:07:03 AM »

ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
Major
ก็แค่.....?
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 255
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1636


ดวงชีวัน นั้นเรายอม พร้อมจะพลี


« ตอบ #89 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2008, 01:36:31 PM »

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ท่าน Nattapol

ด้วยความเคารพครับ
บันทึกการเข้า

ผิดหวังแล้วหวังใหม่ไม่ลดละ            หวังเพื่อจะผิดหวังในครั้งใหม่
แล้วเราก็ผิดหวังสมดังใจ                 เราจึงไม่ผิดหวังสักครั้งเดียว
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.068 วินาที กับ 22 คำสั่ง