เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 12, 2024, 05:21:52 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อาวุธปืนบุคคลัภย์  (อ่าน 4711 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
a lone wolf
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 290
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2064



« ตอบ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2008, 02:27:10 PM »

 Cheesy
ถ้าเป็นดังที่พี่ 51 เล่าให้ฟังโดยละเอียด
หมายความว่า คณะผู้ก่อตั้ง “บริษัทแบงค์สยามกัมมาจลทุน จำกัด” ได้หมายใจให้ชื่อ Book Club สื่อความถึง กิจการธนาคาร การเงิน การบัญชี ตั้งแต่แรกตั้งแล้ว
เป็นความรู้ใหม่ของหมาป่าอีกเช่นกันครับ

เพราะความรู้เดิมที่ได้เคยอ่านมานานมาก
เขาเล่าว่าคณะผู้ก่อตั้งก็ไม่แน่ใจว่า กิจการธนาคารแห่งแรกของสยาม จะล่มหรือจะรอด
เลยตั้งชื่อว่า Book Club พรางไว้ก่อน
หากไปไม่รอดก็จะไม่ขายหน้าฝรั่งมาก
หมาป่าลองไปค้นกูเกิลดูว่ามีใครเคยรับข้อมูลเช่นนี้ไว้ไหม  ปรากฏว่ามีเหมือนกันครับ ดังนี้

http://guru.sanook.com/history/topic/3220/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%A0%E0%B8%A2%E0%B9%8C(Book_Club)_%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81/

แต่ฟังที่พี่ 51 เล่า ก็ชักจะเห็นตามครับ
เพราะว่าตั้งชื่อว่า Book Club แต่ข้างในรับฝากถอนเงิน
คนเดินผ่าน  ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือไทย ก็น่าจะรู้อยู่ดีว่ามันไม่ใช่ร้านหนังสือ

จะอย่างไรก็ตาม
"อาวุธปืนบุคคลัภย์" ในชื่อหัวข้อกระทู้นี้ หมาป่าหมายถึง ชมรมคนชอบอ่านหนังสือครับ (a club organized for the discussion and reviewing of books.) Grin
บันทึกการเข้า

It's not the years in your life but the life in your years, that counts
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2008, 03:22:59 PM »

ผมชอบหนังสือนี้ครับ 



เล่มนี้เนื้อหาทำนองเดียวกับ"เต๋าแห่งฟิสิกส์"หรือเปล่าครับ เห็นยังวางแผงอยู่ตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ไม่เคยหยิบขึ้นมาดู

สมัยวัยรุ่นเคยชอบเต๋าแห่งฟิสิกส์มาก แต่พอได้อ่าน2เล่มของAnthony Hawkingแล้ว กลายเป็นหาหนังสือทำนองนี้อ่านยากไปเลย  อ๋อย
บันทึกการเข้า
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2008, 07:56:07 PM »

ผมชอบหนังสือนี้ครับ 



เล่มนี้เนื้อหาทำนองเดียวกับ"เต๋าแห่งฟิสิกส์"หรือเปล่าครับ เห็นยังวางแผงอยู่ตามร้านหนังสือทั่วไป แต่ไม่เคยหยิบขึ้นมาดู

สมัยวัยรุ่นเคยชอบเต๋าแห่งฟิสิกส์มาก แต่พอได้อ่าน2เล่มของAnthony Hawkingแล้ว กลายเป็นหาหนังสือทำนองนี้อ่านยากไปเลย  อ๋อย

อ่านเข้าใจง่ายครับ  เป็นแนวธรรมะ  ลองซื้อมาอ่านบ้างสิครับ

หนังสือที่ทันตแพทย์สม สุจิรา แต่ง เป็นประโยชน์กับตัวเรามากเลยครับ  เยี่ยม
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
สุกรจากโลกันต์
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 583



« ตอบ #18 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2008, 11:17:18 AM »

ช่วงนี้อ่านหนังสือการ์ตูนชุด สุดยอดวรยุทธ์ธุรกิจ สู่การเป็นนักบริหารมืออาชีพ เป็นการ์ตูนเข้าใจง่ายดีครับ
เป็นหนังสือเกี่ยวกับ การบริหารคน และการเป็นผู้นำ สามารถนำไปใช้บริหารองค์กรได้ จะบริหารประเทศยิ่งดีครับ
ถ้าว่าง ๆ ก็ลองหาการ์ตุนเต๋าและเซ็นมาอ่านดูครับ ทำให้จิตใจปรอดโปร่งขึ้นมาก มีส่วนคล้ายกับพุทธศาสนาของไทยเราด้วย เป็นต้นกำเนิดของวลี "เต๋าไม่แก่งแย่ง พุทธไม่ช่วงชิง"
บันทึกการเข้า

สีใหนก็ช่าง ถึงยังไงก็เป็นคนไทย อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาท
ถือเป็นมงคลแห่งชีวิต
ยังรักสาวขเมร จะเจ็บอีกกี่ทีก็ยอม
a lone wolf
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 290
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2064



« ตอบ #19 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2008, 11:51:59 AM »



LE SCAPHANDRE ET LE PAPILLON : JEAN - DOMINIQUE BAUBY  
เขียน :  ฌ็อง - โดมินิก โบบี้   แปล :  วัลยา วิวัฒน์ศร
สำนักพิมพ์ ผีเสื้อ

 Cheesy
หายไปนาน พร้อมกับการล่มของเวป
ป่วยด้วยครับ ระหว่างนอนเป็นไข้เลยมีโอกาสเปิดตู้หนังสือเก่ามาอ่าน
หนังสือเล่มนี้เป็นต้นกำเนิดของหนังเรื่องหนึ่งด้วย The Diving Bell and The Butterfly แต่เราอ่านหนังสือกันดีกว่านะครับ
ผู้เขียน ฌอง โดมินิก โบบี้ เป็นอดีตบรรณาธิการของนิตยสาร ELLE ของฝรั่งเศส
วันหนึ่งขณะที่ชีวิตสวยงามของบก.นิตยสารไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก กำลังดำเนินไป
เส้นเลือดในก้านสมองของเขาก็แตกกระทันหัน
สลบไปเป็นเดือน  ตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าร่างกายทั้งร่างเป็นอัมพาต
เหลือเพียงสิ่งเดียวที่เขาขยับได้คือ....เปลือกตาซ้าย
ชื่ออาการของโรคคือ L.I.S. (Locked-in Syndrome)

