เรื่องเล่าจากชาวปืนแฝด Perazzi MX 8 และประวัติความเป็นมา

[FABBRI]

               หลังจาก ที่ Ivo ไปแล้ว ก็ เหลือ  สอง เสือ  โดยมี  Maria  เป็น พนักงาน ทำทุกอย่าง

ตั้งแต่เก็บกวาด  พนักงานต้อนรับ พนักงานขาย  ติดต่อ ต่างประเทศ ยัน เลขา ของ โรงงาน   

รวมถึงกันชน ของ สองเสือ ซึ่งงานก็ราบรื่น ดี

    เพราะ  Ennio วันๆ ก็นั่งอยู่แต่ในห้อง ขีดๆเขียน ๆ ออกแบบปืน  ปรับปรุงออกแบบกลไกและรูปทรง  MX 8

ให้ดีกว่า หลากหลายมากกว่าเดิม
 
      Daniele ก็มีหน้าที่ต้อนรับ คุยโขมงโฉงเฉง กับ ลูกค้า จากทุกมุมโลก ที่เข้า มาเยี่ยมโรงงาน 

มีเวลาก็ตรวจชิ้นส่วนต่างๆของปืน ดูช่างประกอบปืน และ ออกตระเวนประมูลหาไม้ชั้นเยี่ยมยอด

มาทำพานท้ายปืน Perazzi ต้องยอมรับ และเป็นที่ยอมรับ จากโรงงานปืนทั่วอิตาลี่ว่า

นาย Daniele เป็นชุดยอดนักดูไม้ เขาสามารถดูออกว่าไอ้ไม้ซุงท่อนนี้เมื่อเลื่อยออกมาแล้ว

จะได้ไม้ที่สวยงาม และ เหมาะที่จะ มาทำพานท้าย ได้กี่อัน ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะมองออก

   Mauro ก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา

    ในปี 1973 ก็มีนักกีฬา ยิงเป้าบินจากแดนสยาม ไปเยี่ยมเยียน และ สั่งปืน MX8 เข้ามาหลายกระบอก

ทั้งดำๆด่างๆ เป็นจรกา และ บางกระบอกก็มีลวดลายสวยงาม เป็นรุ่น  SC3  SCO  SCOExtra
 0026


0029

 
  ในช่วงนี้ก็ได้มีปืนหลายแบบ หลายทรง แต่ โครงสร้างภายใน ก็คือ MX8 และเร่งรัดจัดส่งปืนที่มีนักกีฬายิงเป้าบิน

จากทั่วทุกมุมโลกสั่งเข้ามา

  ในปี 1975  Perazzi โดยการออกแบบของ Ennio ในรูปแบบของปืนสำหรับล่าสัตว์ปีก และ ยิง Sporting

ที่เพิ่งจะเริ่มเล่นกัน ในชื่อว่า MT 6   MT ย่อมาจาก Montreal Olympics  6 ย่อมาจาก 1976 

 โดยการเปิดตัวที่ เมือง Montreal  ประเทศ Canada ในช่วงที่กำลังมีมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติ ปี 1976

  ผู้ที่จะสั่งปืน M.T.-6 นี้ได้ ต้องเป็นนักกีฬาหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกีฬาเป้าบินที่ Montreal เท่านั้น

ปืนรุ่นนี้จึงมีจำนวนไม่มากนัก กว่าจะส่งปืนได้หมดก็เข้าไปปี 1982  ด้วยราคา $ 2500

จากนั้นก็ เปลี่ยนไปเป็นรุ่น MX  12 แทน

       โครงสร้างยังคงใช้ของ MX 8 แต่ตัวโครงได้ เซาะ เป็นเส้น  6 เส้น ทั้ง สามด้าน

อันเป็น สัญษลักษ์ ของ   Montreal Olympics 

   นอกจากนั้น ชุดลั่นไกแบบตายตัวถอดถอนไม่ได้ เกาะติดหนับเป็นงูเห่า+ปลาไหลเลย

เอ้ยไม่ใช่ ต้องดูดติดเป็นปลิงขะแมดูดเลือดเลย และ เปลี่ยน จาก สปริง แหนบ แบบ V  เป็นสปริงแบบ ขดลวด 

