ขอกลับมาต่อแบบสรุปๆ .. ขออนุญาตย้อนทบทวนความจำนิดหนึ่ง..
.
ปี 2548 กัมพูชาเริ่มยื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลก โดยกัมพูชาแจ้งว่าจะร่วมมือกับไทยในครั้งนี้
ปี 2550 ประเทศไทยแจ้งข้อกังวลเกี่ยวกับเขตแดนให้ฝ่ายกัมพูชาได้รับทราบและกระทราวรการต่างประเทศได้ยื่นบันทึกช่วยจำแก่กัมพูชาเพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกและได้ทำเอกสารแย้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยขอให้มีการได้ข้อยุติเกี่ยวกับปัญหาชายแดนและการใช้อำนาจอธิปไตยเสียก่อนสุดท้ายคณะกรรมการมรดโลก สมัยที่ 31 ได้มีมติให้เลื่อนการพิจารณาการขึ้นทะเบียนของกัมพูชาออกไป และให้ไทยกับกัมพูชาร่วมมือกันก่อน
ม.ค. 2551 มีการประท้วงจากฝ่ายไทยในระหว่างการประชุมผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศที่เสียมราฐ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเขตแดน
ก.พ. 2551 ในการประชุม รมว.การต่างประเทศ อาเซียนที่สิงคโปร์ ซึ่งมี นายนพดล ปัทมะ ในฐานะ รมว.การต่างประเทศของไทยเข้าร่วมการประชุมด้วย กัมพูชาออกแถลงการ์ณว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารจะไม่กระทบต่อผลการเจรจาเรื่องเขตแดน ที่ดำเนินโดยคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาและกัมพูชายินดีที่จะเข้าร่วมในการพัฒนาเขาพระวิหารซึ่งในครั้งนี้ นายนพดล ตอบชี้แจงว่าไทยมิได้คัดค้าน
มี.ค. 2551 นายสมัคร สุนทรเวช เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการและบอกว่าไทยไม่ขัดขวางการเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา และกัมพูชาได้เสนอให้มีการจัดทำแถลงการณ์ร่วมเพื่อให้ไทยพิจารณา ซึ่งระบุว่าไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกและการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ตามที่ปรากฎในแผนที่แนบท้ายเอกสารประกอบการขึ้นทะเบียน
เม.ย. 2551 มีการกล่าวอ้างและทำหนังสือแจ้งเรื่องที่กัมพูชา เข้ามาใช้พื้นที่และมีการละเมิดอำนาจอธิปไตยของดินแดนไทย แต่กัมพูชาไม่ยอมรับ
พ.ค. 2551 มีการเปิดถนนหมายเลข 44 และสะพาน 4 แห่งในกัมพูชา หลังจากนั่น " นายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ " ได้มีการหารือเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกและ
การกำหนดเขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา และพื้นที่ซับซ้อนบริเวณไหล่ทวีป และในเดือนเดียวกันนี้ นายนพดล ปัทมะ นำคณะผู้แทนไทยไปหารือกับกัมพูชาที่ฝรั่งเศส เพื่อหาข้อยุติก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก และมีการลงนามย่อกำกับร่างแถลงการณ์ร่วมด้วย
5-11 มิ.ย. 2551 กัมพูชาเสนอร่างแผนผังฉบับปรับปรุงให้ไทยพิจารณา กรมแผนที่ทหารเข้าทำการสำรวจ
16 มิ.ย. 2551 สมช. เห็นชอบตามร่างคำแถลงการณ์รวมทั้งแผนผังที่กัมพูชาส่งให้ไทยพิจารณา
17 มิ.ย. 2551 ครม. ยุคนายสมัคร สุนทรเวช เห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา
18 มิ.ย. 2551 นายนพดล ปัทมะ ในฐานะ รมว.การต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