ผู้เขียนเปรียบสภาพของตัวเองเหมือนคนที่ถูกขังอยู่ในชุดประดาน้ำหนาหนัก
หากความคิดคำนึงถึงชีวิต และเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาและกำลังดำเนินไป เปรียบเหมือนปีกของผีเสื้อที่ล่องลอยไร้ขีดจำกัด
ช่องทางเดียวที่เขาติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้คือ เปลือกตาซ้าย ข้างที่ยังเหลือให้ขยับได้นั้น
เขาใช้เปลือกตาซ้ายเขียนหนังสือ...หนังสือเล่มแรกของโลกที่เขียนด้วยดวงตา

วิธีการเขียนคือ จะมีผู้ช่วยคนหนึ่ง คอยอ่านตัวอักษรในภาษาฝรั่งเศสทีละตัว
ตัวอักษรไม่ได้เรียงแบบ อา เบ เซ เด หากเรียงตามสถิติการใช้มากที่สุดไปน้อยสุด
ESARINTULOMDPCFBVHGJQZYXKW
เมื่ออ่านถึงตัวที่ โบบี้ต้องการ  เขาจะเปิดเปลือกตาซ้ายขึ้น ผู้ช่วยก็จะจดตัวอักษรนั้นในกระดาษ
แล้วการทำงานก็เริ่มต้นใหม่....แถวของอักษรถูกอ่าน....ตัวอักษรอีกตัวถูกจด....เมื่อเปลือกตาซ้ายเปิด
จากตัวอักษร...ประสมเป็นคำ...เป็นประโยค...เป็นบท...เป็นหนังสือทั้งเล่ม

ในค่ำคืนก่อนที่ผู้ช่วยเขียนหนังสือจะมาหา
โบบี้ต้องนอนนึกคำ  นึกเรื่องราว  นึกถึงคุณศัพท์  คำกริยา คำวิเศษณ์...เตรียมไว้ก่อน
ท่องจำแต่ละย่อหน้า ไว้ในหัว
เพื่อจะได้เริ่มงานเขียนในช่วงกลางวัน

แต่ละบทในหนังสือไม่ยาวมากนัก
แต่เปี่ยมด้วยชีวิต...หากเราคิดถึงวิธีที่มันถูกเขียนและสภาพของผู้เขียน

ผมยกตัวอย่างบางท่อนมาให้ดูแล้วกันนะครับ

"...แต่ขณะนี้ผมจะเป็นสุขที่สุดถ้าสามารถกลืนน้ำลายส่วนเกินซึ่งบุกรุกปากของผมอยู่ตลอดเวลาได้บ้าง
ฟ้ายังไม่ทันสาง ผมก็ยังฝึกขยับลิ้นของผมอยู่ตลอดเวลา  ขยับไปที่เพดานปากด้านในเพื่อกระตุ้นการกลืน"

"...เจ็ดนาฬิกาครึ่ง พยาบาลเวรเข้ามาขัดจังหวะกระแสความคิดของผม  และดังหนึ่งประกอบพิธีกรรม
เธอรูดม่านตรวจสอบท่อช่วยหายใจกับสายน้ำเกลือ  แล้วเปิดทีวีเพื่อให้ดูข่าว  ตอนนี้มีการ์ตูนเล่าเรื่องคางคก
ซึ่งวิ่งเร็วที่สุดในภาคตะวันตก  ผมน่าจะตั้งความปราถนาให้ตัวเองกลายเป็นคางคกนะ"

"...และทุกวันจะเป็นเวลาเที่ยงพอดี พนักงานรถเข็นคนเดิมจะอวยพร "ขอให้เจริญอาหาร" แก่ผมอย่างร่าเริง
เหมาะเจาะคล้ายแทนคำอำลา  จนกว่าจะพบกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น  แน่ละไม่ต่างไปจากการอวยพร
"สุขสันต์วันคริสต์มาส" ในวันที่ 15 สิงหาคม  หรือกล่าว "ราตรีสวัสดิ์"กลางวันแสกๆ

ตลอดแปดเดือนที่ผ่านมา  สิ่งที่ผมกลืนเข้าไปทั้งสิ้นทั้งปวงมีเพียงน้ำผสมน้ำมะนาวสอง-สามหยด
และโยเกิร์ตครึ่งช้อน  ซึ่งได้ส่งเสียงดังขณะหลงไปตามทางเดินหายใจของผมเท่านั้น!...
แต่อย่าได้วิตกเลย  ผมมิได้หิวโหยเจียนตายแต่อย่างใด  อาศัยท่อต่อถึงกระเพาะ  สารเหลวสีออกน้ำตาล
สอง-สามขวด  ประกันว่าผมได้ปริมาณแคลอรี่ประจำวันเพียงพอ  ส่วนความสุขในการรับประทาน  ผมก็พึ่งความทรงจำที่แจ่มชัด
ในรสชาติต่างๆและกลิ่นนานา 
ผมมีแอ่งเก็บประสาทสัมผัสอันไม่มีวันแห้งเหือด  ทั้งมีศิลปะในการปะติดปะต่อเรื่องอื่นๆ
ผมฝึกฝนศิลปะ"เคี่ยว"ความทรงจำด้วยไฟอ่อนๆ  จะนั่งโต๊ะเวลาใดก็ได้โดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง
ถ้าจะไปร้านอาหารก็ไม่ต้องสำรองทีนั่ง
หากผมเป็นพ่อครัวอาหารจะอร่อยทุกจาน  เนื้อบูร์กินญงขึ้นมันย่อง
เนื้อเย็นในวุ้นโปร่งแสง  ขนมทาร์ตแอ็พริค็อตเปรี้ยวกำลังเหมาะ
ผมสั่งอาหารได้ตามอารมณ์อยาก  หอยเอ็สการ์โกต์หนึ่งโหล กะหล่ำปลีดองทรงเครื่อง
แล้วก็เหล้าองุ่นเกวูร์สตรามิแนร์หมักปลายฤดูเก็บผลองุ่น  น้ำเหล้าออกสีทองสักขวด
หรือไข่ลวกธรรมดาๆสักฟอง  พร้อมขนมปังกรอบอบเนยเค็ม  อร่อยเป็นบ้า!
ไข่แดงอุ่นๆสัมผัสเพดานปากของผม  แล้วค่อยลื่นลงไปในลำคอ  และไม่เคยมีปัญหาเรื่องการย่อยเลย!.."

