เมื่อต้นปีนี้หมาป่ามียายอยู่ 3 คน
วันจันทร์ที่ผ่านมาหมาป่าเหลือยายแค่คนเดียวคือคนที่เป็นน้องสุดท้องของยายจริง(แม่ของแม่)
สิบโมงเช้าเศษๆ ยายจริงของหมาป่า ชื่อ ประจวบ ไชยโย ตายที่บ้านที่พิดโลก (พิษณุโลก) อายุ 85 ปี
ตอนเดือนมกราคม ยายอีกคน (น้องของยายจริง) คนที่หมาป่ารักมากที่สุด ตายด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อายุ 82 ปี
...ยายเฉลียว คุ้มอารีย์
...หมาป่าคิดถึงยายเฉลียวอยู่เนืองๆ โกษที่ขอปันกระดูกยายมาบูชาก็อยู่บนชั้นในห้องหนังสือที่บ้านของหมาป่า
แต่ยายไม่เคยมาเข้าฝันเลย...แปลกจังนะยาย
ยายเฉลียว มาอยู่กับแม่และพ่อตั้งแต่หมาป่ายังไม่เกิด มาแบบฝากผีฝากไข้ทั้งชีวิตไว้กับหลานสาวและครอบครัว
คงด้วยคำพูดของแม่หมาป่าว่า..น้าเหลียวมาอยู่ด้วยกันนะน้า
บ้านหมาป่ามีกัน 5 คน พ่อ แม่ หมาป่า น้องสาว และยาย
ยายเลี้ยงดู ป้อนข้าวป้อนน้ำ ซักผ้ารีดชุดนักเรียนให้หมาป่า
ยายทำกับข้าว ทำขนม...รสมือยายหมาป่าไม่เคยลืม
หมาป่านอนเตียงเดียวกับยายถึง ป. 4 ถึงได้แยกห้องออกมา
ยามที่เป็นไข้ตัวร้อน ก็มียายคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว บางทีก็กวาดยาให้หมาป่า
ยามปิดเทอมใหญ่สมัยประถม มัธยมต้น ยายเหลียวจะพาหมาป่ากลับไปเยี่ยมยายจริงที่พิดโลก
และเยี่ยมหมู่สังคญาติแถวอุตรดิษถ์ และเชียงราย
หมาป่าได้นอนแพ ก็ที่บ้านลูกชายและลูกสะใภ้ของยายที่แควน้อย พิดโลก
หมาป่าคิดถึงยายเหลียวนะ
หนังสือ เมนูบ้านท้ายวัง และ เงาของเวลา
เขียนโดย รงค์ วงษ์สวรรค์
เล่มที่หมาป่ามีอยู่เป็นของสำนักพิมพ์ สารคดี พิมพ์ในปี 2542
คุณ รงค์ เขียนชีวประวัติของตนเอง เน้นช่วงเวลาที่อยู่กับยายที่โพธาราม จังหวัดราชบุรี
สืบเนื่องมาจนเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม และมีบางช่วงที่กล่าวถึงยามที่เป็นนักเขียนแล้ว
เขียนถึงด้านที่ดีและไม่ดีของตัวเอง ยาย และวงศ์ญาติ ในแบบ Skeleton in the cupboard
...โครงกระดูกในตู้
เหมือนที่ มรว. คึกฤทธิ์ เคยเขียนชีวประวัติของตระกูลปราโมช ในหนังสือ โครงกระดูกในตู้
ตอนแซยิด 60 ปี
หากแต่ชีวประวัติของตระกูลปราโมช เป็นของคนในราชสกุล
หนังสือสองเล่มของคุณ รงค์ เลยถูกขนานนามโดยสำนักพิมพ์ว่า โครงกระดูกในตู้ ฉบับสามัญชน
หนังสือของนักเขียนลือนามทั้งสองท่านอ่านสนุกและมีเกร็ดความรู้ของช่วงเวลาในอดีตมากมาย
