บิลล์ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบุคคลสำคัญในเมืองไทยมากมาย ทั้งในวงการทหารและการเมือง
แต่เมื่อลองประเมินความเป็นไปได้แล้ว เขาพบว่าบรรดาคีย์แมนทางทหาร ยังไม่ให้ความสำคัญ
กับการต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์มากนัก เขาจึงได้หันไปทางหน่วยงานตำรวจ
ภายใต้การแนะนำของชนชั้นสูงของไทย
และต่อมา บิลล์ได้พบรัก และแต่งงานกับสุภาพสตรีจากวงสังคมชั้นสูงของกรุงเทพ ซึ่งเป็นน้องสาวภริยาของ พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา อดีตเสรีไทย ผู้สนิทแนบกับหน่วย OSS (Office Of Strategic Service) ซึ่ง OSS ก็คือหน่วยข่าวกรองต่อต้านญี่ปุ่นในสงครามโลก
ต่อมาหลังสงครามจึงกลายเป็น CIA
ซึ่งเท่ากับบิลล์เป็นคู่เขยกับ พล.อ.อ. สิทธิฯ สิ่งนี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จัก และเข้าสมาคมกับสังคมชั้นสูงได้ดี อีกทั้งยังเป็นการปิดบังภารกิจแท้จริงของเขาด้วย
ล่วงมาถึงปี ๒๔๙๖(1953) ประธานาธิบดีทรูแมนของอเมริกา พ้นจากตำแหน่ง ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวร์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ นโยบายของอเมริกา ต่อการต่อสู้คอมมิวนิสต์ เริ่มชัดเจนมากขึ้น รายงานต่างๆ ที่บิลล์ ส่งไปยัง บก.ของ CIA ทำให้อเมริกา เห็นความสำคัญ ต่อการใช้ประเทศลาว เป็นสมรภูมิ เพื่อขัดขวางการขยายตัว ของลัทธิคอมมิวนิสต์
ในห้วงเวลานั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม กุมอำนาจถือหางเสือรัฐนาวาไทย ซึ่งแม้ว่าไทยจะได้รับ " ความช่วยเหลือทางทหาร " จากอเมริกา ในรูปแบบต่างๆ มากโขอยู่ แต่นโยบายของจอมพล ป. ก็ยังไม่อยากพาประเทศ เข้าไปวุ่นวายกับกิจการของประเทศอื่น ในภูมิภาคนี้และเช่นเดียวกัน อเมริกาก็ไม่ปลื้ม กับบทบาทของจอมพล ป. เท่าใดนัก ภาพเก่าๆ สมัยจอมพล ป. ยังกอดกันกลม กับฮิเดกิ โตโจ ยังตามหลอกหลอนผู้นำอเมริกาอยู่
ที่กรมตำรวจไทย ในขณะนั้น " อั้งเผ่า " พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้กุมบังเหียนความสงบภายใน อธิบดีเผ่า เห็นด้วยกับแนวคิดของเขา ที่จะต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ แนวคิดการจัดตั้งหน่วยขนาดเล็ก แต่ขีดความสามารถสูง ทำการหาตระเวนข่าวตามตะเข็บชายแดน จึงปรากฎเป็นรูปร่างขึ้น ในพื้นที่ " ตำบลบ่อฝ้าย " ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ ของ อ.หัวหิน
มีสนามบินสำหรับทำการฝึกพลร่ม การยังชีพในป่า และปัจจัยของสงครามพิเศษครบถ้วน ภายใต้การฝึก โดยครูฝึกจากหน่วยสงครามพิเศษอเมริกา(Special Force Unit : Green Baret) (ก่อนที่พลร่มจะมาอยู่ที่บ่อฝ้าย ได้ใช้พื้นที่ของค่ายเอราวัณ ลพบุรี มาก่อน แต่พื้นที่บ่อฝ้ายเดิม
CIA ก็ใช้เป็นพื้นที่ฝึก-เตรียมคน สำหรับสงครามลาวอยู่แล้ว)
โดยที่บิลล์ มีเพื่อนคู่คิด และที่ปรึกษาคนสำคัญ คือ " ประเนตร " (หรือชื่อจัดตั้ง " ลี วัง ") คอยเป็นพี่เลียง ประสานงานทุกอย่างให้
(พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีต ผบช.ตชด.ช่วงปี ๒๕๒๓-๒๕๒๔ ที่ท่านเสธ.ดำ เคยกล่าวถึงไว้แล้ว)
" พารู " (Police Aerial Resupply Unit :PARU) คือชื่อจัดตั้งเป็นครั้งแรกของหน่วยนี้ ซึ่งปรากฎเป็นรูปเป็นร่าง ในปี ๒๔๙๘(1955) ระยะแรก พารูมีกำลังพลอยู่ในระดับกองร้อยเท่านั้น ต่อมาจึงขยายตัวเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันเป็นหน่วยระดับกองบัญชาการ คือกองบัญชาการ ตำรวจตระเวนชายแดน และค่ายฝึกพารูเดิม ปัจจุบันกลายมาเป็นค่ายนเรศวร ของตำรวจ ตชด. ในปัจจุบัน
ตำรวจไทย " กระโดดร่ม " ก่อนทหาร และภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ " กองทัพตำรวจ " ติดอาวุธครบครัน มีทั้งอำนาจการรบ และกฎหมายอยู่ในมือ ที่พร้อมจะรับใช้รัฐบาล กำจัดศัตรูทางการเมือง
ปี ๒๕๐๐(1957) จอมพลสฤษฎิ์ปฏิวัติ จอมพล ป. ขอลี้ภัยไปที่ญี่ปุ่น และจบชีวิตลงที่นั่น ส่วนในลาว ความวุ่นวายระหว่างลาวสามฝ่าย ยังคงดำเนินต่อไป มีการสู้รบระหว่างฝ่ายกลาง+ขวา และฝ่ายซ้าย หลายครั้ง(ใครส่งอาวุธให้ ?) แม้จะมีความพยายามในการเจรจากันก็ตาม
(ประเทศลาวในขณะนั้น มีประชากรอยู่ไม่น่าจะถึง ๒ ล้านคน)
หลังการปฏิวัติของจอมพลสฤษฎิ์ " กองทัพตำรวจ " ที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร ก็หงอยลงในทันที
แต่การดำเนินงานของบิลล์ ยังคงเดินหน้าต่อไป