"...อันที่จริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจเล่นเลย  คลื่นความทุกข์เข้าครอบคลุมผม
เตโอฟีล  ลูกชายของผมนั่งเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้า  ใบหน้าของเขาห่างจากใบหน้าผมเพียงห้าสิบเซ็นต์
แล้วผม  พ่อของเขา  ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเอามือลูบผมดกหนาของเขา  สัมผัสต้นคออ่อนนุ่ม
กอดรัดร่างน้อยๆอันอบอุ่นและลื่นเรียบของเขาให้แนบแน่น 
จะให้พูดว่าอย่างไร  มันเหี้ยมโหด  อยุติธรรม  สุดจะทนทาน  หรือน่าสะพรึ่งกลัวกันแน่
ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนด่าวดิ้นสิ้นใจ  น้ำตาท่วมท้น
มีเสียงดังลั่นอันเกิดจากอาการจุกเสียดเปล่งออกมาจากลำคอของผมจนเตโอฟีลตัวสั่น
อย่ากลัวไปเลยเด็กเอ๋ย  พ่อรักเจ้า..."


ฌอง โดมินิก โบบี้ อยู่ในชุดประดาน้ำหนาหนักนั้น 15 เดือน แล้วเขาก็ละจากชุดนั้นไป
เขาสิ้นลมในวันที่ 9 มีนาคม 1997 หลังจากหนังสือเล่มนี้วางตลาดได้ 3 วัน

ในคำอุทิศช่วงต้นของหนังสือเขาเขียนให้กับลูกชายและลูกสาว
"แด่ เตโอฟีล  และเซแลสต์
ด้วยความหวังว่าเจ้าทั้งสองจะได้ผีเสื้อมากหลาย"

ท่อนหนึ่งในคำนำสำนักพิมพ์ผีเสื้อเขียนว่า
"---ทีละคำ  เรียงกันไปจนเป็นประโยค  กระทั่งจบเล่ม  ได้รู้เพียงเท่านั้นก็ตัดสินใจได้ทันทีว่า
นี่เป็นหนังสือที่สมควรต้องถ่ายทอดเป็นภาษาไทยและต้องทำให้ดีวิเศษสุด  เพราะงานชิ้นนี้บ่งบอกสิ่งสำคัญ
แก่ผู้มีชีวิตและต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลก..."
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2008, 09:36:41 AM โดย a lone wolf » บันทึกการเข้า

It's not the years in your life but the life in your years, that counts
a lone wolf
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 290
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2064



« ตอบ #20 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2008, 10:35:16 AM »



ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเงาเวลาของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์
เขียนโดย 'รงค์ วงษ์สวรรค์
พิมพ์ครั้งที่สอง สำนักพิมพ์ Openbooks

ตอนเป็นเด็ก  ผมเกลียดตัวหนังสือของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์มาก
ด้วยสำนวนที่เขียน ยอกย้อน  ลีลาชวนมึนหัว
แต่โตมากลับหลงรัก...หลงรักทั้งสำนวน...และหลงรักรูปแบบการใช้ชีวิตของคุณ 'รงค์

คุณ 'รงค์ เป็นศิษย์ก้นกุฏิของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ในสำนักสยามรัฐ
ก่อนที่จะออกมาเป็นพญาอินทรีย์แห่งสวนอักษร...ในเวลาต่อมา
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกหลังจากอาจารย์หม่อมเสียชีวิตได้ไม่นาน  ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน

ตัวหนังสือของคึกฤทธิ์มีเสน่ห์  อ่านง่าย  ทั้งกินใจ  ทั้งขำ  ทั้งอลังการ
ผมเทียบให้เท่ากับวงเครื่องสายแบบคลาสสิค
ตัวหนังสือของคุณรงค์ก็มีเสน่ห์อีกแบบ
ประมาณว่าเป็นเพลงแจ๊ซแบบยุคไมล์ส เดวิส  ฟังแล้วสูบพันลำไปด้วย...คูลลล์

แค่คำขึ้นต้นหนังสือที่นักเขียนคนหนึ่งเขียนถึงครูของเขา...เพื่อบูชาพระคุณ ก็กินใจครับ

"ผมไม่มีดอกเข็ม ดอกมะเขือ และข้าวตอกในนาทีนี้

แต่ผมมีความรัก ความกตัญญู และปัญญา

และความปีติกับการบูชาครู"


ข้อดีเด่นของหนังสือนอกจากเกร็ดชีวิตของอาจารย์หม่อม  ที่อยู่ในเงาเวลาของคุณ 'รงค์ ก็เห็นจะเป็นภาพถ่ายฝีมือของคุณ 'รงค์ เอง
มีเสน่ห์ไม่แพ้ตัวหนังสือ  หาดูไม่ได้ง่ายๆ

ลองอ่านบางเกร็ดบางตอนนะครับ

"งานของนักเขียนไม่จบและไม่มีนาทีสุดท้าย...
     งานบังคับให้ค้นหาความตื่นเต้นและลืมตาตื่นตลอดเวลา

     แต่คงไม่ยุ่งยากอย่างไร ?