วันหลังหมาป่าจะมาแนะนำ โครงกระดูกในตู้ ของคึกฤทธิ์นะครับ
หนังสือ เมนูบ้านท้ายวัง และ เงาของเวลา บอกเล่าถึงโลกของเด็กชายคนหนึ่ง
ซึ่งพ่อและแม่นำมาฝากยายเลี้ยง
เป็นชีวิตของเด็กผู้ชายครอบครัวสามัญชนในอำเภอแถบภาคกลางของไทย เมื่อ 60-70 ปีมาแล้ว
อาหารการกิน วิถีชีวิต การละเล่น ภาษาพูด การบันเทิง ฯลฯ
ภาษาเขียนชวนให้ละเลียด (พร้อมเบียร์ก็เลิศ)
เปี่ยมด้วยรายละเอียดที่ผมยังไม่เคยเห็นนักเขียนไทยคนไหนเขียนได้ระดับนี้มาก่อน
คงเป็นด้วยสำนวนที่มีลีลาเฉพาะตัว และวิธีการมองชีวิตของคุณ รงค์ เองด้วย
อ่านแล้วคนที่อายุ 30 40 50 60 คงคิดถึงปู่ย่าตายายของตนเอง
มันแฝงด้วยความรัก และความศรัทธาต่อชีวิต และย้อนหวนวันเวลาที่ผ่านเลยไปแล้วของสังคมไทยแบบ Nostalgia
ลองอ่านบางช่วงบางตอนนะครับ
มาอยู่กับแม่แก่ขืนพยศก็โดนก้านมะยมไม่ไว้หน้ากันยายพูดเหมือนเคยเลี้ยงหลานมาก่อนแล้วหลายคน
แต่ความจริงผมเป็นหลานคนแรกที่ยายรับไว้ในครอบครอง และอย่างเป็นเจ้าของ
แม่พูดว่า
ขอฝากแม่ไว้ให้กำราบเอา...คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ แม่พูดกับยายว่าจะค้างเพียงสองคืนแม้ว่าอยากอยู่หลายคืน
แม่อ้างว่าเป็นห่วงพ่อ ความเป็นห่วงนอกจากความรักคงไม่แปลเป็นอื่นนอนจากความกลัวว่า
พ่อจะโดนเพื่อนชวนไปข้องแวะกับผู้หญิงอื่นประเภทแมงอีร่าน
และนับรวมถึงอีปิ้ดที่ตลาดสำเพ็งราคาปลดเปลื้องกำหนัดคราวละ 50 สตางค์
(2 สลึง มักพูดติดปากว่า น่อจี๊)
แม่คงไม่แตกต่างกับผู้หญิงคนอื่นผู้ถือสิทธิ์แห่งความเป็นเมียโดยความรักและความหึง
ผมนอนกระสับกระส่ายแล้วสะอื้น
น้ำตาไหลพราก แล้วรู้สึกถึงมืออ่อนนุ่มถูกแก้มพลางลูบไล้บนใบหน้า
ผมพลิกตัวนอนตะแคงหลบ
มือนั้นไม่ใช่มือของแม่ที่เคยโอบกอดและจูบแนบแน่น
แต่แผ่วเบากว่า เป็นมือของยาย
บทบาทชีวิตของผมเปลี่ยนฉากบนเวที
และอย่างไม่อาจขัดขืน นับจากคำพูดปลอบโยนของยายแว่วมา
คำปลอบโยนนั้นราวเพลงขับกล่อมขับขานจากหลังม่าน
ผิดที่ผิดทางนอนไม่หลับหรือหนู มา - - ลุกขึ้นมากินน้ำฝนลอยดอกมะลิหอมชื่นใจ
แล้วไปเบาที่ร่องบนนอกชานหน้าครัว
แม่แก่จะสอนให้หนูสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน แล้วหนูก็หลับสบาย... เบา = เยี่ยว
....................................
ในอายุน้อยนั้น ผมไม่มีคำถามว่ายายอ้างว้างไหม?
