เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 16, 2024, 01:22:44 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "พระพุทธเจ้า: ผู้ประกาศศักยภาพความเป็นมนุษย์ " ( ไม่เหมาะก็ลบได้ครับ)  (อ่าน 1560 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 05:19:41 PM »

พระพุทธเจ้า: ผู้ประกาศศักยภาพความเป็นมนุษย์

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 21 กุมภาพันธ์ 2551 ภาคจุดประกาย หน้า 8
ดร.โสภณ พรโชคชัย*
 
พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้อวตารหรือถูกส่งมายังโลกนี้ นี่คือความจริงที่ไม่อาจบิดเบือน
แต่ในภายหลังพระพุทธเจ้ากลับได้รับการยกฐานะให้แปลกแยกไปจากความเป็นมนุษย์
บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงพระพุทธเจ้าในแง่มุมที่เป็นมนุษย์ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและถือเป็นแบบอย่างใ
นการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุธรรมได้
 
 
          ผมเขียนบทความนี้จากการอ่านหนังสือ “คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ วรรณกรรมพุทธประวัติในทัศนะใหม่”
ที่แปลมาจากหนังสือ “Old Path White Clouds: Walking in the Footsteps of the Buddha”
ของท่านภิกษุ ติช นัท ฮันห์ และได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยโดย คุณรสนา โตสิตระกูล
และคุณสันติสุข โสภณสิริ ซึ่งจัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง
 

ฝึกฝนเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
          มนุษย์ผู้กลายเป็นศาสดานี้ ศึกษาจนรอบรู้ทั้งศาสตร์และศิลปอย่างกว้างขวางลึกซึ้ง
สมัยที่ยังเป็นเด็กนั้นศึกษาจนเก่งคณิตศาสตร์อย่างหาใครเทียบไม่ได้ มีความตั้งใจเรียนด้านภาษาและประวัติศาสตร์
อีกทั้งยังฝึกฝนกีฬาจนชนะเลิศในการแข่งขันทุกประเภททั้งยิงธนู ฟันดาบ ขี่ม้าและยกน้ำหนัก
พระพุทธเจ้ามีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการแสวงหาโอกาสศึกษา

          ก่อนตรัสรู้ พระพุทธเจ้ายังศึกษาคัมภีร์ศาสนาอื่นจนหมดสิ้น
น้อมใจเป็นศิษย์ในหลายสำนักโดยพำนักแห่งละ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง
จนพลังภาวนาและพลังสมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบหนทางที่แท้จริงได้ในช่วงแรก
นี่แสดงชัดว่าผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ต้องศึกษาอย่างจริงจังต่อเนื่องจนรู้แจ้งเพื่อนำมาสังเคราะห์ด้วยตนเองในที่สุด
 
 
ผู้ตื่นรู้จากความเชื่อเดิม
 
          พระพุทธเจ้าหมายถึงบุคคลผู้ตื่นและมีความรู้แจ้งต่อการเปลี่ยนแปลง
ความเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งที่มีทั้งความเกื้อหนุน ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ต่อกันและกัน
พระพุทธเจ้าบรรลุถึงหนทางไปสู่การดับทุกข์ในระดับต่าง ๆ ตามศักยภาพของมนุษย์แต่ละคน
พระพุทธเจ้าสอนว่าบุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชาอย่างงมงาย
และไม่อาจกำจัดความโกรธ ความกลัวได้ด้วยการเก็บกดความรู้สึก ต้องใช้ปัญญาให้เกิดการรู้จริงถึงปัญหา

          พระพุทธเจ้ายังกล่าวว่า คำสอนเป็นวิธีการในการบรรลุถึงความจริง แต่มิใช่เป็นตัวความจริงเอง
เป็นมรรควิธีแห่งการปฏิบัติ มิใช่เป็นอะไรที่มีไว้สำหรับยึดถือหรือบูชา ดังนั้นใครก็ตามแม้อ่านและจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด
แต่ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่อาจรู้แจ้ง คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งลี้ลับยากเย็น เพราะแม้แต่เด็ก ๆ
วรรณะจัณฑาลผู้ไม่มีการศึกษา ก็ยังฟังเข้าใจ