     นิสัยนี้ผมถูกสร้างโดยพ่อในการเดินทางตรวจงานกับเรือแจว (ก่อนสงคราม) เรือยนตร์เครื่องเผาหัว (ในสงคราม)
     เรือติดท้ายจอห์นสัน ซี ฮอร์ส 50 แรงม้า (หลังสงคราม)  บนถนนอ่อนเหลวของน้ำและบนความไกลจากสุพรรณถึงอยุธยา
     บางเวลาผมรู้สึกเบื่อหน่าย  แต่ถ้าผมโงกหลับโดนเขกหัวทันที

     พ่อสอนว่า : ไม่มองก็ไม่เห็นอะไรสองฝั่ง...

     ในอายุเริ่มต้น 20 กับการทำงานในอาคาร 6 ถนนราชดำเนิน  ขออนุญาตบันทึกไว้ว่า
     ผมเคยได้ยินคุณชายคึกฤทธิ์  ปราโมช  บ่นเชิงสัพยอกศิษย์รักบางคนว่า : พาเที่ยวรถไฟในอังกฤษมันก็นั่งหลับ

     ใครหลายหลายคนพากันหัวเราะคล้อยตามเจตนาให้ขบขับของท่าน
 
     แต่ผมครุ่นคิด

     ผมสังเกตต่อมาหลังจากได้รับความกรุณาให้ร่วมเดินทางไปพักผ่อนบนดอยขุนตาน  คุณชายไม่เคยหลับถ้าไม่ถึงเวลาอันสมควรบนขบวนรถไฟ
     แต่มองผ่านบานหน้าต่างและหันมาพูดคุยแบบสาระ-บันเทิงอย่างเพลิดเพลิน

     พูดถึงต้นไม้  พูดถึงการกิน  พูดถึงการเมือง   พูดถึงระบำในปารีสยุคก่อน 2475  พูดถึงความซุกซนของนักเรียนฝรั่งเศสหลายคนผู้กลับมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง
     และพูดถึงอะไรและอะไรที่มีคุณค่ากับการรับรู้เพื่อไตร่ตรอง

     ในการเดินทางโดยรถยนตร์ฟอร์ดสีดำแบบตรวจราชการออกจากลำปางเวลา 23.00 น. คุณชายไม่หลับเหมือนกันบนความนานและไกลถึงกรุงเทพฯ 
     ผมบอกตัวเองขณะกินเหล้าในขวดแบนเป็นยาแก้ง่วง  ว่านั้นเป็นแบบฉบับของผู้ชายผู้ไม่ยินยอมให้อะไรผ่านสายตาโดยไม่พินิจพิจารณา  ผู้ลืมตาตื่นตลอดเวลา
     ในความหมายว่า keep alert

     คืนนั้นไฟไหม้ป่าบนภูเขาสวยและอันตราย

     ผมในความโง่เขลาคิดถึงการสูญเสียของประเทศทำนองนั้นแบบคนหนุ่มเรียนโลกรักโลก

     ท่านพูดว่า : ธรรมดาฤดูแล้งไฟก็ไหม้ป่า

     ผมมองด้วยสายตาคำถามในแสงสลัวในรถยนตร์นั้น

     ท่านพูดต่อมาว่า : เมล็ดพันธุ์ไม้ที่เปลือกแข็งถ้าไม่โดนไฟปะทุก็ไม่งอกงามได้ในฤดูฝน...

     นั้นเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย  ?  (เวลานี้บนสวนทูนอินผมมองไฟไหม้บนดอยตามเงื่อนไขของเวลาโดยไม่โกรธไฟ)
     ความจริงของความเป็นผู้รอบรู้ด้วยเหตุและผล  ความจริงของผู้เป็นครูและพ่อโดยนิสัยและจิตใจ

     ในชีวิตผมไม่เคยได้รับพรจากท่านผ่านปาก  แต่โอกาสแห่งการเดินทางร่วมกันในเวลาที่ผ่านมา
     การสังเกต-การครุ่นคิด-การรับรู้-นั้นเป็นพรวิเศษกว่าการเรียนรู้ระดับปริญญา

     และเป็นทุนรอนของผมอย่างไม่เคยขาดแคลนในการเป็นนักเขียน  ผมเถลไถลอย่างมีเหตุผลตลอดเวลา

     ขออนุญาตบันทึกต่อมาสองประโยค  คุณชายคึกฤทธิ์  ปราโมช  สอนผมในการทำงาน (เขียน)
     ในด้านสีสันและความเคลื่อนไหว  ท่านพูดว่า

     "ไอ้ปุ๊ ! ทำไมเอ็งจะต้องนั่งรถรางจากบางลำพูไปถึงศาลาแดง  เอ็งแวะลงกินพระรามลงสรงสักจานแถวเฉลิมบุรี-สามแยก
      ผู้อ่านเขาก็คงไม่ว่าอะไร  ?  แต่พอถึงบ้านหม้อแถวนั้นเอ็งอย่างเพิ่งบอกเขาว่าจะแวะลงที่ไหน...