ยายเป็นคนแก่ และยายแก่อย่างไรคงรักษาความแก่ไว้อย่างนั้น
แทบไม่เปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของผมนับแต่นาทีแรกพบถึงนาทีนี้
แต่ยายแข็งแรงและกระฉับกระเฉงตลอดเวลา
นั้นเป็นความทรงจำแนบแน่นอันงดงาม
ยายไม่ใช่แบบฉบับของผู้หญิงไทยแห่งวันเวลาที่ผ่านมา
แน่นอน และยายไม่ใช่ตัวแทนแห่งยุค
ยายเป็นความมีชีวิตเท่านั้น
ชีวิตที่บางคนอ้างว่าเคลื่อนไหวไปตามผลบุญและวิบากกรรม
แต่ผมไม่คิดและไม่อยากกล่าวโทษอย่างนั้นในบางด้านซึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้
ยายอาจแตกต่าง และยายก็ไม่อาจแตกต่างกับคนอื่น
ผมทบทวนและยืนยันได้เท่านั้นว่ายายไม่ใช่ความแปลกแยก
ในความหมายที่อ้างถึงกันอย่างพร่ำเพรื่อแทบกลายเป็นไร้ความหมาย
ยายเป็นผู้หญิงบางแบบที่เชิดคาง
ผู้ดีและขี้ข้าอกฤษพูดว่า chin up!
.................................
ยายมีแก้วเจียระไน คนโท ชามเบญจรงค์ ช้อนกระเบื้อง และจานเชิง
แน่นในตู้กระจกและบนชั้ว ถ้าผมขโมยเอาไว้บ้างแล้วขายให้ผู้ดี 2 สาแหรกในยุคนี้
ผมก็คงไม่เป็นนักเขียนผู้ยากจน...
ยายอ่านหนังสือไม่ออกและเขียนชื่อตัวเองได้เท่านั้น
แต่เขียนอย่างลำบากแทบว่าเคี้ยวหมากจืดกว่าจะเป็นตัว และตัวโตโย้เย้
ทองอยู่ มักหล่น อ กลายเป็น ทองยู่
ผมหัวเราะขบขันโดนยายหยิกด้วยความรักและหมั่นไส้แกมกัน
สมบัติพัสถานบรรดามีนั้นเวลานานต่อมาโดนไฟไหม้เผาผลาญวอดวาย
ไม่เหลือเป็นมรดกของใคร? แต่ผมพูดกับญาติขี้งกบางคนว่าผมมีมรดก
เอ็งคงยักยอกสร้อยคดกริชเอาไว้ละซี - - ไอ้หม่า!หมา คนโพธารามมักพูดเสียงเหน่อฟังว่า หม่า
ผมยักไหล่
ผมไม่บอกเขาว่า ยายให้มรดกเป็นความมีเกียรติ ความเย่อหยิ่ง
ความรู้เจียมรู้ถ่อม ความเมตตา กรุณา ความจริงใจ และศรัทธากับชีวิต......................................
ความเป็นมะขามค็อกหมูนี้รสไม่เปรี้ยวฉูดฉาดบาดลิ้น
แต่เปรี้ยวละไม
ผมกับเพื่อนปีนต้นขึ้นไปปลิดลงมากินแก้กระหายและแก้หิวหลังเวลาโรงเรียนเลิก
ในขณะที่ชนชั้นลูกนายอำเภอกับลูกเถ้าแก่โรงเลื่อยกินน้ำมะเน็ดขวดละ 2 สตางค์กันอย่างเย่อหยิ่ง
เราอร่อยแบบฝืดในคอ และด้วยความรู้สึกคันตีนอยากเตะปากพวกมันทุกคน
การต้มปลากดตำรับนี้ยายสอนว่าถ้าเลือกได้
ควรเอารสเปรี้ยวของมะขามค็อกหมู
กลมกล่อมและชุ่มชื่นกว่ามะขามแก่เปลือกเกราะล่อนที่ยายพูดว่า
:
แค่นจะตอแหลเปรี้ยว....
รสเผ็ดนั้นน่ารักและไม่น่ารักในการปนปรุง
น่ารักสำหรับใครที่ชอบกินเผ็ด แต่ไม่น่ากินสำหรับใครที่เกลียดความเผ็ด
ในกรณีที่ใครคิดว่าความไม่เผ็ดเสียศักดิ์ศรีลิ้นและปาก ปลากดต้มมะขามกำหนดว่า
ควรเอารสเผ็ดจากพริกขี้หนูบุบโรยลงในหม้อก่อนตักใส่ถ้วย
ความร้อนเดือดพล่านจะลบกลิ่นเขียวของพริกอย่างหมดจดงดงาม
แต่ถ้าใครคิดว่ากลิ่นนี้รัญจวนอยากกินแบบเคี้ยวพริกแล้วซดน้ำแกงก็ไม่ผิดบาปอย่างไร?
........................................