          พระพุทธเจ้าเน้นความเป็นวิทยาศาสตร์โดยกล่าวว่า หากการหมายรู้ของบุคคลถูกต้องแม่นยำ
(ด้วยการใช้ข้อมูล ความรู้และปัญญา) ความจริงก็จะปรากฏ พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อและยอมรับต่อสิ่งที่สอดคล้อง
กับมโนธรรมสำนึก ต่อสิ่งที่บัณฑิตผู้มีคุณธรรมและปัญญายอมรับและสนับสนุน และต่อสิ่งที่เมื่อปฏิบัติแล้ว
สามารถยังประโยชน์และความสุขแก่ทุกฝ่าย คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่อิงกับศรัทธาความเชื่อที่ห้ามโต้แย้ง
พระพุทธเจ้าสอนให้เคารพอย่างแท้จริงต่อเสรีภาพทางความคิด
 
 
ความเป็นมนุษย์ของพระพุทธเจ้า
          พระพุทธเจ้าก็มีความชอบส่วนบุคคล เช่น โปรดประทับภาวนาท่ามกลางป่าประดู่ลาย
มีความไม่พอใจ เช่น เคยดุว่าพระราหุล หรือมีความเศร้าในยามที่ภิกษุกลุ่มหนึ่งไม่ใส่ใจรับฟังคำชี้แนะ
พระอรหันต์เช่นพระสาลีบุตรก็แสดงอารมณ์เศร้าโดยการเก็บตัวอยู่แต่ในกุฏินับแต่พระโมคคัลลานะถูกฆาตกรรม จ
นพระพุทธเจ้าไปเยี่ยมปลอบใจ เป็นต้น

          ในด้านศิลป พระพุทธเจ้ายังเป่าขลุ่ยได้ รู้จักชื่นชมในสิ่งอันสุนทรีย์โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความสวยงาม
หรือความน่าเกลียด นอกจากนี้ยังเคยฝึกเลียนเสียงช้างจนเหมือน ซึ่งครั้งหนึ่งนำไปใช้ในยามคับขัน
ที่ช้างดุร้ายเชือกหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา พระพุทธเจ้าเปล่งเสียงช้างออกมาดังสะท้านจนช้างเชือกนั้นหยุดชะงักในทันที

          พระพุทธเจ้ายังอาจพูดใหม่ แก้ไขให้ถูกต้องได้ กล่าวคือ ครั้งหนึ่งบอกให้พระอหิงสกะ (องคุลิมาล)
บอกแก่หญิงผู้หนึ่งว่า ตั้งแต่ตนเกิดมา ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใด พอพระอหิงสกะทักว่า ถ้ากล่าวเช่นนั้นก็เท่ากับพูดเท็จ
พระพุทธเจ้าจึงให้พระอหิงสกะกล่าวใหม่ว่า นับแต่วันที่ตนถือกำเนิดในอริยธรรม ไม่เคยประทุษร้ายชีวิตใดเลย เป็นต้น
 
 
ต่อครอบครัวและความรัก
          พระพุทธเจ้ากล่าวสัจจพจน์สำคัญกว่า “ที่ใดที่รัก ที่นั่นมีทุกข์” เพราะความผูกพัน หากสูญไป
ก็เสียดาย โดยเฉพาะความรักที่อยู่บนฐานของราคะ ตัณหา และความยึดติด
แต่ก็ยังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยความปรารถนาดีและต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
หรือที่เรียกว่า เมตตาและกรุณา ซึ่งถือเป็นความงามประเภทเดียวที่ไม่จางหายและไม่ก่อให้เกิดความทุกข์

          พระพุทธเจ้าแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนรวมเป็นอย่างดี เช่น การระมัดระวังในการปฏิบัติต่อสงฆ์
กลุ่มที่เป็นญาติโดยไม่ให้สิทธิพิเศษใด การเข้มงวดแม้กระทั่งภิกษุณีมหาปชาบดี
พระราหุลก็ไม่เคยนอนในกุฏิเดียวกับพระพุทธเจ้า พระราหุลยังเคยปรารภว่า
พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิบัติต่อท่านอย่างชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่พระอหิงสกะ (องคุลิมาล)
กลับได้รับคำยกย่องอย่างสูงยิ่งในฐานะโจรกลับใจผู้มีความอดทนสูงส่ง เป็นต้น
 
 
 