 Grin





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2008, 10:51:46 AM โดย a lone wolf » บันทึกการเข้า

It's not the years in your life but the life in your years, that counts
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #21 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2008, 10:51:32 AM »

ชอบเรื่องลึกลับวิทยาศาสตร์  ตำนาน  ประมาณว่า
       -  สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
       -  เมืองสาบสูญแอตแลนติค
       -  ปิรามิดอียิป
       -  ความลับของเวลา
       -  หมากรุกไทย (อันนี้ไม่เกี่ยวแต่ชอบ)
และ อีกหลายเล่มครับ  Smiley

เล่นหมากรุกไทยเป็นด้วยหรอครับ  ผมก็ชอบเล่นเหมือนกันครับ  แต่หาคนเล่นเป็นไม่ค่อยจะได้เลยครับ  Grin

ผมเล่นหมากรุกไทยไม่เป็นครับแต่ลูกชายผม ป6. เล่นเป็น จากชมรมในโรงเรียน พออยู่บ้านมาขยั้นขยอให้พ่อแม่เล่นเป็นเพื่อน
ผมล่ะอ่อนใจเล่นไม่ได้ เลยหันไปหาแม่สอนแม่ให้เล่นด้วยทเลาะโขมงโฉงเฉง...แว่วๆ ว่า....แม่โกงมั่ง...หนูโกงมั่ง หนวกหู
 ตอนหลังผมหาคนที่เหมาะสมให้ได้....อิ...อิ
ผมดาวน์โหลดหมากรุกคอมพิวเตอร์มาให้เล่นสมใจอยาก.ใครโกงใครไม่ได้...สม....ไม่มาเซ้าซี้ผมอีกเลย
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
a lone wolf
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 290
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2064



« ตอบ #22 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2008, 11:37:26 AM »



เมื่อต้นปีนี้หมาป่ามียายอยู่ 3 คน
วันจันทร์ที่ผ่านมาหมาป่าเหลือยายแค่คนเดียวคือคนที่เป็นน้องสุดท้องของยายจริง(แม่ของแม่)
สิบโมงเช้าเศษๆ ยายจริงของหมาป่า ชื่อ ประจวบ ไชยโย ตายที่บ้านที่พิดโลก (พิษณุโลก) อายุ 85 ปี
ตอนเดือนมกราคม ยายอีกคน (น้องของยายจริง) คนที่หมาป่ารักมากที่สุด ตายด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อายุ 82 ปี
...ยายเฉลียว คุ้มอารีย์
...หมาป่าคิดถึงยายเฉลียวอยู่เนืองๆ  โกษที่ขอปันกระดูกยายมาบูชาก็อยู่บนชั้นในห้องหนังสือที่บ้านของหมาป่า
แต่ยายไม่เคยมาเข้าฝันเลย...แปลกจังนะยาย
ยายเฉลียว มาอยู่กับแม่และพ่อตั้งแต่หมาป่ายังไม่เกิด มาแบบฝากผีฝากไข้ทั้งชีวิตไว้กับหลานสาวและครอบครัว
คงด้วยคำพูดของแม่หมาป่าว่า..”น้าเหลียวมาอยู่ด้วยกันนะน้า”
บ้านหมาป่ามีกัน 5 คน พ่อ แม่ หมาป่า น้องสาว และยาย
ยายเลี้ยงดู ป้อนข้าวป้อนน้ำ ซักผ้ารีดชุดนักเรียนให้หมาป่า
ยายทำกับข้าว ทำขนม...รสมือยายหมาป่าไม่เคยลืม
หมาป่านอนเตียงเดียวกับยายถึง ป. 4 ถึงได้แยกห้องออกมา
ยามที่เป็นไข้ตัวร้อน ก็มียายคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว บางทีก็กวาดยาให้หมาป่า
ยามปิดเทอมใหญ่สมัยประถม มัธยมต้น ยายเหลียวจะพาหมาป่ากลับไปเยี่ยมยายจริงที่พิดโลก
และเยี่ยมหมู่สังคญาติแถวอุตรดิษถ์ และเชียงราย
หมาป่าได้นอนแพ ก็ที่บ้านลูกชายและลูกสะใภ้ของยายที่แควน้อย พิดโลก
หมาป่าคิดถึงยายเหลียวนะ

หนังสือ เมนูบ้านท้ายวัง และ เงาของเวลา
เขียนโดย ‘รงค์ วงษ์สวรรค์
เล่มที่หมาป่ามีอยู่เป็นของสำนักพิมพ์ สารคดี พิมพ์ในปี 2542

คุณ ‘รงค์ เขียนชีวประวัติของตนเอง เน้นช่วงเวลาที่อยู่กับยายที่โพธาราม จังหวัดราชบุรี
สืบเนื่องมาจนเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม และมีบางช่วงที่กล่าวถึงยามที่เป็นนักเขียนแล้ว
เขียนถึงด้านที่ดีและไม่ดีของตัวเอง ยาย และวงศ์ญาติ ในแบบ Skeleton in the cupboard
...โครงกระดูกในตู้
เหมือนที่ มรว. คึกฤทธิ์ เคยเขียนชีวประวัติของตระกูลปราโมช ในหนังสือ “โครงกระดูกในตู้”
ตอนแซยิด 60 ปี
หากแต่ชีวประวัติของตระกูลปราโมช เป็นของคนในราชสกุล
หนังสือสองเล่มของคุณ ‘รงค์ เลยถูกขนานนามโดยสำนักพิมพ์ว่า “โครงกระดูกในตู้ ฉบับสามัญชน”
หนังสือของนักเขียนลือนามทั้งสองท่านอ่านสนุกและมีเกร็ดความรู้ของช่วงเวลาในอดีตมากมาย
วันหลังหมาป่าจะมาแนะนำ “โครงกระดูกในตู้” ของคึกฤทธิ์นะครับ

หนังสือ เมนูบ้านท้ายวัง และ เงาของเวลา บอกเล่าถึงโลกของเด็กชายคนหนึ่ง
ซึ่งพ่อและแม่นำมาฝากยายเลี้ยง
เป็นชีวิตของเด็กผู้ชายครอบครัวสามัญชนในอำเภอแถบภาคกลางของไทย เมื่อ 60-70 ปีมาแล้ว
อาหารการกิน  วิถีชีวิต  การละเล่น  ภาษาพูด  การบันเทิง ฯลฯ
ภาษาเขียนชวนให้ละเลียด  (พร้อมเบียร์ก็เลิศ)
เปี่ยมด้วยรายละเอียดที่ผมยังไม่เคยเห็นนักเขียนไทยคนไหนเขียนได้ระดับนี้มาก่อน
คงเป็นด้วยสำนวนที่มีลีลาเฉพาะตัว และวิธีการมองชีวิตของคุณ ‘รงค์ เองด้วย
อ่านแล้วคนที่อายุ 30 40 50 60 คงคิดถึงปู่ย่าตายายของตนเอง
มันแฝงด้วยความรัก  และความศรัทธาต่อชีวิต และย้อนหวนวันเวลาที่ผ่านเลยไปแล้วของสังคมไทยแบบ Nostalgia

