มีรางวัลนำจับมั้ยครับพี่ป้อม
อย่างในกรณีเราแจ้งเบาะแสข้าม สน.จะได้มั้ยครับ
คุณป้องทอง ช่วยกรุณาอธิบาย ยาไอร์ มันแตกต่างจาก ยาอี อย่างไรครับ
หากมีรูปประกอบก็ดีครับ เห็นที่ตำรวจจับได้เมื่อวันก่อน มีทั้งเม็ดหลากสี
แล้วมีแบบเหมือน พิมเสนด้วย แล้วทำไมมียาลดน้ำมูกด้วย หรือเป็นสารตั้งต้นครับ
ขอบคุณครับ
ยาไอซ์ (ice) หรือเมทแอมเฟตตามีน
เป็นอนุพันธ์หนึ่งของยาบ้า มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายๆ กันจัด เป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 1 ตามพ.ร.บ.ยาเสพติดปี 2522 ลักษณะของเม็ดยา
เป็นผลึกคล้ายน้ำแข็งเป็นที่มาของชื่อยาไอซ์ความ บริสุทธิ์ของยาค่อนข้างสูง ออกฤทธิ์แรงกว่ายาบ้ามากจึงมีคนเรียกว่าหัวยาบ้า การนำไปใช้ โดยการละลายน้ำแล้วฉีดเข้าเส้น
บางคนนำไปเผาแล้วสูดดมควันเหมือนการเสพยาบ้ายาตัวนี้ทำให้อารมณ์เคลิบเคลิ้มสนุกสนานสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทำให้ติดได้ง่ายกว่า และมีอันตรายต่อร่างกาย อารมณ์และ
สังคมของผู้เสพมากกว่ายากลุ่ม amphetamines อื่นๆไม่ได้มีแพร่หลายกันทั่วไปเนื่องจากหายากและราคาค่อนข้างแพง มักจะใช้กันในสังคมไฮโซ นัน ท์ชัตสัณห์ สกุลพงศ์ นัก
จิตวิทยา ศูนย์บำบัดยาเสพติดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยาไอซ์ใช้เหมือนกับยากลุ่ม methamphetamine อื่นๆ คือ สูดดม กลืนหรือสอดใส่ทวารหรืออาจใช้วิธีการสูบหรือฉีด
ซึ่งผลจากยาจะรวดเร็วกว่าผลกระทบของยาไอซ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกาย น้ำหนัก ปริมาณและวิธีการใช้ยาเสพติดผลของยาไอซ์ที่มีต่อร่างกายมีดังต่อไ
ปนี้
รู ม่านตาขยาย เหงื่อออกมาก การมองพร่ามัว วิงเวียน ริมฝีปากแห้ง ความดันโลหิตสูงขึ้น อัตราการหายใจสูงขึ้น อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ปวดหัวอย่างรุนแรง อัตราการเต้น
ของหัวใจเร็วขึ้นและผิดปกติ มือและนิ้วสั่น คลื่นเหียนอาเจียนที่สำคัญคือมีภาวะผิดปกติเสียหายอย่างถาวรของเส้นโลหิตในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้ในปริมาณสูง
และมีผลต่อพฤติกรรมของคนดังต่อไปนี้มี กิจกรรมทางร่างกายมากขึ้น มีอาการหวาดระแวงและวิตกกังวลสูงขีด (panic) เกิดขึ้นเนื่อง พักผ่อนน้อยลงและมีความวิตกกังวลจาก
อาการประสาทหลอนนำไปสู่โรคนอนไม่หลับ เรื้อรังพูดมากขึ้นและมีการทำงานหรือกระทำอะไรซ้ำๆ มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นมีอาการทางจิต
ผู้ใช้ยาไอซ์เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อไปนี้
มี อาการซึมเศร้ารุนแรง ลดความอยากอาหารและน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว หวาดระแวง ย้ำคิดย้ำทำ มีความผิดปกติของปอดและไต ซึ่งอาจถึงตายได้ ประสาทหลอน มีปัญหาเกี่ยว
กับฟัน มีโรคต่างๆ เกี่ยวกับหัวใจนอกจากนั้นการฉีดยา ไอซ์เข้าทางเลือดทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสทางกระแส เลือด เช่น ตับอักเสบแบบ B และ C เชื้อเอดส์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการใช้อุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน
การบำบัดรักษา
มีรายงานว่าผู้ใช้ยาไอซ์และยากลุ่ม Methamphetamme อื่นๆ ไม่ค่อยเข้ารับการบำบัดรักษาเหมือนผู้ใช้ยาเสพติดอื่นการบำบัดรักษาที่เป็นไปได้ขณะนี้คือ ใช้ร่วมกันระหว่างการ
บำบัดทางจิตสังคมและพฤติกรรมรวมทั้งการใช้ยานอกจากปัญหาสุขภาพและมีความผิดตามกฎหมายแล้ว ยาไอซ์ยังทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ อาทิ ปัญหาครอบครัว การเงิน กฎหมาย
และปัญหาส่วนตัวตามมาเช่นเดียวกับยาเสพติดทุกชนิด
อ้างอิงจาก
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=0deeab0887126b79 ยาอี (Ecstasy) หรือยาเลิฟ
ยาอี (Ecstacy) หรือยาเลิฟเป็นสารสังเคราะห์ ที่ออกฤทธิ์ทั้งกระตุ้นประสาท (amphetamine - like) และหลอนประสาท (LSD - like) จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภท 1
ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ยาอี (Ecstasy) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ 3,4 methylenedioxy methamphetamine หรือ MDMA ส่วนยาเลิฟ มีชื่อทางวิทยา
ศาสตร์ คือ 3,4-Methylenedioxy amphetamine หรือ MDA ซึ่งมีสูตรโครงสร้างคล้ายกับ เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า แต่มีฤทธิ์ที่รุนแรงกว่าประมาณ 10 เท่า โดยออกฤทธิ์กระตุ้น
ประสาท และ ทำลายเซลล์สมองที่เกี่ยวข้องกับความคิดและความจำเช่นเดียวกัน
ยาอี หรือยาเลิฟ เสพโดยการรับประทาน ในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล ลักษณะทั่วไปของยาอี คือจะมีเม็ดกลมแบน ด้านหนึ่งนูนหรือเรียบ หรือมีขีดแบ่งครึ่ง อีกด้านหนึ่งพิมพ์รูป
ภาพ หรืออักษรต่างๆ เช่นรูปดอกไม้ ผีเสื้อ การ์ตูน หรือเป็นตัวอักษรเช่น Adam, Love เป็นต้น ชื่อในตลาดมืด (Street names) ได้แก่ อาดัม(Adam), XTC, Essence, Love pill
Martin และคณะได้แบ่งสารที่ออกฤทธิ์หลอนประสาท (Psychedelic drugs) ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ LSD-like , Amphetamine-like และ Mixed โดย Ecstasy ถูกจัดเป็นแบบที่ 3 คือมี
ฤทธิ์ผสมกันระหว่าง LSD และ Amphetamine ดังนั้นเมื่อผู้ใช้ยาได้รับ Ecstasy เข้าสู่ร่างกาย ระบบประสาทส่วนกลางจะถูกกระตุ้นอย่างแรง ผู้เสพจะรู้สึกสนุกสนาน มีอารมณ์เป็น
สุข และมีอาการประสาทหลอน เห็นภาพที่ผิดปกติ (Visual Illussion) ได้ยินเสียงผิดธรรมชาติ (Audiotory Hallucination) ความคิดสับสน หวาดวิตก อาการทางกายที่ปรากฎคือ
หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น หายใจเร็ว นอนไม่หลับ กล้ามเนื้อกระตุก มีอาการอยู่ไม่สุข ยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากเสพเข้าไปภายในเวลา 30 - 45 นาที และมี
ฤทธิ์อยู่ในร่างกายได้ประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง แล้วถูกขับออกจากร่างกายทางเหงื่อ และปัสสาวะ หมดภายในประมาณ 72 ชั่วโมง ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ในสัตว์ทดลอง MDMA/MDA
ออกฤทธิ์ไปทำลาย Tryptaminergic nerve terminal (ปลายประสาทที่หลั่งสาร 5-HT) ผลคือร่างกายจะขาดสาร serotonin ซึ่งร่างกายต้องใช้เวลานานในการสร้างขึ้นมาทดแทน
และการสร้างทดแทนจะไม่สามารถทำให้สมบูรณ์เหมือนเดิม ผลของการขาด Serotonin จะทำให้ผู้เสพรู้สึกซึมเศร้ามากหลังจากที่ยาหมดฤทธิ์ ด้วยฤทธิ์หลอนประสาทระหว่างที่ยา
ออกฤทธิ์ และอาการซึมเศร้าหลังการใช้ยานี้เอง น่าจะเป็นสมมติฐานของอุบัติการฆ่าตัวตายในระหว่างการใช้ยา การใช้ MDMA/MDA ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคจิต (psychosis) เช่นเดียวกับสารกระตุ้นประสาทตัวอื่นๆ
อาการเป็นพิษจากการเสพยาอี จะแสดงออกทางระบบประสาท คือทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพและได้ยินเสียงหลอน ผู้ที่เสพยาจะมีอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
อย่างมาก เกิดอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อและไต เป็นโรคจิตแบบหลงผิด (paranoia) ความคิดสับสน ซึมเศร้า วิตกกังวล คลื่นไส้ ตาพร่ามัว เหงื่อออกมาก
ถ้าได้รับเกินขนาดจะมีอาการหัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อเกร็งตัว ตื่นตกใจกลัว ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการชักหรือหมดสติ ระบบหายใจล้มเหลว ช็อค และ
เสียชีวิตได้
บทกำหนดโทษ
- ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออก ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาท ถึงห้าล้านบาท
- ผู้เสพ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน - 3 ปี หรือปรับตั้งแต่10,000 - 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อ้างอิงจาก
http://www.fda.moph.go.th/fda-net/html/product/addict/narcotics2/ecstacy.html