การเลือกตั้งหลังสมัยของพฤษภาทมิฬ
ทั้งสนามเมืองชลฯ และสนามแปดริ้ว...เป็นบทพิสูจน์ได้ว่า..."กระแส" สำคัญกว่าการศึกษา
แต่ กระแส....ก็มาจากการศึกษาของผู้ลงคะแนนเช่นกันครับ...
บทพิสูจน์ให้เห็นถึงคำว่า การศึกษา นั้น
สังเกตได้จาก สนามพนมฯ ครับ...
ผู้ลงคะแนน ไม่สนว่า...ใครจะอยู่พรรคไหน พรรคใด...
แต่ศึกษาว่า เลือกแล้ว...พวกเขาอยู่สบาย อยู่ดี สส. ในพื้นที่ดูแลเขา...
อำนาจ...บันดาลให้ได้แต่กับหัวคะแนนครับ...
สิ่งที่แตกต่างกันในปัจจุบัน ของแปดริ้วกับเมืองชลฯ คือ...
การอพยพย้ายถิ่นฐาน จากคนในเมืองใหญ่ เข้ามาอาศัย....ในเมืองชลฯ ครับ
คนเหล่านี้...ซื้อเสียงไม่ได้...เพราะเขามีการศึกษามาก่อนแล้วเป็นอย่างดี...
ว่า...อำนาจ อิทธิพล เป็นสิ่งไม่ยั่งยืน ครับ...
สังเกตได้จากแรงงานในระดับ ป.ตรี ที่เข้ามาในเครืออุตสาหกรรมต่าง ๆ
และบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาของเมืองชลฯ ซิครับ
สิ่งเหล่านี้...ยืนยันได้ชัดว่า ส่งผลให้คะแนนของผู้สมัครเดิม ๆ เปลี่ยนแปลงไป
ผมเคยเสนอว่า...
ต่อไป...คงต้องมีการหาเสียงกันหน้าโรงเรียนอนุบาล ครับ...
เพราะพ่อแม่ของ นร. เหล่านั้น..ไปส่งลูกที่ รร. ทุกวัน...มากกว่าไปตลาดซะอีก...
ซึ่งเสียงตรงนี้...ผู้สมัครขอไม่ได้ สั่งไม่ได้...
จึงต้องอาศัยวิธีดังกล่าวแทน...
อบจ. อบต. ต่างทุ่มเทงบประมาณ แบบให้เปล่าไปที่สถานศึกษาในเขต ครับ
ได้ทั้งฮั้ว...ได้ทั้งหน้า ได้ทั้งลดค่าแป๊ะเจี๊ย...
ทุกวันนี้ การขยายตัวของสังคมเมือง ในเมืองใหญ่...เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ความทุรกันดาร...ในเมืองชลฯ แทบจะไม่มีแล้วครับ
เว้นได้ในแถบบ่อทอง วังจันทร์ เทือก ๆ นั้น....
ความเปลี่ยนแปลงของคะแนน...
สำหรับแปดริ้ว..สนามในเมือง จะมีมากกว่าสนามพนมฯ ครับ...
เพราะถึงแม้จะนับคะแนนรวม...
แต่เวลาเทกอง ก็เทกันคนละมุมอยู่ดี....check ได้ครับ....ไม่ยาก...
อีกประการ...ถ้าซื้อเสียงผู้ลงคะแนน...ทั้งหมด
ซื้อเสียงกรรมการ จะถูกกว่า ลับกว่า...
เชื่อม่ะครับ...เวลาเลือกตั้ง...ผมรู้จักตั้งแต่ ตัวแทน กกต. ยัน ตร.ประจำหน่วย
ไม่นับน้อง ๆ ที่มาเป็น จนท. อีก....หน้าเดิม ๆ ทั้งนั้นแหละครับ...
รากฐานการเมืองที่ค่อนข้างไม่หวั่นไหว...
ผมว่า น่าจะเป็น บรรหารบุรี บุรีรัมย์ครับ
ขนาดปราจีนฯ ว่าแน่ ๆ ยังคลอนเลยครับ...
ได้อย่างเสียอย่าง..ครับ..ผมว่า..?
ผมก็ว่างั้นแหละครับ...คริ คริ
ไม่มีใครได้อะไรไปหมดทุกอย่างหรอกครับ...คริ คริ