....เพื่อนและญาติของแม่เทือกนั้นบางคนคิดว่าพ่อถือตัวและบางคนคิดว่าเย่อหยิ่ง
บางคนพูดว่าเป็นคนดุ นั้นคงเป็นความจริง
แต่ดุไม่หมายความว่าดุร้าย ทมิฬ และแตกต่างกับโมโหร้าย!
เขาพูดกันถึงซองปืนที่เหน็บไว้กับเอว แม้ว่าซ่อนไว้มิดชิดแนบไว้ด้านใน
แต่เสื้อแบบคอโปโลผ้าโปร่งหรือผ้ามัสลินก็พอมองเห็นเป็นเงารางเลือน
ใช่ คนพวกนั้นเข้าใจไม่ผิด พ่อรักปืน
ผู้ชายกับหน้าที่ปกครองคนจำนวนนับร้อยนับพันคนในป่าเรียนรู้การรักปืน...
นิสัยของคนและนิสัยของปืน!
ปืนไม่ใช่อำนาจปราบปรามเท่านั้นแต่ป้องปราม
ปืนสามารถหยุดความรุนแรงได้ก่อนสถานการณ์รุนแรงกว่าเหนือคาดหมาย
และปืนไม่ใช่หมายถึงการฆ่าคนเท่านั้น
มือของพ่อไม่เคยห่างปืนในการควบคุมงาน การเดินทาง การกินเหล้าบนนอกชานบ้าน
และใต้หมอนในห้องนอน
พ่อฝึกฝนการยิงปืนอย่างเชื่องกับปืน และปืนเชื่องกับพ่อ
สะสมปืนโดยเหตุผลว่า นอกจากไอ้ลูกโม่ 6 นัด ผู้ชายควรเป็นเจ้าของปืนอะไรบ้าง?
และอย่างไร?
ผมถูกสอนมาอย่างนั้นและผมสอนลูกสืบเนื่องมาถึงอานุภาพของปืน
พ่อเป็นคนแรกยื่นปืนให้ผมเอาไปยิงนกเป็ดน้ำในหนองไกล
ปืนกระบอกนั้นบรรจุลูกซองลำกล้องเดี่ยว
เหล็กขาววับและฉลักลายเครือเถารมควัน สวยและราคาแพงของเบลเยี่ยม
พ่อกำชับถึงกลไกและแบบวิธีอย่างถูกต้อง
และกำชับอย่างหนักแน่นต่อมาโดยมอบให้พี่เลี้ยงผู้เจนปืนไปดูแล
เขาเป็นคนแจวเรือด้วยในเวลาเดียวกัน
พ่อไม่พูดมากประโยค
แล้วหลังจากนั้นก็ไม่กังวลติดตามผลว่าไหล่ของผมโดนปืนมันถีบยับเยินหรือได้เป็ดป่ามาแกงไหม?
ครูปืนต้องเชื่อมั่นกับศิษย์และคำสอนของตนเสมอ
บทเรียนต่อมาผู้ชายจำเป็นต้องเรียนรู้จากอานุภาพถึงเจตนานุภาพของปืน
ปืนเป็นเหล็กไม่มีชีวิต แต่หัวใจของคนถือปืนนั้นต่างหาก
คือหัวใจและอารมณ์ของปืน
นั้นเป็นคำสอนที่แฝงความหมายอย่างล้ำลึกในความรักของผู้ชายกับผู้ชาย
ผมเขียนถึงบรรทัดนี้ด้วยความสงสัยว่าทำไมคนในยุคนี้จำนวนไม่น้อย
จึงเกลียดและกลัว และระแวงปืน
แม้แต่ปืนพลาสติคกำลังกลายเป็นของต้องห้ามของเด็ก!
ผมอยากรู้ว่าเขาต้องการให้ลูกของเขาเล่นอะไร?
เล่นกับแขนอ่อนเอวบางรำรจนา เจ้าเงาะ
เล่นระบำปลายตีน (แบลเลท์)
เล่นปักสะดึงและเล่นฟังรังกระดุม
เล่นไอ้จู๋กับอีเฉาะ
เล่นตุ้งติ้งนิ้งโหน่งกันแบบนั้นหรือ?
ทำไมเขาไม่สอนให้ลูกของเขารู้จักปืน?