ลองอ่านบางช่วงบางตอนนะครับ

“มาอยู่กับแม่แก่ขืนพยศก็โดนก้านมะยมไม่ไว้หน้ากัน”
ยายพูดเหมือนเคยเลี้ยงหลานมาก่อนแล้วหลายคน
แต่ความจริงผมเป็นหลานคนแรกที่ยายรับไว้ในครอบครอง และอย่างเป็นเจ้าของ

แม่พูดว่า

“ขอฝากแม่ไว้ให้กำราบเอา...”

คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ  แม่พูดกับยายว่าจะค้างเพียงสองคืนแม้ว่าอยากอยู่หลายคืน
แม่อ้างว่าเป็นห่วงพ่อ  ความเป็นห่วงนอกจากความรักคงไม่แปลเป็นอื่นนอนจากความกลัวว่า
พ่อจะโดนเพื่อนชวนไปข้องแวะกับผู้หญิงอื่นประเภทแมงอีร่าน
และนับรวมถึงอีปิ้ดที่ตลาดสำเพ็งราคาปลดเปลื้องกำหนัดคราวละ 50 สตางค์
(2 สลึง มักพูดติดปากว่า น่อจี๊)
แม่คงไม่แตกต่างกับผู้หญิงคนอื่นผู้ถือสิทธิ์แห่งความเป็นเมียโดยความรักและความหึง
ผมนอนกระสับกระส่ายแล้วสะอื้น

น้ำตาไหลพราก  แล้วรู้สึกถึงมืออ่อนนุ่มถูกแก้มพลางลูบไล้บนใบหน้า
ผมพลิกตัวนอนตะแคงหลบ
มือนั้นไม่ใช่มือของแม่ที่เคยโอบกอดและจูบแนบแน่น
แต่แผ่วเบากว่า  เป็นมือของยาย

บทบาทชีวิตของผมเปลี่ยนฉากบนเวที 
และอย่างไม่อาจขัดขืน  นับจากคำพูดปลอบโยนของยายแว่วมา

คำปลอบโยนนั้นราวเพลงขับกล่อมขับขานจากหลังม่าน

“ผิดที่ผิดทางนอนไม่หลับหรือหนู  มา - - ลุกขึ้นมากินน้ำฝนลอยดอกมะลิหอมชื่นใจ
แล้วไปเบาที่ร่องบนนอกชานหน้าครัว
แม่แก่จะสอนให้หนูสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน  แล้วหนูก็หลับสบาย...”

   เบา = เยี่ยว

....................................

ในอายุน้อยนั้น  ผมไม่มีคำถามว่ายายอ้างว้างไหม?

ยายเป็นคนแก่  และยายแก่อย่างไรคงรักษาความแก่ไว้อย่างนั้น
แทบไม่เปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของผมนับแต่นาทีแรกพบถึงนาทีนี้
แต่ยายแข็งแรงและกระฉับกระเฉงตลอดเวลา
นั้นเป็นความทรงจำแนบแน่นอันงดงาม

ยายไม่ใช่แบบฉบับของผู้หญิงไทยแห่งวันเวลาที่ผ่านมา

แน่นอน – และยายไม่ใช่ตัวแทนแห่งยุค

ยายเป็นความมีชีวิตเท่านั้น

ชีวิตที่บางคนอ้างว่าเคลื่อนไหวไปตามผลบุญและวิบากกรรม

แต่ผมไม่คิดและไม่อยากกล่าวโทษอย่างนั้นในบางด้านซึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้

ยายอาจแตกต่าง  และยายก็ไม่อาจแตกต่างกับคนอื่น

ผมทบทวนและยืนยันได้เท่านั้นว่ายายไม่ใช่ความแปลกแยก
ในความหมายที่อ้างถึงกันอย่างพร่ำเพรื่อแทบกลายเป็นไร้ความหมาย

ยายเป็นผู้หญิงบางแบบที่เชิดคาง

ผู้ดีและขี้ข้าอ’กฤษพูดว่า chin up!

.................................

ยายมีแก้วเจียระไน  คนโท  ชามเบญจรงค์  ช้อนกระเบื้อง และจานเชิง
แน่นในตู้กระจกและบนชั้ว  ถ้าผมขโมยเอาไว้บ้างแล้วขายให้ผู้ดี 2 สาแหรกในยุคนี้
ผมก็คงไม่เป็นนักเขียนผู้ยากจน...

ยายอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนชื่อตัวเองได้เท่านั้น

แต่เขียนอย่างลำบากแทบว่าเคี้ยวหมากจืดกว่าจะเป็นตัว  และตัวโตโย้เย้

ทองอยู่  มักหล่น อ กลายเป็น ทองยู่

ผมหัวเราะขบขันโดนยายหยิกด้วยความรักและหมั่นไส้แกมกัน

สมบัติพัสถานบรรดามีนั้นเวลานานต่อมาโดนไฟไหม้เผาผลาญวอดวาย
ไม่เหลือเป็นมรดกของใคร? แต่ผมพูดกับญาติขี้งกบางคนว่าผมมีมรดก

“เอ็งคงยักยอกสร้อยคดกริชเอาไว้ละซี - - ไอ้หม่า!”

หมา  คนโพธารามมักพูดเสียงเหน่อฟังว่า หม่า

ผมยักไหล่

ผมไม่บอกเขาว่า  ยายให้มรดกเป็นความมีเกียรติ  ความเย่อหยิ่ง
ความรู้เจียมรู้ถ่อม  ความเมตตา – กรุณา  ความจริงใจ  และศรัทธากับชีวิต


......................................

