ที่สุดแห่งการตัดสินใจผิด
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 268 วันที่ 17-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
.................................................. .
ทุกคนย่อมเคยตกอยู่ในสภาวะต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งจ ากของสองสิ่ง หลายครั้งที่เราตัดสินใจผิดอยากย้อนเวลากลับ
ไปเพื่อตัดสินใจเลือกใหม่แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ สำหรับคนทั่วไปการตัดสินใจที่ผิดพลาดไม่ค่อยมีผลเสีย หายเท่าไรนัก แต่
สำหรับนักธุรกิจแล้ว การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงเม็ด เงินหลายหมื่นล้านละลายหายไปกับ
สายลมต่อหน้าต่อตา
สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆมักใช้เงินลงทุนสูงและเสี่ยงต่อการ ยอมรับของตลาดผู้บริโภค นักลงทุนจึงต้องมีความรอบคอบในการตัดสิน
ใจ และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่พวกเขาคิดคือสินค้าจะติดตลาดห รือไม่ หากพิจารณาดูแล้วเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง นักลงทุนส่วน
ใหญ่จะปฏิเสธ ทำหมันโครงการเหล่านั้นโดยทันที
ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต บางครั้งบางหนพวกเขาก็ตัดสินใจผิดเมื่อปรากฏว่าบริษั ทคู่แข่งผลิตสินค้าชนิดเดียวกับที่เขาเพิ่งบอก
ยกเลิกโครงการไปหมาดๆ และขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สิ่งเดียวที่ทำได้คือนั่งมองตาปริบๆคิดเสียดายโอกาสท องที่ตัว
เองปล่อยให้ลอยหลุดมือไป
ของเล่นเด็ก
ปี 1876 โทรเลขเป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่ส ุด โดยมีบริษัทเวสเทิร์นยูเนี่ยน (Western
Union) ผูกขาดธุรกิจนี้แต่เพียงผู้เดียวในอเมริกา ต่อมาอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบล (Alexander Graham
Bell)
อเล็กซานเดอร์เสนอขายสิทธิบัตรการผลิตโทรศัพท์เป็นมู ลค่า 100,000 ดอลลาร์ แต่หลังจากที่พิจารณาอย่างถ้วนถี่
แล้ว วิลเลี่ยมยอมรับว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ไม่เคยมีมาก่อน หากแต่ว่ามันไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ
ได้ มันเป็นได้อย่างมากก็แค่เพียงของเล่นเด็กเท่านั้น ไม่มีทางมาแทนที่สิ่งประดิษฐ์ล้ำยุคอย่างโทรเลขได้
หลังจากที่ผิดหวังกับบริษัทเวสเทิร์นยูเนี่ยน อเล็กซานเดอร์กลับมาพัฒนาสิ่งประดิษฐ์จนสามารถใช้งาน ได้จริง เขาเปิดบริษัท
ให้บริการการสื่อสารทางโทรศัพท์และประสบความสำเร็จอย ่างล้นหลามในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น
ทางด้านวิลเลี่ยมรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดพลาด พยายามขอซื้อกิจการจากอเล็กซานเดอร์ แต่ถึงตอนนี้อเล็กซานเดอร์ไม่คิดจะขาย
แล้วเพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าธุรกิจนี้จะทำเ งินได้หลายสิบล้านดอลลาร์ วิลเลี่ยมจึงตั้งทีมวิศวกรขึ้นมาวิจัยเพื่อประดิษฐ์
โทรศัพท์แข่งกับอเล็กซานเดอร์ แต่ถูกฟ้องร้องเนื่องจากอเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นทะเบียน ลิขสิทธิ์เอาไว้