เขายินยอมโดยไม่ต่อรอง (ป้องกัน) บ้างหรือกับการที่ปืนอยู่ในมือของคนไม่รู้จักปืน
และในมือของคนเลวผู้เป็นอันตราย...
ผมรักลูกเท่ากับชีวิตจึงสอนให้เขารู้จักปืนในอายุทีสมควรวางหนังสติ๊ก ไม้ซาง และมีด
แต่เขาต้องรู้จักอย่างถ่องแท้เท่ากับรู้จักความเป็นคน (ผู้ชายและผู้หญิง)
ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่า!
ครับ ผมคงรู้สึกผิดและบาปมากถ้าไม่อธิบายกับลูกเกี่ยวกับความจริงของปืน
โทษและคุณของปืน!
ผมเรียนรู้เกี่ยวกับปืน รักปืน และเป็นเจ้าของปืน
แต่ผมก็รักผู้หญิง บูชาศรัทธาแห่งการมีชีวิต รักบทกวีและเพลง
รักดอกไม้และปลา
ชิงชังการฆ่าและสงคราม
ผมเป็นคนนับถือลัทธิ pacifism
เหตุผลของปืนกับความเป็นคนมากมายเหนือการถกเถียง
หลังจากคนค้นพบว่ามีวิธีอื่นหลายวิธีซึ่งฉลาดกว่า กับการเอานกลงมาจากอากาศโดยเขวี้ยงก้อนหิน
ขอเน้นว่าปืนไม่หมายถึงการพรากชีวิตจากชีวิตเท่านั้น
แต่การไม่รู้จักปืนอาจพบเหตุการณ์น่าเศร้าทีเกินคาดหมายมากกว่าหลายหน
และหรือเพียงหนเดียวก็นับว่าโหดร้ายอย่างที่สุดแล้วในชีวิต
ผมเขียนบทนี้บูชาพ่อและครูปืนซึ่งเป็นคนเดียวกัน
.................................................
มะม่วงฉุน
มะม่วงเปรี้ยว (ดิบ)
น้ำตาล (ปีบ)
น้ำปลา (รสดี)
ปลาย่าง (ป่น)
หัวหอมแดง (ซอย)
มะม่วงอกร่อง มะม่วงพิมเสน หรือมะม่วงแก้วดิบฝานชิ้นบาง
เคล้าแบบขยำกับน้ำตาลปีบหรือน้ำตาลปึก (เคี่ยวจากน้ำหวานดอกมะพร้าว)
น้ำปลารสดี ชุ่มน้ำฉ่ำฉมแล้วเคล้าต่อมากับปลาย่างป่นและหัวหอมแดงซอย
ขนาดไม่ควรหนากว่าสันมีดบาง
มะม่วงฉุนเป็นของกินเล่นของผู้หญิงยุคห่มสไบแพร
กินแนมกับอาหารประเภทผัดเผ็ดแห้งในสำรับ
และกินแกล้มเหล้าก็เสียวซ่านในปากอย่างเพลิดเพลิน!
รสแตกต่างกับการกินมะม่วงน้ำปลาหวาน และปนปรุงได้ง่ายกว่าในเวลาน้อยกว่า
คนรื้อไข้ทีปากขมกินอะไรไม่อร่อย
คนแก่ในบ้านจะฉุนมะม่วงประมาณเกือบสุกคาต้นกินกับข้าวสวยร้อนๆ
โดยประเล้าประโลมว่า :
กินชื่นใจลูกเอ๋ย.....ครับหมาป่าตัวนี้ลอกมาถึงบทนี้
กับคำว่า ประเล้าประโลม
กับคำว่า กินชื่นใจลูกเอ๋ย
มันให้คิดถึงยายเหลียว
คิดถึงความรักที่ยายมีให้
คิดถึงรสมือของยาย
สี่สิบปีที่ได้อยู่กับยายมาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้
ไม่เคยมีเลยสักครั้งเดียวที่จะรู้สึกว่ายายไม่รัก หรือยายเดียดฉันท์หลานคนนี้
คุณ รงค์ รักยายของท่านอย่างไร
หมาป่าก็รักยายเหลียวในปริมาณเดียวกัน...ปริมาณที่วัดไม่ได้
ลองหาอ่านดูนะครับ
เมนูบ้านท้ายวัง และ เงาของเวลา