1. ที่มามาจากสมัยครูเสด ชื่อดาบดามัสคัส เกิดขึ้นเพราะอัศวินครูเสดของยุโรปได้ลิ้มรสความคมและแข็งแกร่งของดาบชนิดนี้ครั้งแรกที่เมืองดามัสคัสประเทศซีเรีย แต่เดิมดาบนี้ใช้โดยพวก ซาราเซ็น คำว่า "ซาราเซ็น" เป็นคำที่พวกตะวันตกในยุคกลางเหมาเรียกพวกอาหรับและคนที่หันมาเข้ารับอิสลามในช่วงที่มีการทำสงครามครูเสด ดังนั้น ซาราเซ็นจึงมิได้มีแต่พวกชาวอาหรับอย่างเดียว แต่ยังมีชนชาติอาฟริกาเหนือที่หันมาเข้ารับอิสลามรวมอยู่ด้วยและคนเหล่านี้เองที่ยุโรปในยุคนั้นเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักรของตน ดังนั้น ชื่อดั้งเดิมของดาบนี้คือ ดาบซาราเซ็น ไม่ว่าจะตีขึ้นด้วยเหล็กลาย หรือเหล็กธรรมดา
รูปแบบของดาบจัดเป็น เซเบอร์(ดาบใบโค้ง)ชนิดหนึ่ง
Saif Arabian sword
Shamshir Persian sword
2. วิธีการตีทบเหล็กลายคาร์บอนชนิดนี้แพร่หลายมาจากอินเดียครับ
3. วัสดุคือเหล็ก2ชนิดขึ้นไปที่มีคุณสมบัติต่างกันเช่น ความแข็ง ความเหนียว มาตีผสมรวมกัน การที่นำเหล็กต่างชนิดมาตีรวมกันทำให้เกิดลายในเนื้อเหล็กเพราะเหล็กต่างชนิดย่อมมีสีต่างกันไม่มีทางที่จะรวมกันเป็นเนื้อเดียวกันได้100% เช่นเดียวกับดาบญี่ปุ่นที่จะมีชั้นแยกสีบริเวณที่ลับคมดาบ
4. ถ้าวัดเรื่องความแข็งและทนทานสู้ดาบญี่ปุ่นไม่ได้ครับ เพราะวิธีการตีดาบต่างกัน ดามัสคัสจะตีให้เนื่อเหล็กผสมกันทั้วทั้งใบ ต่างจากดาบญี่ปุ่นที่ตีแบบแบ่งชั้นโดยที่ส่วนคมจะเป็นเหล็กคุณสมบัติแข็ง แต่ดาบที่ตีด้วยเหล็กดามัสคัสก็มีข้อดีที่ดาบญี่ปุ่นไม่มี คือจุดเด่นด้านประสิทธิภาพของ Damascus ฝรั่งเรียกว่า "Damascus Effect" เวลาลับมีดเหล็ก Damascus เหล็กอ่อนจะถูกกินออกไปมากกว่าเหล็กแข็ง ทำให้เกิดลักษณะคมคล้ายฟันเลื่อยเล็กๆ (Micro-serrated) ทำให้ตัดเฉือนได้ดีในวัสดุบางประเภท (โดยเฉพาะพวกเนื้อเยื่อทั้งหลาย) .....Micro-serrated นี้เกิดได้แม้ใช้หินลับมีดความละเอียดสูงๆ ซึ่งดาบญี่ปุ่นที่ตีทบเหล็กเหนียวประกบกับเหล็กแข็ง โดยให้เหล็กแข็งเป็นใส้กลาง จะไม่มี damascus effect เพราะเนื้อเหล็กส่วนคมก็คือเหล็กกล้าธรรมดาๆนี่เอง