ความเป็นมะขามค็อกหมูนี้รสไม่เปรี้ยวฉูดฉาดบาดลิ้น
แต่เปรี้ยวละไม
ผมกับเพื่อนปีนต้นขึ้นไปปลิดลงมากินแก้กระหายและแก้หิวหลังเวลาโรงเรียนเลิก
ในขณะที่ชนชั้นลูกนายอำเภอกับลูกเถ้าแก่โรงเลื่อยกินน้ำมะเน็ดขวดละ 2 สตางค์กันอย่างเย่อหยิ่ง

เราอร่อยแบบฝืดในคอ และด้วยความรู้สึกคันตีนอยากเตะปากพวกมันทุกคน

การต้มปลากดตำรับนี้ยายสอนว่าถ้าเลือกได้
ควรเอารสเปรี้ยวของมะขามค็อกหมู 
กลมกล่อมและชุ่มชื่นกว่ามะขามแก่เปลือกเกราะล่อนที่ยายพูดว่า
: แค่นจะตอแหลเปรี้ยว....

รสเผ็ดนั้นน่ารักและไม่น่ารักในการปนปรุง

น่ารักสำหรับใครที่ชอบกินเผ็ด  แต่ไม่น่ากินสำหรับใครที่เกลียดความเผ็ด
ในกรณีที่ใครคิดว่าความไม่เผ็ดเสียศักดิ์ศรีลิ้นและปาก  ปลากดต้มมะขามกำหนดว่า
ควรเอารสเผ็ดจากพริกขี้หนูบุบโรยลงในหม้อก่อนตักใส่ถ้วย
ความร้อนเดือดพล่านจะลบกลิ่นเขียวของพริกอย่างหมดจดงดงาม
แต่ถ้าใครคิดว่ากลิ่นนี้รัญจวนอยากกินแบบเคี้ยวพริกแล้วซดน้ำแกงก็ไม่ผิดบาปอย่างไร?


........................................

....เพื่อนและญาติของแม่เทือกนั้นบางคนคิดว่าพ่อถือตัวและบางคนคิดว่าเย่อหยิ่ง
บางคนพูดว่าเป็นคนดุ  นั้นคงเป็นความจริง
แต่ดุไม่หมายความว่าดุร้าย – ทมิฬ และแตกต่างกับโมโหร้าย!
เขาพูดกันถึงซองปืนที่เหน็บไว้กับเอว  แม้ว่าซ่อนไว้มิดชิดแนบไว้ด้านใน
แต่เสื้อแบบคอโปโลผ้าโปร่งหรือผ้ามัสลินก็พอมองเห็นเป็นเงารางเลือน
ใช่ – คนพวกนั้นเข้าใจไม่ผิด  พ่อรักปืน
ผู้ชายกับหน้าที่ปกครองคนจำนวนนับร้อยนับพันคนในป่าเรียนรู้การรักปืน...

นิสัยของคนและนิสัยของปืน!

ปืนไม่ใช่อำนาจปราบปรามเท่านั้นแต่ป้องปราม

ปืนสามารถหยุดความรุนแรงได้ก่อนสถานการณ์รุนแรงกว่าเหนือคาดหมาย

และปืนไม่ใช่หมายถึงการฆ่าคนเท่านั้น

มือของพ่อไม่เคยห่างปืนในการควบคุมงาน  การเดินทาง  การกินเหล้าบนนอกชานบ้าน
และใต้หมอนในห้องนอน
พ่อฝึกฝนการยิงปืนอย่างเชื่องกับปืน  และปืนเชื่องกับพ่อ
สะสมปืนโดยเหตุผลว่า  นอกจากไอ้ลูกโม่ 6 นัด  ผู้ชายควรเป็นเจ้าของปืนอะไรบ้าง?
และอย่างไร?
ผมถูกสอนมาอย่างนั้นและผมสอนลูกสืบเนื่องมาถึงอานุภาพของปืน

พ่อเป็นคนแรกยื่นปืนให้ผมเอาไปยิงนกเป็ดน้ำในหนองไกล
ปืนกระบอกนั้นบรรจุลูกซองลำกล้องเดี่ยว
เหล็กขาววับและฉลักลายเครือเถารมควัน  สวยและราคาแพงของเบลเยี่ยม
พ่อกำชับถึงกลไกและแบบวิธีอย่างถูกต้อง
และกำชับอย่างหนักแน่นต่อมาโดยมอบให้พี่เลี้ยงผู้เจนปืนไปดูแล
เขาเป็นคนแจวเรือด้วยในเวลาเดียวกัน

พ่อไม่พูดมากประโยค

แล้วหลังจากนั้นก็ไม่กังวลติดตามผลว่าไหล่ของผมโดนปืนมันถีบยับเยินหรือได้เป็ดป่ามาแกงไหม?

ครูปืนต้องเชื่อมั่นกับศิษย์และคำสอนของตนเสมอ

บทเรียนต่อมาผู้ชายจำเป็นต้องเรียนรู้จากอานุภาพถึงเจตนานุภาพของปืน

ปืนเป็นเหล็กไม่มีชีวิต  แต่หัวใจของคนถือปืนนั้นต่างหาก
คือหัวใจและอารมณ์ของปืน

นั้นเป็นคำสอนที่แฝงความหมายอย่างล้ำลึกในความรักของผู้ชายกับผู้ชาย

ผมเขียนถึงบรรทัดนี้ด้วยความสงสัยว่าทำไมคนในยุคนี้จำนวนไม่น้อย
จึงเกลียดและกลัว  และระแวงปืน
แม้แต่ปืนพลาสติคกำลังกลายเป็นของต้องห้ามของเด็ก!