ที่บริเวณห้ามไก ก็สามารถเลือกที่จะยิงลำกล้อง ล่าง หรือ บน ก่อนได้

   ลำกล้อง มีให้เลือกความยาว  30 นิ้ว หรือ 32 นิ้ว และไม่มี Side Rib คือ ลำกล้องล่างและลำกล้องบนไม่ติดกัน

ทาง Perazzi ให้เหตุผลว่า ต้องการให้วาดปืนได้สะดวกและรวดเร็ว โดย Side Rib โปร่งไม่ทำให้ต้านลม

มีสะพานโปร่งแบบขั้นบันได บนลำกล้อง  ที่ปลายลำกล้อง สามารถปรับม่านกระสุนให้สูงหรือต่ำ

จากจุดเล็งได้ตามต้องการ

  โช๊ค M.T. -6 เป็นโช๊คที่สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ มีให้มากับปืน   5  ตัว

Extra Full – Full – Im Modified – Modified – Im Cylinder แต่จริงๆแล้ว ที่โรงงานทำออกมา

 มีตั้งแต่ Skeet – 1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11 ตรงปลายโช๊ค ด้านหนึ่งเป็นเกลียวละเอียดที่ขันเข้ากับลำกล้องปืน

อีกด้านหนึ่ง เป็นฟันเฟือง เพื่อใช้กุญแจขันให้แน่น  โช๊คแต่ละตัว ปรับแต่งด้วยมือ และ กระดาษทรายละเอียด ที่ละตัว

ยิงไปก็ปรับแต่งไป ให้ได้ม่านกระสุนแคบหรือกว้าง สวยงาม ตามที่ช่างต้องการ

  กระโจมมือถูกออกแบบใหม่ แกะเป็นลายเส้น ไม่ได้เป็นข้าวหลามตัดแบบทั่วๆไป

จุด Lock กระโจมมือก็ออกแบบใหม่ ใช้กดเข้าหาตัว

พานท้ายและกระโจมมือ เป็นไม้ วอลนัท  ชั้นดี แกะลาย 24 เส้น ต่อนิ้วเป็นอย่างต่ำ

กระเป๋า ทำจาก ลูก โอ๊ก เอ ลูกโอ๊ก เล็กนิดเดียว ทำไม่ได้  ต้อง ไม้ จากต้น โอ๊ก บุภายในด้วย

 หนังแกะพร้อมขน หย็อกหย็อย ส่วน หลัง นะ ไม่ใช่ รอบวงตา มีรูมีช่องให้เสียบ ? โช๊คและกุญแจ 

ภายนอกห่อหุ้มด้วยหนังแกะที่โกนขนทิ้ง จะได้ไม่รกตา ไม่มีสิ่งสกปรก เกาะติด  จะลูบจะจับ ก็ไม่ จักกะจี้มือ

 
นี่คือ รถกะบะ ที่ประกอบด้วยมือ  โทษ ที่  บังเอิญ โรงงานที่ประกอบ ชื่อ Rolls Royce นะครับ


0171


0174


0175


0180


0183


0186


0189


0192

0195copy


0196


0199


0204


0205


0210


0211

0216



( แต่ ที่จริงแล้ว Perazzi ยังหาทางแก้ไขไม่ได้ เรื่องลำกล้องที่เปลี่ยนโช๊คได้ ในปืนลำกล้องแฝด ที่เพิ่งจะคิดค้นได้ ให้มี Side Rib
ผ่านไปอีกนานก็สามารถทำ Side Rib ได้ แต่เปลี่ยนโช๊คได้แต่ลำกล้องเดียว อีกลำกล้องเปลี่ยนไม่ได้
และต่อมา จึงทำโช๊คให้หลบไปข้างในและ มีSide Rib เปลี่ยนโช๊คได้ทั้ง 2 ลำกล้อง)

[FABBRI]