บริษัทเวสเทิร์นยูเนี่ยนพลา ดโอกาสทองไปอย่างไม่น่าให้อภัย ส่วนบริษัทเบลของอเล็กซานเดอร์เติบโตจนกลายเป็นบริษั ท
ยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดบริษัทหนึ่งในอเมริก า และยังคงดำเนินกิจการมาจนถึงปัจจุบัน
เบียร์เห่ย
เบียร์ชลิตซ์ (Schlitz) เป็นเบียร์ยี่ห้อเก่าแก่ของอเมริกา มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งและถูกจัดอันดับให้เป็น
บริษัทผลิตเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1902 โดยมีคู่แข่งที่สำคัญคือ บัดไวเซอร์ (Budweiser) จนกระทั่งถึงปี
1957 บัดไวเซอร์สามารถทำยอดขายแซงหน้าชลิตซ์ไปได้ทำให้โรเ บิร์ต อีไลน์ (Robert Uihleins) เจ้าของ
เบียร์ชลิตซ์คิดหากลยุทธ์ใหม่มาช่วงชิงตำแหน่งคืน
โรเบิร์ตคิดว่าหากสามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น ก็จะทำให้สามารถกระจายเบียร์ชลิตช์ครอบคลุมพื้นที่ได ้
มากขึ้น โอกาสที่คนจะซื้อหาเบียร์ชลิตซ์ก็มีมากขึ้น แต่การขยายโรงงานไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ อีกทั้งยังต้องใช้
เงินลงทุนสูง
ถ้าหากจะไม่ขยายโรงงานและไม่เพิ่มต้นทุน ทางออกก็คือต้องลดเวลาการบ่มเบียร์เพื่อให้ผลิตเบียร ์ได้มากขึ้นในช่วง
เวลาเท่าเดิม ลดคุณภาพของส่วนผสมเพื่อให้ต้นทุนถูกลง ได้ปริมาณที่มากขึ้น คิดได้ดังนั้น โรเบิร์ตสั่งการให้ลดเวลา
การบ่มเบียร์จาก 40 วันเหลือเพียง 15 วัน ลดปริมาณบาร์เลย์และมอลต์ ให้ใช้น้ำเชื่อมจากแป้งข้าวโพดแทน
ลูก เล่นสำคัญที่จะลืมเสียไม่ได้คือเปลี่ยนวิธีบ่มจากวิธ ีทางธรรมชาติมาเป็นการ ใช้ความร้อน เพื่อการอาศัยช่องว่างของกฎหมายหลบเลี่ยงการแจ้งสูตร ส่วนผสมบนฉลากข้างขวด ในที่สุดโรเบิร์ตก็สามารถผลิตเบียร์คุณภาพต่ำ ราคาถูก ได้สำเร็จ
ตามที่ต้องการ แต่สิ่งที่เขามองข้ามไปคือรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไปอย่ างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบคุณภาพต่ำทำ
ให้เบียร์เป็นตะกอนและถ้าหากทิ้งไว้หลายวันมันจะบูด ตะกอนจับตัวกันเป็นก้อนนอนกอดกันกลมอยู่ที่ก้นขวด
จากเบียร์ที่มียอดขายอันดับหนึ่งกลับกลายเป็นเหมือนน ้ำล้างเท้า เบียร์จำนวน 10 ล้านขวดถูกส่งคืนโรงงาน แต่นั่นยังไม่
แย่เท่ากับชื่อเสียงบริษัทที่สะสมมานานถึง 100 ปี มลายหายไปเพียงชั่วข้ามคืน และไม่มีวันที่จะเรียกกลับคืนมาได้ ชลิตซ์
ถึงกับต้องปิดตัวเองลงในปี 1981 โดยบริษัทสโตรฮ์ (Stroh) มารับช่วงต่อ
ขายความเสี่ยง
ปี 1970 ภาพยนตร์เรื่อง M*A*S*H เนื้อหาเกี่ยวกับทหารเสนารักษ์ปฏิบัติหน้าที่ในเกาหล ีใต้ ประสบความ
สำเร็จอย่างท่วมท้น ต่อมาในปี 1972 สถานีโทรทัศน์ฟอกซ์ต้องการใช้ฉากและอุปกรณ์ต่างๆที่ม ีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์
และอาศัยความสำเร็จของภาพยนตร์มาสร้างเป็นซีรี่ส์ต้น ทุนต่ำโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย
M*A*S*H ที่นำมาสร้างใหม่ฉายทางโทรทัศน์ก็ได้รับความนิยมอย่า งล้นหลามเช่นเดียวกับภาพยนตร์ มันเป็นรายการ
โทรทัศน์ของสถานีฟอกซ์เพียงรายการเดียวที่มียอดคนดูต ิดอันดับหนึ่ง สามปีต่อมาสถานีโทรทัศน์ฟอกซ์ประสบกับวิกฤต
