กระสุนปืนเรือก็หนักถึงตันห้าแล้ว คงทำได้รถไฟได้หลายขบวน รถโฟล์คเต่าหลายพันคัน สงสัยจังเลยพี่เทคโนโลยี่ต่อเรือสมัยใหม่ญี่ปุ่นไปเรียนมาจากไหน จากเยอรมันหรือเปล่าครับ หลังสงครามทางเรือกับรัสเซียก่อนสงครามโลกครั้งที่สองยังมีแต่เรือรบไม่มากที่จำได้คือเรือTAMIYA ครับที่ได้ออกศึกทางทะเล
เยอรมันกับดัทช์ครับ
สมัยเมจิของญี่ปุ่นตรงกับ ร.5 ของไทย และมีการปฏิรูปประเทศพร้อมกัน ไทยถูกจอห์น เบาริง บังคับให้เปิดประเทศ เก็บภาษีสินค้าขาเข้าได้ไม่เกิน 3% ส่วนญี่ปุ่นถูกอเมริกันบังคับให้เปิดประเทศ เก็บภาษีได้ไม่เกิน 5% แต่ญี่ปุ่นโชคดีกว่าไทย ที่ฝรั่งเศสกับอังกฤษ มุ่งเป้าไปกินโต๊ะประเทศจีน มองผ่านญี่ปุ่นไป ทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาประเทศได้เร็วกว่าไทย คือไทยได้แค่ประคองตัวให้รอดปากเหยี่ยวปากกา ส่วนญี่ปุ่นมองการพัฒนาประเทศว่าจะต้องยิ่งใหญ่เหมือนฝรั่งหรือเหนือกว่าฝรั่ง
นอกจากนั้น ไทยเรามีประชากรเพียง 5 ล้านคน เป็นทาส 2 ล้าน เป็นไพร่ 2 ล้าน เป็นคนต่างด้าวอีก 9 แสน เหลือ citizen แค่แสนคน ตีว่าเป็นผู้ชายห้าหมื่น ถ้าสรุปว่ามีการศึกษา 10% ก็เหลือห้าพันคน ส่วนญี่ปุ่นมี 30 ล้าน เป็นซามูไร 2 ล้าน พอญี่ปุ่นปฏิรูประเทศ ยกเลิกชนชั้นซามูไร แต่ซามูไรเป็นพวกมีการศึกษา เพราะสมัยก่อนมีหน้าที่เก็บภาษีไปส่งให้ไดเมียว พอไม่มีงานทำ ซามูไรก็ผันตัวเองไปประกอบอุตสาหกรรม เพราะแทรกตัวเข้าไปในระบบพ่อค้าไม่ได้แล้ว บางส่วนอาจจะไปเป็นมาเฟียบ้าง แต่ราชสำนักได้สนับสนุนให้ซามูไรก่อตั้ง School of source หลายแห่ง ที่ใหญ่ที่สุดคือ Dutch learning แต่ไป ๆ มา ๆ ราชสำนักก็เลือกแบบเยอรมัน คือญี่ปุ่นมีรัฐธรรมนูญตั้งแต่สมัยเมจิ เป็นรัฐธรรมนูญแบบเยอรมัน ที่มีรัฐบาล มีกองทัพ แต่กองทัพไม่ขึ้นกับรัฐบาล ขึ้นตรงต่อประเจ้าจักรพรรดิ์เหมือนที่กองทัพเยอรมันขึ้นตรงกับพระเจ้าไกเซอร์
เมื่อถูกบังคับให้เปิดประเทศ อุตสาหกรรมภายในประเทศของไทยก็พินาศพร้อมกับญี่ปุ่น เพราะสินค้าราคาถูกที่ผลิตในอินเดียกับอาฟริกาเข้ามาตีตลาด ความที่ทรัพยากรบุุคลที่มีคุณภาพของไทยมีน้อยกว่าญี่ปุ่น เราจึงทำได้แค่ผลิตสินค้าภายในประเทศเพื่อทดแทนสินค้านำเข้า ส่วนญี่ปุ่นเขาตั้งเป้าไปที่การผลิตสินค้าเพื่อส่งออกขายแข่งกับฝรั่ง อย่าลืมว่าปืนเล็กยาวแบบแรกที่กองทัพไทยทำการคัดเลือกและทดสอบแบบถูกต้องตามหลักวิชาสมัยใหม่ คือปืนเมาเซอร์ ที่ไปจ้างญี่ปุ่นผลิตให้ใน พ.ศ.2443