    และแล้วในปี 1978 ก็มีปัญหากระทบกระทั่งกันอีกระหว่าง เสือ สองตัว  Ennio จึงได้ออกมาพร้อมกับ Maria


โดย ขายหุ้นให้กับ Clever ครึ่งหนึ่งและ Perazzi  ครึ่งหนึ่ง  โดย Clever จ่ายให้ Ennio เป็นเงินสด  Perazzi  จ่ายเป็นปืน


กระบอกสุดท้ายที่ส่งให้Ennio เป็นค่าหุ้น คือปืน MX 8 Skeet ในปี 1998   


ในปัจจุบัน Ennio มีความสุขกับ การออกแบบและผลิตเครื่องดีดเป้า ยี่ห้อ Mattarelli 

[STeelShoTS]

โช๊ค M.T. -6 เป็นโช๊คที่สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ มีให้มากับปืน   5  ตัว

Extra Full – Full – Im Modified – Modified – Im Cylinder แต่จริงๆแล้ว ที่โรงงานทำออกมา

 มีตั้งแต่ Skeet – 1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11


   
    ....  ไม่เข้าใจตรงตัวหนังสือสีแดงครับ...      หมายถึงมีโช๊คสกีตให้เลือก 11 เบอร์ ไล่ลำดับจาก Skeet-->IC ใช่หรือไม่ครับ ?

[FABBRI]

โช๊ค M.T. -6 เป็นโช๊คที่สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ มีให้มากับปืน   5  ตัว

Extra Full – Full – Im Modified – Modified – Im Cylinder แต่จริงๆแล้ว ที่โรงงานทำออกมา

 มีตั้งแต่ Skeet – 1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11


  
    ....  ไม่เข้าใจตรงตัวหนังสือสีแดงครับ...      หมายถึงมีโช๊คสกีตให้เลือก 11 เบอร์ ไล่ลำดับจาก Skeet-->IC ใช่หรือไม่ครับ ?

 ในอิตาลี่ ขนาด กว้าง และ แคบ ของโช๊ค จะใช้ เป็นเบอร์  เริ่มจาก Skeet (ไม่มีโช๊ค )  จากนั้นก็เริ่ม ที่ เบอร์ 1 จะกว้างที่สุด  แคบที่สุด คือ 11


 

[FABBRI]

          เสียง คำราม ของเครื่อง  Ferrali   และ  Benz 600  ที่ตะบึ่งเข้ามายังโรงงาน Perazzi 

 จอดยังที่จอดส่วนตัวของครอบครัว Perazzi  ทั้งสองเปิดประตูรถ แล้ว  Perazzi  ผู้พ่อ ก็ สบตา Perazzi Jr 

ด้วยแววตา ฉงน พอๆกับ สายตาลูกที่ส่งมายังพ่อ  Mauro ผลักประตู ที่มีระบบ ความปลอดภัยสูง

จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แทบจะกดปุ่ม ปด Lock ไม่ทัน Mauro เบี่ยงตัว ให้ผู้พ่อเดินเข้าไปก่อน

สบตากับเจ้าหน้าที่ สัญญาณ บอกว่า แขกอยู่ที่ห้องยาว  Margaletta  เลขา ของ Mauro วิ่งหน้าตาตื่น

ออกมาจากห้องยาว แล้วรายงานเจ้านาย ชนิด น้ำไหลไฟแลบ อย่างที่เรารู้ๆกัน  อิตาลีโน  นั้นไซ้

ก็  เจ็กยุโรป  ธรรมดาๆๆ
 
    เรื่องมีอยู่ว่า  หลังจาก ที่ Clever ซึ่งถือหุ้นอยู่ 50 % จากการขายของ Ivo และ Ennio 

ก็ไม่เห็นได้กำรีกำไร จาก Perazzi เลย

เพราะ Perazzi เอาแต่ปรับปรุงโรงงาน ขยายให้ใหญ่ขึ้น เครื่องไม้เครื่องมือ ให้ทันสมัยขึ้น 