มุมมองใหม่ในสิ่งที่เคยเชื่อ
          ปกติเราเชื่อว่าภิกษุไม่ควรสัมผัสสตรี แต่เราก็คงเคยเห็นองค์ทะไล ลามะ
หรือท่านภิกษุ ติช นัท ฮันท์ สัมผัสมือกับสตรี ในขณะที่พระพุทธเจ้าไปหาพระนางยโสธรา
ก็ยังสัมผัสมือกัน หรือสามเณรราหุลก็ยังเคยสวมกอดพระมารดา เป็นต้น
ข้อนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่แตกต่างระหว่างพุทธศาสนาแบบไทยกับแบบอื่น
ซึ่งแสดงว่าเราควรใช้วิจารณญาณศึกษาเชิงเปรียบเทียบ

          กรณีอดีตชาตินั้น มีกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าเห็นการเกิดและตายทุกครั้งที่ผ่านมา
ซึ่งกรณีนี้คงขึ้นอยู่กับการตีความ หากตีความอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็หมายถึงว่า “สสารไม่สูญหายไปไหน”
พระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า ก่อนที่ตถาคตจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ตถาคตเคยเป็นดินและก้อนหิน
เคยเป็นต้นไม้ เป็นนก และในชาติปางก่อน พวกเราล้วนเคยเกิดเป็นมอส หญ้า ต้นไม้ ปลา เต่า นก เป็นต้น
ดังนั้นพระพุทธเจ้าคงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งเป็นสำคัญ
 
 
ปัญหาสังคมในมุมมองใหม่
          ในสมัยพุทธกาล ความยากจนของชาวนา ปัญหาเด็กพิการ ขอทาน การเจ็บป่วย
เป็นปัญหาที่แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่มีอำนาจที่จะแก้ไข อำนาจของกษัตริย์เปราะบางและมีอยู่อย่างจำกัด
แม้กษัตริย์จะทราบถึงความละโมบและการฉ้อราษฎร์บังหลวง
แต่ก็จำต้องอาศัยพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้รักษาบัลลังก์ ขุนนางเหล่านี้ต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อมุ่งปกป้อง
และสร้างฐานอำนาจของตนเอง ไม่ใช่มุ่งขจัดความทุกข์ยากให้ผู้ยากไร้

          อาจกล่าวได้ว่า การทำทานก็ช่วยบรรเทาทุกข์ผู้ยากไร้ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีจริง
อาชญากรรมและความรุนแรง เป็นผลพวงของความอดอยาก ยากจน วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือประชาชน
และช่วยให้ประชาชนมั่นคงปลอดภัยดี ก็คือการมุ่งสร้างเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ โดยการจัดสรรทรัพยากร ทุน และภาษี เป็นต้น
 
 
สร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน
          ในสมัยนั้น ประชาชนถูกครอบงำกดขี่จากพวกพราหมณ์ โดยต้องยอมเสียเงินให้เพื่อ
รับการทำพิธีที่ถูกต้องแม้ว่าพวกเขาจะยากจนเพียงใด แต่พระพุทธเจ้ากลับมุ่งสร้างความเท่าเทียมในหมู่ชน
โดยแสดงออกด้วยการดื่มน้ำแก้วเดียวกับเด็กชายวรรณะจัณฑาลทั้งยังให้เด็กคนนั้นดื่มก่อน
และยังรับคนจัณฑาลเข้ามาอยู่ในคณะสงฆ์ แต่ทำไมในทุกวันนี้ พุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์กลับแยกกันแทบไม่ออก
ใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนเสริมต่อ และใครได้ประโยชน์จากการนี้

          การช่วงชิงผลประโยชน์ทางการเมือง และการสงครามของกษัตริย์นครต่าง ๆ
ทำให้ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธเจ้าก็เคยห้ามศึกในหมู่ญาติ นี่แสดงว่าหากกษัตริย์หรือข้าราชการ
ไม่ได้รับการควบคุมที่ดี ประเทศไม่ได้เป็น “ประชารัฐ” ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่
ก็ย่อมก่อสงคราม กดขี่และสร้างความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชนได้
 
 
คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า
          ในการเขียนถึงพระพุทธเจ้า เรามักใช้คำราชาศัพท์ พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นเจ้าชายมาก่อน
และหากครองราชย์ ก็อาจเป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลก แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ประสงค์จะอยู่ในวรรณะกษัตริย์
ประสงค์จะใช้ภาษาและคำพูดธรรมดา ดังนั้นการใช้คำราชาศัพท์กับพระพุทธเจ้า
แม้ในแง่หนึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพสูงสุด แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นการไม่นำพาต่อความตั้งใจของพระพุทธเจ้า
ในการสละวรรณะนี้ การใช้คำราชาศัพท์ก็เท่ากับการผูกพันพระพุทธเจ้าไว้กับวรรณะเฉพาะ

