http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000131320มองแสนยานุภาพชายแดนไทย-มาเลย์
โดย สิริอัญญา 25 กันยายน 2548 18:23 น.
ในพลันที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่หมู่บ้านตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ก็ปรากฏข่าวจากทางด้านมาเลเซียว่ากองทัพมาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารจำนวนสามกองพันมาประชิดที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อป้องกันสกัดกั้นไม่ให้คนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย
สื่อมวลชนไทยก็รายงานข่าวไปตามนี้คือเป็นการเคลื่อนกำลังมาเพื่อป้องกันคนไทยข้ามแดนไปมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย
ความหมายมันอยู่เพียงเท่านั้นจริง ๆ หรือ? ความจริงไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะมีความละเอียดอ่อนอยู่มากและเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่างประเทศ แต่เมื่อพิเคราะห์แล้วก็เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง มิฉะนั้นเพื่อนร่วมชาติของเราก็จะมองข้ามหรือลืมมองเรื่องสำคัญที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อบ้านเมือง
คงจะจำกันได้ว่าหลังเกิดกรณีกรือเซะและตากใบแล้ว มาเลเซียได้เคลื่อนกำลังทหารขึ้นมาที่ชายแดนหลายระลอก ครั้งละสองกองพันบ้าง สามกองพันบ้าง และหลาย ๆ กองพันในแนวหลังที่พอเห็นได้ว่าพร้อมจะเป็นกำลังหนุนกำลังส่วนหน้าที่วางกำลังอยู่ตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย
ไม่เคยปรากฏข่าวว่ามีการถอนกำลังทหารเหล่านั้นออกไปจากชายแดนไทย และมาบัดนี้เคลื่อนกำลังเพิ่มเติมเข้ามาอีกสามกองพันพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย หากประมาณคร่าว ๆ ถึงแสนยานุภาพที่เคลื่อนขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วก็เห็นจะมีกำลังร่วมสองกองพลแล้ว
ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางนาวีที่มาเลเซียเตรียมกองเรือดำน้ำเพ่นพ่านอยู่ในทะเลหลวง ซึ่งใช้ระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถมาถึงแนวคลองกระแถวสงขลาและไม่ช้าไม่นานก็ถึงแนวคลองกระชั้นบน แม้กระทั่งถึงพังงาด้วยซ้ำไป
ไม่รวมถึงแสนยานุภาพทางอากาศที่ ณ วันนี้ใครรู้ดีช่วยบอกทีเถิดว่าหากเปรียบเทียบแสนยานุภาพทางอากาศกันแล้วระหว่างไทยกับมาเลเซียจะเป็นประการใด?
กองกำลังมากมายขนาดนี้ มันเป็นไปเพียงเพื่อสกัดกั้นคนไทยไม่ให้ข้ามแดนเท่านั้นหรือ? ตรงนี้แหละขอให้ช่วยกันคิดให้ดี
แล้วแสนยานุภาพของเราในพื้นที่นั้นละมีเท่าใด? รับมือเขาไหวหรือ?
และนี่ไม่ใช่หรือที่เป็นพลังแอบแฝงแล้วหนุนช่วยให้ปฏิบัติการก่อความไม่สงบยืดเยื้อรุนแรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ กระทั่งบางหน่วยงานและบุคคลสำคัญบางคนของมาเลเซียถึงกับประกาศว่าจะต้องแยกดินแดนสามจังหวัดออกเป็นรัฐอิสระหรือเป็นเขตปกครองพิเศษ แล้วทำให้รัฐบาลไทยต้องกระอักกระอ่วนใจตลอดมา!