ในปี 1985 จึงได้ขายหุ้นทั้งหมดให้กับ Beretta ที่กำลังไล่บี้คู่คี่ กับ Perazzi ในเรื่องปืนยิงเป้าบิน 

โดย Clever และ Beretta ไม่ได้แพร่งพราย ให้ใครรู้เลย

 
  หลังจากเจรจากันอยู่ หลายเดือน  จึง บรรลุ ข้อตกลง Perazzi ยินยอม จ่าย $ 10,000,000  ให้กับ Beretta

ในเวลา  3 ปี และในปี  1991 Perazzi ก็อยู่ในครอบครอง ของ ตระกูล Preazzi  มาจนปัจจุบัน

  ปืน Perazzi  ทำออกมาหลายรุ่นมาก บางรุ่นก็ไปไม่รอด เช่น MX 1 ถึง  7
 
 ในปัจจุบัน  ปืนที่ Perazzi  ผลิตออกมา ก็ยังคงใช้ โครงสร้างและ กลไก ที่ Ennio ออกแบบไว้ คือ  MX 8 และ  MT 6

มีการเปลี่ยนแปลง ของ MX 8 เช่น ทำพานท้ายปรับได้  ทำ Rib ปรับได้  ( MX 10 และ MX 2000 ) 

ทำโครงสร้างให้เล็กลง เพื่อใช้กับกระสุนขนาด 20 G ( MX 8 -20 )  แต่ยังดี ที่ ชุดลั่นไก ยังคงใช้ร่วมกับ MX 8 ได้

 ในส่วน MT 6  ก็ได้ดัดแปลง เป็น  MX 12  แล้วก็ย่อส่วนลงมา เป็น MX 20   MX 28   MX 410

ตาม ขนาดและโครงสร้างของกระสุน

สุดท้ายนี้  ก็คงต้องจบ เรื่อง  Perazzi  แต่เพียงเท่านี้
 
เรื่องต่างๆ ที่ ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านอ่านมาถึง ณ บัดนี้  เป็นเรื่องที่ เล่าขานกัน ในหมู่เพื่อน ฝูง หรือ คนคุ้นเคย

ไม่มีเขียนในตำราหรือหนังสือเล่มใดๆ  ผิดถูกประการใด ข้าพเจ้า ขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว

( แต่กระผมคิดว่า น้อยคนนักที่จะรู้เรื่อง เหล่านี้)   

ต่อไปก็คงต้อง ไป ท้ารบ กับ   Beretta  SO และ  UGB 25 Xcel   และ ต่อ ด้วย  Fabbri   

ใช่ไหมครับ ท่าน ลูกซองสั้น และ ท่าน ชลทุกทิศ                       

[STeelShoTS]

โช๊ค M.T. -6 เป็นโช๊คที่สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ มีให้มากับปืน   5  ตัว

Extra Full – Full – Im Modified – Modified – Im Cylinder แต่จริงๆแล้ว ที่โรงงานทำออกมา

 มีตั้งแต่ Skeet – 1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11


  
    ....  ไม่เข้าใจตรงตัวหนังสือสีแดงครับ...      หมายถึงมีโช๊คสกีตให้เลือก 11 เบอร์ ไล่ลำดับจาก Skeet-->IC ใช่หรือไม่ครับ ?

 ในอิตาลี่ ขนาด กว้าง และ แคบ ของโช๊ค จะใช้ เป็นเบอร์  เริ่มจาก Skeet (ไม่มีโช๊ค )  จากนั้นก็เริ่ม ที่ เบอร์ 1 จะกว้างที่สุด  แคบที่สุด คือ 11


 

[ลูกซองสั้น]

ท่านพี่ Fabbri ตอบสั้นจัง ผมขออนุญาติแปลไทยเป็นไทยสักครั้งนะครับ 
อ้อ แล้วท่านพี่โปรดอย่าติดใจ ครั้งหน้าท่านพี่ตอบแบบยาวๆหน่อยก็ได้นะครับ