          โปรดสังเกตว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ถือตน โดยสมัยที่ลาจากวรรณะกษัตริย์มาบำเพ็ญเพียร
เด็กชายวรรณะจัณฑาลให้หญ้ามาใช้ปูนั่ง ก็ยกมือไหว้ขอบคุณ สมัยเป็นพระพุทธเจ้าก็พนมมือ
น้อมกายเป็นการตอบรับ พระพุทธเจ้าเคยช่วยเด็กวรรณะจัณฑาลตัดหญ้าด้วย
หรือร่วมกับพระอานนท์ช่วยกันอุ้มภิกษุที่อาพาธขึ้นเตียงและเปลี่ยนจีวรให้
แล้วยังขัดถูพื้นกุฏิและซักจีวรที่เกรอะกรังดินของภิกษุดังกล่าว เป็นต้น

          การที่มนุษย์ผู้หนึ่งสามารถบรรลุธรรม จนประกาศศาสนาให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจมานับได้ 2551 ปีเช่นนี้
ทำให้เห็นชัดถึงศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าทั้งทางวัตถุและจิตใจอย่างเอนกอนันต์ได้
เราจึงต้องเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สามารถเป็นอิสระจากอวิชชาด้วยการศึกษาอย่างจริงจังและเป็นวิทยาศาสตร์
เพื่อนำมาสังเคราะห์ด้วยปัญญาให้รู้จริง

          พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่เราเข้าถึงได้ และที่สำคัญอย่าลืม “บุคคลไม่สามารถข้ามพ้นจากอวิชชาโดยการสวดอ้อนวอนและยัญบูชา”
 
 
* ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์
ขณะนี้ยังเป็นกรรมการหอการค้าสาขาจรรยาบรรณ ที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์
ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย
กรรมการบริหาร ASEAN Valuers Association และ ASEAN Association for Planning and Housing
และกรรมการสภาที่ปรึกษาของ Appraisal Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมวิชาชีพ
ประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรส Email: sopon@thaiappraisal.org

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
 

ผมไม่เห็นด้วยครับ  แต่ยัง งงๆอยู่............หรือไงดีครับ

เช่น " ในด้านศิลป พระพุทธเจ้ายังเป่าขลุ่ยได้ "

แต่ทำไมศีล8   "นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณีฯ"ห้ามไว้ละครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 29, 2009, 07:45:31 PM โดย Nattapol » บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 05:46:42 PM »

ผมเชื่อว่าพิธีกรรมต่างๆไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นปรัชญาครองชีวิต พระพุทธเจ้าเป็นครู ไม่ใช่ God 

ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าน่าสนใจศึกษา แต่ผู้สืบทอดแก่นแท้ของพุทธศาสนาห่มจีวรมีแต่ข่าวๆพระเพี้ยนๆ มั่วกามา ในย่ามมีสุราและอาวุธ ในตู้บริจาคเต็มไปด้วยวัตถุ   ผมจึงเลือกวัดที่อยากไป.. ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 29, 2009, 05:55:23 PM โดย ซิกสุราษฎร์ » บันทึกการเข้า
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 06:08:50 PM »

เปรียบเทียบด้วยเหตุผลให้คิด Grin Grin Grin แต่เชื่อไม่เชื่อก็อีกเรื่องหนึ่งครับ
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
ต่อครับ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 216
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4088


(** ^0^ **)


« ตอบ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 06:23:47 PM »

งานเขียนย่อมสะท้อนมุมมองและแนวคิดของผู้เขียนครับ

เราเป็นผู้อ่าน เลือกอ่านเลือกเชื่อได้ตามความเข้าใจของเรา

หากสงสัยในความเข้าใจของเราเอง ก็เปิดรับความคิดอื่นเข้ามา

ไหว้

ขอบคุณพี่ณัฐครับ ที่เอามาแบ่งปันกัน
บันทึกการเข้า

________________________________________

เพื่อชาติ<>ราชบัลลังค์.....ร่วมปกป้องสถาบัน.....
Sundance
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 123
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2609



