อ่านอภิสิทธิ์ อ่านจุดยืนบนโรดแม็ปของรัฐบาลเสียงแตก
Posted by NN1234 , ผู้อ่าน : 361 , 15:32:04 น.
พิมพ์หน้านี้
อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงผลการโหวตเสียงหานายกรัฐมนตรีในสภาผ้แทนราษฎร ก็เรียบร้อยไปแล้วโดยเสียงส่วนใหญ่ได้ให้การสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปตามที่คาด เริ่มแรกเดิมทั้งสองฝ่ายต่างเกทับกันว่าฝ่ายตนมีเสียงข้างมากกว่าอีกฝ่ายและจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
แต่ท่าทีฝ่าย ปชป.ดูว่าจะมั่นใจมากกว่าถึงขนาดสั่งลูกพรรคเตรียมร่างนโยบายรัฐบาลไว้ล่วงหน้าก่อนวันโหวตเกือบสัปดาห์ และสวนทางกับฝากพรรคเพื่อไทยที่มีท่าดีทีเหลวมาตั้งแต่ต้น กระท่อนกระแท่นตั้งแต่เริ่มต้นที่จะส่ง ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุงหรือนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณเข้าชิงตำน่างนายกฯ แต่ก็มีเสียง ยี้ดังจากกลุ่มนักธุรกิจ เพราะเห็นแล้วว่า ขืนดันชื่อเหล่านี้เข้าไปเจอทางตันอีกเป็นแน่แท้ ต้องปิดประเทศไปอีกนานเพราะขาดการยอมรับจาก ประชาชนที่มีพลังเสียงส่วนใหญ่กว่า
ฟาก พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริง เหมือนรู้ตัวว่าแพ้แน่ในยกนี้ ทั้งที่ๆตัวเองว่าได้พยายามสร้างเรื่องเพื่อเรียกความเห็นใจจากชาวรากหญ้าและดันทุกทางเท่าไรก็ ไม่ขึ้น
แม้จะทุ่มสุดตัวและมอลความไว้วางใจให้อดีตคู่อริ นายเสนาะ เทียนทอง ออกมานำเสนอแนวคิดรัฐบาลกลางแห่งชาติ โดยเสนอให้ พล.ต.อ ประชา พรหมนอก ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแข่งขันกับนายอภิสิทธิ์
แต่การมาผิดที่-ผิดเวลาของป๋าเหนาะก็ไม่เป็นผลมากนัก เพราะสุดท้ายสามารถดูดได้คะแนนเสียงกลับคืนมาแค่ 198 คะแนน
เหมือนมะพร้าวแก่ย่อมเอาไปใช้แกงกระทิได้อย่างเดียว คนจะกินข้าวเม่า หากใช้มะพร้าวแก่เกินไปย่อมไม่อร่อยและขูดไม่ออก รอเอาไปทำแกงกระทิ...เมื่อชาติต้องการเหอะ ป๋า.....!
ตอนขานนับคะแนนได้ 100 เสียงแรก ผู้ที่ลุ้นนายอภิสิทธิ์นั้นอาจมีอาการเข้าขั้น ใจหาย-ใจคว่ำเพราะถูกสลับนำกลับไปหลายครั้ง แต่เมื่อสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ก็ต้องมาว่ากันถึงความเป็นบุคคลสาธารณะอย่างเต็มตัวของนายกรัฐมนตรีคน 27 ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้นถือว่าเป็นนักการเมืองที่มีจุดยืนเป็นของตัวเองมากที่สุดคนหนึ่ง เป็นผู้ที่เชื่อมั่นแน่วแน่และเคารพในระบบรัฐสภามาตลอด
ซึ่งคล้ายๆ กันกับนักกการเมืองส่วนใหญ่ในสภาฯแห่งนี้ ที่มักจะเริ่มต้นชีวิตการเมืองกันที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่สุดท้ายทนต่อกิเลสอันยั่วยวนจากผลประโยชน์ชาติที่มากมายมหาศาลไม่ได้ ก็มักจะชิ่งออกไปหา ทางลัดในการเข้าสู่อำนาจการบริหารบ้านเมือง
อย่าให้เอ่ยชื่อกันเลย ..เดี๋ยวมันแสลงใจ....กันถ้วนหน้า
ท่วงทีลีลาการพูดของนายอภิสิทธิ์ทุกครั้งนั้น เป็นน้ำเสียงที่คล้ายกับการจำลองทั้งแนวคิดและท่วงทีทำนองจังหวะการก้าวเดินของนายชวน หลีกภัย มาเป็นแม่แบบผู้นำทางการเมืองของเขา การได้มีโอกาสหล่อหลอมแนวคิดภายใต้พรรคประชาธิปัตย์ จนก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่ปี 2548 ต่อสู้ฟาดฟันด้วยอุดมการณ์กับพรรคร่วมรัฐบาลที่เสมือนยักษ์ใหญ่ในร่างของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เขาก็ยังใช้เพียงแค่ ดาบในความคิดระบอบรัฐสภาสู้มาตลอด อาจด้วยเพราะความอ่อนวัยของเขาและไม่ใช่คนที่มีภาพลักษณ์ประเภทที่จะไปต่อสู้กับใครอย่างชนิด กัดให้จมเขี้ยว นายอภิสิทธิ์จึงทำตัวเหมือนคนที่รักษาฟอร์ม(ดี)มาตลอด(อีก) ถึงกับถูกมองว่า ไม่ติดดิน ซึ่งเขาต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปว่าจริงหรือไม่ที่เขากล่าวกันนั้น
บุคลิกของการเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา ยิ่งมั่นใจมากขึ้น ที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ก็เชื่อมั่นในระบอบรัฐฐสภาเช่นเดียวกัน เพราะ การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง เท่ากับว่าสีเขียวก็สนับสนุน หนทางเข้าสู่อำนาจย่อมสดใส ยิ่งเงื่อนไขของพันธมิตรฯก็ไม่ได้ทำให้เขาหนักใจเท่าใดนักเลย
เอ้า...เมื่องานสำเร็จกันอย่างนี้แล้ว จะไปฉลองกันที่ไหนล่ะ.....?