23 มิ.ย. 2551 มีการอภิปรายในสภาฯ ว่าสิ่งที่นายนพดล ปัทมะ ทำนั่นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูธ มาตรา 190 วรรคสอง และหลังจากนั่นได้มีการยื่นฟ้อง ครม.ทั้งหมดต่อศาลปกครองกลางให้เพิกถอนมติ ครม.และการลงนามพร้อมขอคุ้มครองชั่วคราว
27 มิ.ย. 2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ต่อมติครม.ดังกล่าว รวมทั้งห้ามดำเนิการตามมติดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
7 ก.ค. 2551 คณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้ขึ้ทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
8 ก.ค. 2551 ศาลรัฐธรรมนูธวินิจฉัยว่า คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ไม่ได้ปฎิบัติและเป็นไปตามรัฐธรรมนูธมาตรา 190 วรรคสอง
หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นส่วนใหญ่ผมนำมาจากหนังสือ "แฉเอกสารลับที่สุด " ของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2551 ,สนพ.มติชน
เท่าที่อ่านๆเจอมาพอสรุปได้ดังนี้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีคำสั่งของศาลปกครองและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูธ ออกมาแล้วก็ตามทีและมีการเปลี่ยนรัฐบาลแต่ขบวนการสอดไส้เพื่อให้ผ่านรัฐสภายังคงมีการดำเนินการและพยายามจัดทำตลอดมา ลองอ่านข่าวที่ออกมาจาก จกท. ข้างล่างดูครับ มันมีบางอย่างที่ซ่อนไว้อยู่..และจะมีผลต่อการเสียดินแดนที่เป็นเรื่องอย่างถาวร
โดย "นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.การต่างประเทศ " ให้สัมภาษณ์ที่น่าสนใจคือ..." ทั้งสองประเทศจะให้ความสำคัญกับเรื่องการกำหนดพรมแดนในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นลำดับต้นๆ เนื่องจากที่นี่ ทั้งสองฝ่ายส่งทหารมาเผชิญหน้ากันตั้งแต่เดือนกรกรฎาคม
งานนี้จะใช้แผนที่การสำรวจสมัยอาณานิคมฝรั่งเศสฉบับปี 2450 เป็นหลัก นอกจากนี้ นายสมพงษ์ ยังโยนลูกต่อไปอีกว่า ".. ในเบื้องต้น
รัฐสภาไทยจะต้องให้การอนุมัติในทั้งสองเรื่องที่จะช่วยลดความตึงเครียด และสะสางปัญหาการอ้างพื้นที่กรรมสิทธิ์ เสียก่อน.."
ฝ่ายรัฐมนตรีกัมพูชาบอกว่า นี่เป็น
ย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าที่ชัดเจนและรวดเร็ว การกำหนดพรมแดนที่พระวิหารจะเริ่มในกลาง
เดือนธันวาคม และอีกประโยคหนึ่ง " ทั้งสองฝ่ายบอกด้วยว่าในเดือน
มกราคมปีหน้า จะมีการมาหารือกันอีกครั้ง.. "
อย่าลืมนะครับว่า...ต้องออกตัวก่อนว่า ถ้าจำไม่ผิด มติของคณะกรรมการมรดกโลกที่กำหนดให้กัมพูชาต้องส่งเอกสารทั้งหมดสำหรับขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกให้เรียบร้อยแล้วเสร็จ ในเดือน มกราคม 2552 แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวพันมีผลกระทบกันขนาดไหนกับสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปแล้ว นั่นคือ Joint communique ดังนั่นจึงมีคนพยายามที่จะยัดไส้ในกรอบการเจรจาเพื่อให้ผ่านรัฐสภาให้จนได้สำเร็จ นั่นหมายถึงสิ่งที่รัฐบาลไทยคัดค้านมาตลอดในเรื่องแผ่นที่ตั้งแต่เสียปราสาทพระวิหารจะสิ้นสุดลงทันที... ยังไงเสียผมหวังว่ารัฐบาลนี้คงหมดสภาพเสียก่อนก่อนที่จะได้ทีโอกาสทำอะไร?ต่อไป ..ยังเหลือตอนสุดท้าย ครับ..ขยันพิมพ์เมื่อไหร่จะมาต่อให้จบให้ได้ครับ..