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 07:23:41 PM »

ชอบครับ ให้ไป 1 คะแนน ไม่เคยให้ใครมาก่อน
บันทึกการเข้า
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 07:47:25 PM »

ชอบครับ ให้ไป 1 คะแนน ไม่เคยให้ใครมาก่อน

กราบขอบคุณ คุณป๋าSundance มากๆครับผม
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #6 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 07:48:33 PM »

งานเขียนย่อมสะท้อนมุมมองและแนวคิดของผู้เขียนครับ

เราเป็นผู้อ่าน เลือกอ่านเลือกเชื่อได้ตามความเข้าใจของเรา

หากสงสัยในความเข้าใจของเราเอง ก็เปิดรับความคิดอื่นเข้ามา

ไหว้

ขอบคุณพี่ณัฐครับ ที่เอามาแบ่งปันกัน

ครับผมอ่านแล้วก็มึนๆอยู่ ( คือ 2 จิต 2 ใจ )

ปล.  ผมค้างไว้ 1 มื้อนะ
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #7 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 08:28:44 PM »

ความเป็นมนุษย์ของพระพุทธเจ้า

........................................................... ...

ในด้านศิลป พระพุทธเจ้ายังเป่าขลุ่ยได้ รู้จักชื่นชมในสิ่งอันสุนทรีย์ "โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความสวยงาม
หรือความน่าเกลียด.... "
      ตรงจุดที่เป็นตัวแดงนี้หล่ะครับตามความเข้าใจของผมคือใจความสำคัญ 
เช่นเดียวกับข้อห้ามที่ภิกษุสัมผัสสตรี ถ้าจับประเด็นมาไม่หมดก็คงอาจเข้าใจเช่นเดียวกับข้างต้นได้

ใน"คู่มือนวโกวาท"  อาบัติมีชื่อ 7 อย่าง  ปราชิกมีโทษหนักสุด สังฆาทิเลสมีโทษอย่างกลาง   ที่เหลืออีก 5 มีโทษอย่างเบา 
และอาการที่ต้องอาบัติมี 6 อย่าง คือ ต้องด้วยไม่ละอาย 1   ต้องด้วยไม่รู้ 1  ต้องด้วยสงสัยขืนทำลง 1  ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร 1 
ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร 1  ต้องด้วยลืมสติ 1

"ท่านพุทธทาส" ยังได้เคยแสดงธรรม  " ปาณาติบาตที่ไม่บาป " ซึ่งท่านเน้นที่เจตนาเป็นหลัก... ไหว้



 
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
Udomkd
รักษ์ธรรมชาติ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3700
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41046



« ตอบ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 10:11:35 PM »

ศาสนาเป็นความเชื่อ ระวังในการพูดถึงศาสนาครับ หากความเชื่อทำให้เกิดความคิดเห็นไม่ตรงกัน จะทะเลาะกันได้

ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ
บันทึกการเข้า

รักมิตร รักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีด้ามขวาน
   รักมิตรรักเพื่อนรักผอง ดั่งขวานทอง ต้องมีคมขวาน
   รักมิตร รักเพื่อน
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10983


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #9 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 10:18:54 PM »

 เยี่ยมขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับ ไหว้
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
Ruk™-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 643
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4012



« ตอบ #10 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2009, 11:55:47 PM »