ส่วนว่าการบริหารบ้านเมืองจะ Change ได้เหมือน นายบารัก โอบามา หรือไม่ ก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคจากปัจจัยภายในมากนักแล้ว
สส.พรรคเพื่อไทยและเพื่อแผ่นดินบางส่วนก็ย่อมกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านไปปริยาย มีคนเสื้อแดงเป็นฐานสนับสนุนคอยก่อกวนใจให้บ้างตาม กำลังน้ำเลี้ยง จะเป็นม็อบทั่วๆไป มีเงินก็มา เงินหมดก็กลับ แล้วจะเอาเงินมาจากไหนกันนักกันหนา...หือ?
ว่ากันเรื่องแนวทางการทำงานต่อไปของรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะต้องยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักการสำคัญแล้ว เนื้องานใหญ่คือ การรื้อฟื้นระบบเศรษฐกิจประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติทางเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุดเท่าที่เครื่องมือและอำนาจรัฐจะมีให้ใช้
โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อายุของรัฐบาลน่าจะอยู่ที่ภารกิจหลักคือเรื่องความสามัคคีและเศรษฐกิจ แม้นายจาตุรนต์ ฉาย แสง จะเสนอว่ารัฐบาลควรมีอายุบริหารงานแค่ 3 เดือน แล้วยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนก็ตาม
เพราะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นเมื่อนำไปผูกโยงกับเงื่อนเวลา หากแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว ก็ต้องหันกลับมาถามเสียงประชาชนเป็นธรรมดา ส่วนจะใช้วิธีการใดนั้น ต้องหาความคิดร่วมกันของประชาชนทั้งประเทศ
ว่าจะยุบหรือจะแก้ หากจะแก้-แก้อย่างไร จึงจะเป็นวิธีที่นุ่มนวลที่สุด เขาคงไม่ดันทุรังเหมือนที่แล้วมา ต้องใช้สถานการณ์ในอดีตเป็นบทเรียน
หากได้รับโอกาสให้เป็นนายกรัฐมนตรีก็มีความพร้อมทำงานทันทีเพราะได้เกาะติดปัญหาของสถานการณ์บ้านเมือง เศรษฐกิจมาโดยตลอด และเคยให้ความเห็นไว้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะต้องมีคำตอบชัดเจนเรื่องเศรษฐกิจ อาเซียน การต่างประเทศ หรือการศึกษาอย่างไร ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีถ้าผู้นำรัฐบาลจะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองได้ เพราะเงื่อนไขของรัฐบาลผสมอาจทำให้หลายคนเกิดความกังวลใจในเรื่องความเป็นเอกภาพในเรื่องการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ
ขอยืนยันว่าหัวหน้ารัฐบาลชุดใหม่ควรเป็นผู้นำทีมเศรษฐกิจเอง
ไฮต์ไลต์ของเนื้องานนายกฯคนใหม่ที่เป็นจุดสนใจของประชาชนทั้งประเทศก็คือ เรื่องการถอนพาสปอร์ตแดงพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะเรียกเสียงหวีด-กรีดร้องแบบพอใจและไม่พอใจจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเขากล่าวไว้ว่า
..คดีความต่าง ๆ ว่า ทุกอย่างต้องว่าไปตามเนื้อผ้า เป็นไปตามระเบียบ ยืนยันว่าจะไม่มีการเกี้ยเซี๊ยกับ พ.ต.ท.ทักษิณเด็ดขาด ผิดคือผิด ไม่ผิดก็คือไม่ผิด นี่ต้องว่ากันทุกๆ คดีด้วยนะครับ ..รับรองว่ามีซี๊ดปากกันทั่ว
เขามั่นใจเป็นเพราะได้ตระหนักแล้วว่าการโต้ตอบใดๆ ในตอนนี้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ล้วนไม่มีประโยชน์ต่อพรรค ปชป.และประเทศชาติประชาชน ก็ขนาด พี่เนวินยังไม่คบกันแล้ว ก็น่าจะพอ..แล้ว จัดการซะ..ท่านฑูตกษิต