ผมอยากรู้ว่าเขาต้องการให้ลูกของเขาเล่นอะไร? 
เล่นกับแขนอ่อนเอวบางรำรจนา – เจ้าเงาะ
เล่นระบำปลายตีน (แบลเลท์)
เล่นปักสะดึงและเล่นฟังรังกระดุม
เล่นไอ้จู๋กับอีเฉาะ
เล่นตุ้งติ้งนิ้งโหน่งกันแบบนั้นหรือ?

ทำไมเขาไม่สอนให้ลูกของเขารู้จักปืน?

เขายินยอมโดยไม่ต่อรอง (ป้องกัน) บ้างหรือกับการที่ปืนอยู่ในมือของคนไม่รู้จักปืน
และในมือของคนเลวผู้เป็นอันตราย...

ผมรักลูกเท่ากับชีวิตจึงสอนให้เขารู้จักปืนในอายุทีสมควรวางหนังสติ๊ก  ไม้ซาง และมีด
แต่เขาต้องรู้จักอย่างถ่องแท้เท่ากับรู้จักความเป็นคน (ผู้ชายและผู้หญิง)
ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่า!

ครับ – ผมคงรู้สึกผิดและบาปมากถ้าไม่อธิบายกับลูกเกี่ยวกับความจริงของปืน
โทษและคุณของปืน!

ผมเรียนรู้เกี่ยวกับปืน  รักปืน  และเป็นเจ้าของปืน

แต่ผมก็รักผู้หญิง  บูชาศรัทธาแห่งการมีชีวิต  รักบทกวีและเพลง
รักดอกไม้และปลา
ชิงชังการฆ่าและสงคราม
ผมเป็นคนนับถือลัทธิ pacifism

เหตุผลของปืนกับความเป็นคนมากมายเหนือการถกเถียง
หลังจากคนค้นพบว่ามีวิธีอื่นหลายวิธีซึ่งฉลาดกว่า กับการเอานกลงมาจากอากาศโดยเขวี้ยงก้อนหิน

ขอเน้นว่าปืนไม่หมายถึงการพรากชีวิตจากชีวิตเท่านั้น

แต่การไม่รู้จักปืนอาจพบเหตุการณ์น่าเศร้าทีเกินคาดหมายมากกว่าหลายหน
และหรือเพียงหนเดียวก็นับว่าโหดร้ายอย่างที่สุดแล้วในชีวิต

ผมเขียนบทนี้บูชาพ่อและครูปืนซึ่งเป็นคนเดียวกัน

.................................................

มะม่วงฉุน

มะม่วงเปรี้ยว (ดิบ)
น้ำตาล (ปีบ)
น้ำปลา (รสดี)
ปลาย่าง (ป่น)
หัวหอมแดง (ซอย)

มะม่วงอกร่อง  มะม่วงพิมเสน  หรือมะม่วงแก้วดิบฝานชิ้นบาง
เคล้าแบบขยำกับน้ำตาลปีบหรือน้ำตาลปึก (เคี่ยวจากน้ำหวานดอกมะพร้าว)
น้ำปลารสดี  ชุ่มน้ำฉ่ำฉมแล้วเคล้าต่อมากับปลาย่างป่นและหัวหอมแดงซอย
ขนาดไม่ควรหนากว่าสันมีดบาง

มะม่วงฉุนเป็นของกินเล่นของผู้หญิงยุคห่มสไบแพร
กินแนมกับอาหารประเภทผัดเผ็ดแห้งในสำรับ
และกินแกล้มเหล้าก็เสียวซ่านในปากอย่างเพลิดเพลิน!

รสแตกต่างกับการกินมะม่วงน้ำปลาหวาน  และปนปรุงได้ง่ายกว่าในเวลาน้อยกว่า
คนรื้อไข้ทีปากขมกินอะไรไม่อร่อย
คนแก่ในบ้านจะฉุนมะม่วงประมาณเกือบสุกคาต้นกินกับข้าวสวยร้อนๆ
โดยประเล้าประโลมว่า : กินชื่นใจลูกเอ๋ย.....



ครับหมาป่าตัวนี้ลอกมาถึงบทนี้
กับคำว่า ประเล้าประโลม
กับคำว่า กินชื่นใจลูกเอ๋ย

มันให้คิดถึงยายเหลียว
คิดถึงความรักที่ยายมีให้
คิดถึงรสมือของยาย
สี่สิบปีที่ได้อยู่กับยายมาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้
ไม่เคยมีเลยสักครั้งเดียวที่จะรู้สึกว่ายายไม่รัก  หรือยายเดียดฉันท์หลานคนนี้

คุณ ‘รงค์ รักยายของท่านอย่างไร
หมาป่าก็รักยายเหลียวในปริมาณเดียวกัน...ปริมาณที่วัดไม่ได้

ลองหาอ่านดูนะครับ
เมนูบ้านท้ายวัง   และ เงาของเวลา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 01, 2008, 06:29:02 AM โดย a lone wolf » บันทึกการเข้า

It's not the years in your life but the life in your years, that counts
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #23 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2008, 11:40:20 AM »

บันทึกการเข้า
a lone wolf
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 290
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2064



« ตอบ #24 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2008, 11:42:13 AM »

 ไหว้ Cheesy
บันทึกการเข้า

It's not the years in your life but the life in your years, that counts
51
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #25 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2008, 11:48:57 AM »

ท่านเดียวดายฯ  เชื่อม่ะครับ

หนังสือเรื่องสั้นที่ผมอ่านแล้วชอบมากที่สุด มีสองเรื่อง...
คือ  ลูกอีสาน ของคำพูน บุญทวี และ อยู่กับก๋ง ของ หยก บูรพา....
มันเป็นหนังสือที่ มีค่าและครบรสจริง ๆ คริ คริ
บันทึกการเข้า
a lone wolf
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 290
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2064



« ตอบ #26 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2008, 12:44:39 PM »

 Cheesy
เชื่อสิจ๊ะพี่
บันทึกการเข้า

It's not the years in your life but the life in your years, that counts
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.114 วินาที กับ 22 คำสั่ง