Full choke ในปืนลูกซองขนาด 12 จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของปลายโช้คเล็กกว่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำกล้องอยู่ .040 นิ้ว
โรงงาน Perazzi เลยเรียกโช้คของตัวเองเป็นเบอร์ ไล่ไปตามขนาดความแตกต่างเบอร์ละ .004 นิ้ว
ดังนั้น เบอร์ 1 คือโช้คที่แคบกว่าลำกล้องอยู่ .004 นิ้ว ไงครับท่าน เบอร์ 2 ก็แคบลง .008 นิ้ว ไล่ๆกันไป
จนถึงเบอร์ 10 เป็น Full choke ก็แคบลง .040 นิ้ว ลงตัวตามขนาดมาตราฐานของลำกล้องลูกซองขนาด 12 ครับ
ส่วนเบอร์ 11 ก็เป็น Extra Full ไงครับ

[STeelShoTS]

ท่านพี่ Fabbri ตอบสั้นจัง ผมขออนุญาติแปลไทยเป็นไทยสักครั้งนะครับ 
อ้อ แล้วท่านพี่โปรดอย่าติดใจ ครั้งหน้าท่านพี่ตอบแบบยาวๆหน่อยก็ได้นะครับ

Full choke ในปืนลูกซองขนาด 12 จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของปลายโช้คเล็กกว่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำกล้องอยู่ .040 นิ้ว
โรงงาน Perazzi เลยเรียกโช้คของตัวเองเป็นเบอร์ ไล่ไปตามขนาดความแตกต่างเบอร์ละ .004 นิ้ว
ดังนั้น เบอร์ 1 คือโช้คที่แคบกว่าลำกล้องอยู่ .004 นิ้ว ไงครับท่าน เบอร์ 2 ก็แคบลง .008 นิ้ว ไล่ๆกันไป
จนถึงเบอร์ 10 เป็น Full choke ก็แคบลง .040 นิ้ว ลงตัวตามขนาดมาตราฐานของลำกล้องลูกซองขนาด 12 ครับ
ส่วนเบอร์ 11 ก็เป็น Extra Full ไงครับ

กระจ่างครับ....     ตอนแรกผมเข้าใจว่า Choke Skeet มี 11 เบอร์

[ลูกซองสั้น]

ผมเจอรูปผลงานนวัตรกรรมของ Daniel  ที่นึกไม่ถึงว่าจะคิดได้
ผลงานชิ้นนี้ ผมคิดว่าคงจะเหมาะกับเกมส์ American trap ครับ
ดูจากรูป ใครจะคิดว่า การเปลี่ยนชิ้นส่วน Middle bead ก็เหมือนกับการปรับศูนย์หลังของปืนไรเฟิล

อ้อ นวัตรกรรมชิ้นนี้ ต้องใช้ร่วมกับพานท้ายแบบปรับได้ด้วยครับ เป็นการขายควบไปเลย

[Choltit]

ลายเข้มจังเลยครับ  ดูขรึมแบบลายเสือ
ผมมีสัญชาติสเปน ลายทำนองนี้  แต่ก็ไม่ได้เข้มขนาดนี้ครับ 
สีมันเข้มอย่างนี้เองโดยไม่ได้รีทัชใช่ไหมครับ ?

[Choltit]

หันมาดูของผม  ช่าง"บ่อมิไก๊"เอาซะเลย....   

[FABBRI]

ลายเข้มจังเลยครับ  ดูขรึมแบบลายเสือ
ผมมีสัญชาติสเปน ลายทำนองนี้  แต่ก็ไม่ได้เข้มขนาดนี้ครับ 
สีมันเข้มอย่างนี้เองโดยไม่ได้รีทัชใช่ไหมครับ ?

แฮ่ๆๆ ผม รีทัช หรือ ทัช  ไม่เป็น ครับ  เป็นแต่ หยิบกลับบ้าน เลย

การรมดำแบบนี่ เป็น  รมดำแบบ  Bone charcoal case hardening  ครับ

ปัจจุบัน Perazzi  ไม่ทำแล้ว

[boon_tae]

สวยมาก..........

[ptt66]

ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าและรูปภาพมากครับ

[pzz48]

โอ้....สวยครับ