รวมถึงการดำเนินคดีของกลุ่มพันธมิตรและทุกฝ่าย อีกทั้งจะตรวจสอบความไม่โปร่งใสกรณีรถเมล์ 4 พันคัน และฝายแม้วด้วย หากโครงการมีปัญหาก็ต้องหยุด แต่ถ้าถูกต้องก็เดินหน้าต่อไป
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นระเบิดเวลาอีกลูกที่ถูกผูกติดขานายอภิสิทธิ์เอาไว้อีกลูกหนึ่ง เพราะเป็นชนวนที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งของประชาชนทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง ครั้นจะไม่แก้ก็ไม่ได้ จะแก้ก็ต้องระมัดระวัง เหมือนการปลดชนวนระเบิดที่ต้องอาศัยทั้งผู้เชี่ยวชาญและ จังหวะเวลาที่เหมาะสม ขืนบุ่มบ่ามทะเร่อทะร่า...แกะมันขึ้นมาแก้ มีหวัง เละคามือ ปชป.ไม่ได้เกิดไปอีกนาน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ควรทิ้งค้างไว้ แต่กระบวนการต่าง ๆ จะต้องทำให้เสร็จ โดยต้องหารือร่วมกันกับฝ่ายต่างๆ ก่อนจากทุกภาคส่วน
ไม่ต้องการเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคน จึงต้องหากระบวนการแก้ไขที่เป็นการปฏิรูปการเมืองที่ทุกฝ่ายยอมรับ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลชุดต่อไปที่ควรทำให้แล้วเสร็จ
ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีที่นายเนวิน ชิดชอบ คนสำคัญของ ปชป.ในยามนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล ก็เพราะ ทุกอย่างมันจบแล้วครับนาย
ผมยืนยันว่าไม่เคยมีเงื่อนไขต่อรองกับกลุ่มเพื่อนเนวินว่าจะนิรโทษกรรมให้กับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน ซึ่งคุณเนวินก็ยืนยันว่าไม่มีใครสงสัยอะไร ผมได้พูดชัดเจนถึงเงื่อนไขกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายแล้ว
(ผม)ไม่เป็นเบี้ยล่างของใคร
คิดว่าคนที่เป็นนายกฯต้องยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก จากทุกกลุ่ม
"ผมมั่นใจว่าหากพรรคได้รับโอกาสให้บริหารประเทศที่จะเรียกความเชื่อมั่นให้ได้กลับมาโดยเร็วที่สุด คือในระยะเวลาที่สั้นที่สุดภายใน 2-3 เดือนความเชื่อมั่นต้องชัดเจน ส่วนประเด็นรายละเอียดปลีกย่อยว่าแต่ละโครงการจะสำเร็จเมื่อไหร่คงต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง
ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศกล่าวไว้ก่อนโหวต โดยแสดงถึงการมีวุฒิภาวะ(Maturity) ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ (Competency) และบุคลิกภาวะผู้นำ (Leadership) อย่างมั่นใจว่าจะนำพาประเทศชาติไปรอด
หากเทียบเป็นคะแนนการประเมินตนเอง(Self .sment)เหล่านี้กับนายสมัคร และนายสมชายแล้ว จะต่างกันอย่างสิ้นเชิง คะแนนไม่โดดขึ้นเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แต่เขาประคองตัวไปเท่าๆ กันทุกด้าน
ดังนั้น ไม่ว่าวันนี้-พรุ่งนี้หรือวันไหนๆ พรรคประชาธิปัตย์น่าจะกินขาดไปได้ตลอด...หากไม่สะดุดขา(กับคนรอบข้าง)และ สถานะของพรรคเพื่อแผ่นดิน(แตก)เสียก่อน
ต้องให้โอกาสแก่คนรุ่นใหม่บ้างนะ ป๋า..ใครๆก็สะกดคำว่าความสามัคคี สงบสุข เพื่อประชาชนเป็นเหมือนกัน
ส่วนใครจะ Change ตามผมหรือไม่ก็ตาม แต่ผม Change ให้นายอภิสิทธิ์ เหมือนที่คนอเมริกันเขารอการ Change ของนายบารัก โอบามา แบบเดียวกัน......
ที่มา
http://www.oknation.net/blog/nn1234/2008/12/15/entry-1