ทาง การเงิน เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อดารานำ 2 คนที่แสดงเรื่อง M*A*S*H ลาออกกลางคันเพราะได้ข่าวไม่สู้ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ ทางการเงินของสถานี โทรทัศน์ ส่งผลให้เรทติ้งของรายการตกลง
ผู้บริหารตัดสินใจแก้ไขวิกฤตการณ์ด้วยการบอกขายลิขสิ ทธิ์การออกอากาศล่วงหน้าภาพยนตร์ซีรี่ส์ M*A*S*H
จำนวน 7 ซีซั่น โดยมีเงื่อนไขว่าสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นจะต้องชำระเป็ นเงินสดทั้งหมดในคราวเดียว แต่จะไม่
สามารถนำ M*A*S*H ไปออกอากาศได้จนกว่าจะถึงปี 1979 (หลังจากที่สถานีโทรทัศน์ฟอกซ์ออกอากาศ
ไปแล้วจนครบทั้ง 7 ซีซั่น) ไม่รับประกันว่า M*A*S*H จะยังคงได้รับความนิยมเมื่อถึงปี 1979 และไม่มีการ
ยกเลิกสัญญาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ราคาขายนั้นถูกมาก เพราะสถานีโทรทัศน์ฟอกซ์ต้องการเงินสดหมุนเวียนโดยด่ วน ราคาต่อตอนอยู่ที่เพียง 13,000
ดอลลาร์ สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นหลายแห่งยอมจ่ายเงินลงทุนล่วงห น้า สถานีโทรทัศน์ฟอกซ์ได้เงินสดไป 25 ล้านดอลลาร์
ไม่ น่าเชื่อว่า M*A*S*H ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อถึงปี 1979 มันยังคงติดอันดับ 3 รายการโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในอเมริกา สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นหลายแห่งที่จ่ายเงินซื้อลิขสิท ธิ์ล่วงหน้าเหมือนถูก หวย เพราะถ้าหากสถานี
โทรทัศน์ฟอกซ์ขายลิขสิทธิ์ในปี 1979 ราคาจะอยู่ที่หลักหลายแสนดอลลาร์ต่อตอนเลยทีเดียว หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ
สถานีโทรทัศน์ฟอกซ์เสียโอกาสที่จะได้เงินค่าลิขสิทธิ ์หลายร้อยล้านดอลลาร์
ของโปรดมนุษย์ต่างดาว
หลายคนคงทราบดีว่ามีโฆษณาแฝงอยู่ในภาพยนตร์ทุกเรื่อง สินค้าแทบจะทุกชนิดที่ปรากฏอยู่บนแผ่นฟิล์มล้วนแล้ว
แต่ถูกคัดเลือกให้เข้าฉากด้วยความจงใจของผู้กำกับฯโด ยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับตัวแสดงนำในเรื่อง ถ้าใครไม่เคย
สังเกตก็ขอให้ไปหาภาพยนตร์เรื่อง Truman Man Show มาดูเป็นตัวอย่าง เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ล้อเลียนการทำ
โฆษณาแฝงในภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี
ภาพยนตร์ ยอดนิยมตลอดกาลเรื่อง E.T. หรือ Extra Terrestrial ของสตีเวน สปีลเบิร์ก ก็เช่นเดียวกัน ฉากหนึ่งในภาพยนตร์ผู้แสดงจะใช้ขนมล่อ E.T. ให้เดินตาม สตีเวนติดต่อบริษัท Mars ขออนุญาตนำลูกอมช็อกโกแลต M&M มาเข้าฉาก ทั่วๆไปที่ทำกันก็คือ เจ้าของสินค้าได้โฆษณา (แฝง) ผลิตภัณฑ์ของตนในภาพยนตร์ แลกเปลี่ยนกับการช่วยโปรโมตภาพยนตร์เรื่องนั้น จะเป็นการให้เงินทุนสนับสนุนหรือแทรกข้อความโปรโมตภา พยนตร์ลงในโฆษณา ผลิตภัณฑ์ช่วงที่ ภาพยนตร์เข้าฉายก็ตามแต่จะตกลงกัน
จะเป็นด้วยเหตุใดก็ตาม บริษัท Mars มองว่าภาพยนตร์เรื่อง E.T. ไม่เหมาะกับลูกอมช็อกโกแลต M&M จึง
ปฏิเสธข้อเสนออย่างไม่มีเยื่อใย สตีเวนจึงเบนเข็มไปหาบริษัท Hershey Foods เจ้าของผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต
Hershey ซึ่ง Hershey Foods รีบคว้าข้อเสนอโดยทันทีและยอมควักกระเป๋า 1 ล้านดอลลาร์ช่วยค่าโปรโม
ตภาพยนตร์แลกกับการนำภาพ E.T. มาโปรโมตสินค้าตัวใหม่ Reese s Pieces
เพียง แค่ 2 สัปดาห์หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง E.T. ออกฉาย ยอดขาย Reese s Pieces เพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่าตัว แจ๊ก ดาวด์ (Jack Dowd) ผู้บริหาร Hershey Foods กล่าวว่า ในสถานการณ์ปรกติ หากจะเร่งยอดขาย
ขนาดนี้จะต้องใช้งบทำโฆษณาสูงถึง 15-20 ล้านดอลลาร์ แต่ Hershey Foods จ่ายไปเพียง 1 ล้านดอลลาร์
เท่านั้น ได้ยินแล้วเสียดายแทนบริษัท Mars จริงๆ
ดนตรีตกยุค
วันที่ 13 ธันวาคม 1961 ไมค์ สมิท (Mike Smith) ผู้บริหารบริษัทแผ่นเสียง Decca Records
ได้ ชมการแสดงดนตรีของวัยรุ่นหน้าใหม่ 4 คนในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ เขาเห็นว่าเด็กทั้ง 4 คนมีฝีไม้ลายมือใช้ได้ทีเดียว จึงชวนให้ไปทดสอบที่สตูดิโอในกรุงลอนดอน
การได้บันทึกแผ่นเสียงเป็นความ ฝันของนักดนตรีทุกคน วัยรุ่นทั้ง 4 คนวาดลวดลายเต็มที่ในบทเพลงท่วงทำนองต่างๆให้ผู้บริห าร Decca Records ได้ฟังตลอดเวลา 2 ชั่วโมงเต็ม โดยหวังว่าจะถูกใจผู้บริหารแล้วเซ็นสัญญาให้เป็นศิลป ินในสังกัด
หลาย สัปดาห์ผ่านไป ดิ๊ก โรว์ (Dick Rowe) หนึ่งในคณะกรรมการของ Decca Records ส่งข่าวกลับมาว่าลักษณะดนตรีของเด็กหนุ่มทั้ง 4 คนนั้นใกล้เคียงกับ The Shadows วงดนตรีที่โด่งดังมากในช่วงเวลานั้น หากแต่ว่ามันกำลังจะหมดยุคสมัยของวงดนตรี 4 ชิ้นที่ประกอบด้วยกีตาร์และกลอง ที่สำคัญที่สุดคือ คณะกรรมการไม่ชอบสียงร้องของพวกเขา
หลังจากผิด หวังกับ Decca Records ผู้จัดการวงดนตรีหน้าใหม่ก็ไปติดต่อบริษัท EMI เซ็นสัญญาออกอัลบั้มชุดแรกกลางปี 1962 ซึ่งเพลงของพวกเขาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจนติดอั นดับท็อป 20 ของอังกฤษ หลังจากนั้นนักดนตรีหน้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักก็กลาย เป็นขวัญใจวัยรุ่นและ สร้างปรากฏการณ์ที่รู้จักในชื่อ Beatlemania หรือโรคคลั่งไคล้คณะสี่เต่าทอง
ใช่ แล้วครับพวกเขาคือ The Beatles วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก หลังจากเซ็นสัญญากับ EMI ได้เพียง 2 ปี ความต้องการซื้อแผ่นเสียงของคณะ The Beatles มีมากจน EMI ผลิตไม่ทันขาย ต้องไปจ้าง Decca Records ให้ช่วยผลิต ถึงตอนนั้นอีตา ดิ๊ก โรว์ คงได้แต่นั่งทึ้งผมตัวเองบ่นเสียดายปล่อยให้ของดีหลุ ดมือไป
The Beatles แยกวงไปตั้งแต่ปี 1970 แต่เทป แผ่นเสียง และ CD เพลงของพวกเขายังคงมีการผลิตออกจำหน่ายอย่างต่อเนื่อ งจวบจนถึงปัจจุบัน และถ้าจะให้บอกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จมากขนาดไหนก็ คิดเอาเองว่า มหาวิทยาลัย Liverpool Hope University เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโท สาขา The Beatles โดยเฉพาะ
Special thank:
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/.../I9773578.html