ก่อนอื่นก็ต้องขอย้ำว่าเราคัดค้านสงคราม เราต้องการสันติ เราต้องการสันติภาพ ต้องการความสงบสุข การกระทำใด ๆ ไม่ว่าของใครและของชาติใดที่เกื้อหนุนต่อการเกิดสงคราม ทำลายสันติ ขัดขวางสันติภาพ และสร้างความทุกข์ยากขึ้นแก่มนุษยชาตินั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชาติไทยและประชาชาติใด ๆ ในภูมิภาคนี้เลย
วันก่อนได้แย้มพรายไว้บ้างแล้วว่าเมื่อราว 2 เดือนก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยื่นต่อสภาผู้นำศาสนาอิสลามโลกที่กรุงเตหะราน กล่าวหาประเทศไทยอย่างหน้าด้าน ๆ ว่ากีดกันข่มเหงรังแกมุสลิม นั่นก็เพื่อบอกสัญญาณให้เพื่อนร่วมชาติได้รู้ว่ามีอันตรายซ่อนตัวอยู่ ควรที่พี่น้องร่วมชาติทุกคนจะตื่นตัวขึ้นมาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจไม่คาดคิด
ทั้งยังได้เตือนด้วยว่าควรที่นายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะคนที่รู้เรื่องนี้ในประเทศไทยของเราก็มีอยู่
ต้องบอกอีกว่าบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียนั้นมีคนสองสัญชาติอยู่เป็นจำนวนร่วม 300,000 คน และเป็นไปในทางมากกว่า 300,000 คน ส่วนจะเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดนั้น ถึงวันนี้ย่อมเป็นเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยจะต้องทำความกระจ่างและให้เกิดความชัดเจนเพื่อที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องด้านความมั่นคงจะได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการปฏิบัติการ
นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงคนสองสัญชาติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2548 ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก แต่ก็นับว่าเป็นการเสนอประเด็นที่ถูกเป้าเข้าจุด และขออย่าให้เป็นการพูดเลื่อน ๆ ลอย ๆ เพราะนี่คือปมเงื่อนสำคัญที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ตามกฎหมายสัญชาติประเทศไทยถือหลักสองหลักคือหลักดินแดนและหลักสายเลือด นั่นคือใครเกิดในดินแดนไทยและมีพ่อหรือแม่เป็นไทยก็จะได้สัญชาติไทย แต่ขณะเดียวกันหากละสัญชาติไทยไปถือสัญชาติอื่นหรือไปถือสัญชาติอื่นโดยไม่สละสัญชาติไทยก็เป็นอันว่าสิ้นสัญชาติไทยด้วย
ทว่านั่นเป็นหลักกฎหมาย แต่ในการปฏิบัติกลับไม่มีการปฏิบัติกันเลย จึงเป็นเหตุให้คนในพื้นที่นั้นนอกจากถือสัญชาติไทยแล้วยังไปถือสัญชาติมาเลเซีย โดยได้รับการเอื้อเฟื้อเป็นพิเศษให้ถือสัญชาติมาเลเซียด้วย หากจะว่ากันตามกฎหมายคนเหล่านี้เป็นอันสิ้นสัญชาติไทยแล้ว
การที่สิ้นสัญชาติไทยเพราะถือสัญชาติใหม่แล้วฉวยโอกาสข้ามแดนไปมาเลเซียแล้วบอกว่าเป็นคนไทยอพยพหลบภัยจึงไม่เป็นธรรมกับประเทศไทย และเป็นเรื่องที่หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์ของรัฐพึงชี้แจงทำความเข้าใจให้ชัดเจนทั้งภายในประเทศและต่อประชาคมโลก
มิฉะนั้นก็จะมีบางชาติฉวยเป็นโอกาสกระหน่ำซ้ำตีประเทศไทยเพื่อดึงสหประชาชาติให้เข้ามาจัดการปัญหาภายในของประเทศไทย
คนที่สิ้นสัญชาติไทยไปแล้วแต่ยังแอบอิงว่าเป็นคนไทย หากยังมีสิทธิ์ลงประชามติกันในวันข้างหน้าก็พอจะคิดได้แล้วว่าอะไรจะเกิดกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แม้ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อยเพราะเรายังมีมิตรประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เข้าใจและยืนข้างประเทศไทย แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องนี้จึงต้องป้องกันเอาไว้แต่เนิ่น ๆ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม รวมทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ ควรจะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาอย่างจริงจัง
ที่มันน่าเจ็บใจก็คือมีการสวมรอยเอาคนชาติอื่นทำทีมาเป็นคนไทย ทำอะไร ๆ ลงไปในพื้นที่นั้นแล้วบอกว่าเป็นการกระทำของคนไทย ทำให้คนไทยฆ่ากันเอง
กลับมาที่กองกำลังทางบกของมาเลเซียตามแนวชายแดนที่ประมาณการว่ามีจำนวนร่วมสองกองพลนั้นมันหายไปไหนเป็นส่วนใหญ่? เพราะถ้าหากไม่ถอยออกไปก่อน จำนวนที่เคยเคลื่อนขึ้นมานั้นก็พอเพียงอยู่แล้วถ้าหากจะมีบทบาทเพียงสกัดคนไทยข้ามแดน เว้นเสียแต่ว่ากำลังพลเหล่านั้นได้สลายตัวไปแล้วแปรสภาพเคลื่อนย้ายเข้ามาในแดนไทย ทำตัวเป็นคนสองสัญชาติ
แปลงตัวเป็นคนสองสัญชาติทดแทนจำนวนคนที่ย้ายถิ่นฐาน ซึ่งปรากฏตามข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยว่ามีจำนวนถึงเดือนละประมาณ 15,000 คน
คนสองสัญชาติแปลงกายที่เนื้อแท้เป็นทหารของฝ่ายตรงกันข้ามย่อมมีศักยภาพที่จะทำการสงครามทั้งนอกรูปแบบและทำสงครามแบบแผนได้โดยไม่ได้ด้อยไปกว่าทหารของไทยเลย
หรือว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งที่ทหารเวียดนามสวมรอยเป็นทหารลาวแล้วเปิดศึกร่มเกล้ากับประเทศไทยในอดีต!