               ผมบวชเณรหลายพรรษา ตั้งแต่อายุ12 ขวบ มาสึกตอนอายุ18 ปี จบ นธ.เอก เปรียญธรรม 5 ประโยค
    ยอมรับครับว่า ประวัติของพระพุทธเจ้า ผู้แต่งเน้นอภินิหารมากเกินไป จนทำให้ผู้คนลืมไปว่า องค์พระพุทธเจ้า
    ก็คือบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ท่านมีแนวคิด และหลักปรัชญา ที่อ้างอิงหลักธรรมชาติ ความเป็นไป
    ของธรรมชาติ นำมาสอนคนให้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ ให้เชื่ออย่างมีเหตุ มีผล
               หากจะกล่าวว่า พระพุทธเจ้า คือผู้ปฏิวัติความคิดของคนในสมัยนั้น ก็ไม่ผิดนัก เพราะคนอินเดียในสมัยนั้น
    มีความเชื่อที่หลากหลาย หลักๆ มีสองจำพวกกคือ พวกที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ กับพวกที่เชื่อว่าตายแล้วเวียนวายเกิดใหม่
    ท่านสอนให้ผู้คนไม่ยึดติดในวัตถุ ให้ลด ละ เลิก ให้เห็นสัจจธรรมว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อมีการเกิดขึ้น ก็ยอมมีการสูญสลาย
    ดับไปเป็นปกติ เมื่อเราเข้าใจสัจจธรรมตรงนี้ สิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบจิตใจเราไม่ว่าเรื่องดีหรือร้าย หากเรารู้จักปล่อยวาง
    เมื่อเจอในสิ่งที่เราไม่ชอบใจ เราก็ไม่เป็นทุกข์
               แต่มาถึงปัจจุบัน ตั้งข้อสังเกตุดู เจ้ากูแต่ละสำนัก แข่งขันกันสร้างวัตถุมงคล สักเสกเลขยันต์ สวดภาณยักษ์ แก้เคราะห์
     สะเดาะทุกข์โศก ตัดวิบากกรรม ฯลฯ สิ่งต่างๆทั้งปวงนี้ เป็นข้อห้ามในสมัยพุทธกาล บางพิธีอย่างการตัดวิบากกรรม
     แก้กรรมเก่าที่เป็นผลร้าย มันขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง
               หากทำเพื่อหาทุนสร้างถาวรวัตถุ ก็น่าเห็นใจ แต่ทุกวันนี้ มีการโฆษณาวัตถุมงคล พรรณาถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์
    ของวัตถุมงคลนั้นๆ ทั้งๆที่ในสมัยพุทธกาล การกระทำอย่างนี้ ถือเป็นโทษหนักในทางพระวินัย
              หาพระอย่างท่านอาจารย์พุทธทาสยากครับปัจจุบันนี้ พระที่สอนให้คนรู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงเป็นยังไง
   (ซึ่งไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตย และประชาธิปไตยที่แท้จริงของคนเสื้อแดง) คำสอนใหนที่ถูกนำมาประยุกต์
    จนบางคนเข้าใจว่านั่นคือคำสอนของพระพุทธเจ้า
               เรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ ทุกศาสนามุ่งเน้นสอนให้ทุกคนทำความดี และให้ทุกคนเป็นคนดี
    การไปถกเถียงว่าศาสนาใหนมีคำสอนที่ดีกว่า จึงไม่ควรอย่างยิ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2009, 12:16:25 AM โดย Theruk » บันทึกการเข้า

คุณอาจเผาและทำลายบ้านเมืองเราได้ แต่คุณไม่สามารถทำลายความรักชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ของเราไปได้
HS3JBX ทองพูน นุโยนรัมย์ : (คำขวัญประจำจังหวัด) ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานต์กวี คนดีศรีอยุธยา
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2009, 12:07:41 AM »

Einstein himselfe writen that if any religions are accepted by the modern scientific, it's a Buddhism.
 
อัลเบิร์ต ไอสไตน์ บันทึกไว้ว่าหากมีศาสนาไดที่ได้รับการยอมรับตามหลักวิทยาศาตร์สมัยใหม่ ศาสนาที่ว่านั้นคือศาสนาพุทธ

หลักการของวิทยาศาตร์ คือความจริงที่พิสูจน์ได้
 H20=ไฮโดรเจน 2 ส่วน  อ๊อกซิเจน 1 ส่วน ให้ผลลัพธ์ =น้ำ
 ผู้ไดทำเวรกรรมชั่วด้วยการโกงแผ่นดินเกิดได้เงินมา เจ็ดหมื่นกว่าล้านบาท ให้ผลลัพธ์ คือ ผู้นั้นอยู่ในแผ่นดินเกิดไม่ได้ = ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

 Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2009, 12:11:13 AM โดย ซิกสุราษฎร์ » บันทึกการเข้า
khwanphet_NAVY 39
Hero Member
*****

คะแนน 129
ออฟไลน์

กระทู้: 2035


« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2009, 01:09:45 PM »

สาธุ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้ ไหว้
บันทึกการเข้า
RroamD
Colt 1911 Semi Auto & Single Action Only
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 205
ออฟไลน์

กระทู้: 4102



« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2009, 05:50:04 PM »

ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับพี่ ไหว้
บันทึกการเข้า

ปลายทางของการปะทะกันด้วยปืนคือเชิงตะกอนกับเรือนจำ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.14 วินาที กับ 22 คำสั่ง