การที่จะมีสัตว์เหลืออยู่จึงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมและปริมาณสัตว์
ชอบประโยคนี้จริงๆ
การอนุรักษ์ เป็นคนละเรื่องกะ ความเมตตา ใจดี-ใจร้าย ครับ
บางครั้งการอนุรักษ์ จำเป็นต้องมีการล่า เพื่อจำกัดสัตว์บางชนิด ที่มีปริมาณสูงเกินไป ให้พื้นที่นั้น คง สภาพสมดุล ให้มากที่สุด
เพราะสภาพนิเวศ ในปัจจุบันไม่เหมือนสมัยก่อน พื้นที่อนุรักษ์ ถูกถนนตัดเป็น ตาหมากรุก การอพยพของสัตว์ ผู้ล่า ถูกลดวงจรลง บางพื้นที จะมีปัญหา มีสัตว์ผู้ล่ามาก มีอาหารน้อย หรือบางแห่ง จะมี สัตว์ชั้นต้นของห่วงโซ่อาหารเยอะ แต่มีผู้ล่าน้อย
จะมีปัญหา การขาดแคลนอาหารของสัตว์ นั้นๆ ตัวที่เป็นตัวด้อย ไม่ถูกกำจัด โดยวิธีการทางธรรมชาติ ทำให้มัพ่อแม่ พันธุ์ ที่เป็นตัวด้อย -ส่งผลให้ลุกที่ออกมามีลักษณะด้อย จนถึงสูญพันธุ์ในที่สุด
จึงมีการจับสัตว์ จากอีก พื้นที่หนึ่ง ไป ปล่อยผสม พันธุ์ในต่างพื้นที่ มีการออกใบอนุญาตล่า เพื่อจำักัดปริมาณให้เพื่อพอกะอาหาร และกำจัดตัวลักษณะด้อยไปด้วย โดยเอาเงินที่ได้มา ใช้จ่ายในการศึกษา และสงวนพันธุ์สัตว์
นักอนุรักษ์ ส่วนใหญ่ เห็นด้วยกะการ อนุญาตให้ คนท้องถิ่น ได้ล่าสัตว์บ้าง มากกว่าจะใช้ วิธีการปิดตาย ห้ามล่าเลย เพราะถ้าใช้วีธีหลัง จะเกิดการละเมิด ในขณะที่ท้องคนยังหิว ไหนๆก็ผิด กฎหมายแล้ว ก็ล่าทุกอย่างที่มีโอกาส รีบทำเอาปริมาณเยอะให้คุ้มค่าเสี่ยงไปเลย และการล่าได้บ้างจะช่วยกำจัด สัตว์ที่มีลักษณะด้อย ไม่ให้มีโอกาสแพร่พันธุ์
ในเมืองไทย ยกตัวอย่างที่เห็นภาพ ได้ชัดเจนที่สุด คือ การเก็บ รังนก ถ้าปิดตายเลยไม่ให้ทำ ในขณะที่ความต้องการยังมีสูง สภาพความเป้นอยู่ของคนในท้องถิ่นยังมีรายได้น้อย จะเกิดการลักลอบเก็บ และจะควบคุมไม่ได้ เก็บล้างเก็บผลาญ ไปหมด