ดังนั้นการที่กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทวีความรุนแรงมากขึ้น ขยายตัวมากขึ้น และยืดเยื้อมากขึ้น จึงแยกไม่ออกกับการเปลี่ยนโฉมแปลงร่างดังกล่าว มันเป็นปรากฏการณ์สวมรอยและฉวยโอกาสหลังจากสถานการณ์พลิกผันจากปัญหาผู้มีอิทธิพลอำนาจมืดมาเป็นปัญหาแบ่งแยกดินแดนแล้ว
ก็อยากบอกเตือนรัฐบาลว่าการฟังรายงานที่ผิดพลาดอย่างต่อเนื่องแล้วย่อมทำให้เกิดผลเช่นนี้
ตัวอย่างล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีแถลงว่านาวิกโยธินสองนายถูกสังหารตั้งแต่ตอนรุ่งสาง แล้วหมอพรทิพย์เผยผลการชันสูตรว่าถูกสังหาร ณ เวลา 14.00-15.00 น. ก็คือความซ้ำซากของความผิดพลาดของรายงาน และถ้าความผิดพลาดนั้นขยายไปถึงบุคคลที่ถูกระบุว่า รู้ตัวคนร้ายหมดแล้ว ก็จะนำไปสู่การจับกุมหรือปฏิบัติการที่ผิดพลาดและขยายผลร้ายต่อไป
และอยากจะบอกย้ำด้วยว่าอย่าไปเชื่อรายงานว่าไม่มีเขตปลดปล่อย ทั้งอยากจะถามด้วยว่าสิ่งที่เรียกว่าเขตปลดปล่อยนั้นรู้จักมันดีแล้วหรือว่ามันคืออะไร? มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันพัฒนาและดำเนินการไปอย่างไร? และระดับไหนที่ถือว่าเป็นเขตปลดปล่อย?
เพราะในวันนี้กว่า 760 หมู่บ้านในจำนวนทั้งหมดราว 1,500 หมู่บ้านมีแกนหลักปฏิบัติงานและเป็นเขตปฏิบัติการของฝ่ายตรงกันข้าม โดยที่เราให้ความคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินแก่ประชาชนไม่ได้ และกลไกรัฐก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติไม่ได้ นี่คือสิ่งที่จะต้องสะกิดใจและพิจารณาไตร่ตรองให้จงดี
การที่มีแสนยานุภาพของต่างชาติแอบแฝงเข้ามาในรูปคนสองสัญชาติก็ดี และมาประจัญอยู่ที่ชายแดนร่วมสองกองพลเป็นอย่างน้อยก็ดี มันไม่สมกับข้ออ้างที่ว่าเพื่อสกัดคนไทยข้ามแดน และความจริงก็คือมาเลเซียไม่เคยจับคนข้ามแดนเลยแม้แต่คนเดียว
แต่นั่นมันคือปรากฏการณ์ให้ความคุ้มครองกับฝ่ายที่ก่อความไม่สงบ ป้องปรามแสนยานุภาพของกองทัพไทยให้ขยับตัวไม่ได้ คิดเรื่องนี้กันบ้างหรือยัง?
ในพื้นที่นั้นแสนยานุภาพทางบกของเราก็มีเพียงบางจุด และมีอัตรากำลังไม่ถึงสองกองพล โดยยังไม่ต้องพูดถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ว่าของใครมีประสิทธิภาพกว่ากัน และยิ่งงานมวลชนด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดอีกเลย
เมื่อรวมแสนยานุภาพทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ตลอดจนมวลชนของฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว มันด้อยกว่า พอ ๆ กัน หรือเหนือกว่าแสนยานุภาพของกองทัพไทยกันแน่? ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องให้ความสนใจโดยพลัน
เพราะเราอาจเสียดินแดนได้โดยพลันเหมือนกัน!
บทเรียนในอดีตที่เวียดนามเคยเสนอให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยืมกำลังทหารร่วมสามสิบกองพันเพื่อเป็นกองหน้าตัดภาคอีสานออกจากประเทศไทย โดยมีแสนยานุภาพของนายพลเทียนวันดุง 300,000 คนหนุนอยู่ข้างหลังนั้นควรจะได้หยิบยกขึ้นพิจารณาศึกษาว่ามันกำลังเกิดขึ้นซ้ำรอยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่?
ดีที่ว่าครั้งกระโน้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีจิตใจรักชาติจึงปฏิเสธข้อเสนอ หาไม่แล้ววันนี้ภาคอีสานก็อาจจะไม่ใช่ของไทยอีกต่อไป
แล้วกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่นั้นน่ะหรือจะมีความคิดจิตใจแบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต แล้วเราจะทำกันอย่างไร?
รัฐบาลจะมัวถือว่าเรื่องนี้ไม่สร้างสรรค์ไม่ได้แล้ว และจะมัวเห็นว่าเรื่องการเร่งตัวเลขต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจสำคัญกว่าปัญหาความมั่นคงไม่ได้แล้ว
เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้นขึ้นลงได้ ขาดดุลแล้วก็ได้ดุลได้ แต่หากเสียดินแดนแล้วก็ยากที่จะได้คืน ดังนั้นจึงควรต้องยกเอาปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาหลักเร่งด่วนที่สุดของชาติตั้งแต่บัดนี้ไป
รัฐบาลทักษิณ 2 จะเป็นประการใดก็เห็นจะชี้ขาดกันด้วยปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี่แหละ!