ให้ความสำคัญกับกล้องติดปืนมากไปหรือเปล่า ปืนอัดอากาศพวกนี้ มีแรงรีคอยร์ ต่ำมาก ผมว่ากล้องจีนก็เอาอยู่แล้ว ขอให้หาระยะยิงที่ต้องการจะยิงว่าอยู่ระยะไหน แล้วจึงจัดหากล้องให้ถูกกับระยะยิง เช่น ศูนย์เปิด 10-20 เมตร กล้อง3*9 ระยะ20-40 เมตร 6*18 40-70 เมตร 24เท่าขึ้นไป 70-100 เมตร แค่นี้ผมว่าก็เกินพอแล้วนะครับ ไกลกว่านั้นพวกเราคงหาที่ยิงหรือเป้าที่จะยิงลำบากแล้วนะครับ ถ้าเป็นผมนะ 3000 บาท ก็คิดว่าหรูแล้วครับ
ถูกต้องที่สุดครับ 3000 บาท ผมก็ว่าหรูสุดแล้วสำหรับปืนอัดลมยิงระยะ 10 - 50 เมตร
เมื่อเชื่อลองหาถามคนที่ใช้กล้องราคา 2-3 หมื่นดูสิครับ ว่า
มันต่างกันตรงไหน ยกเว้นเลนส์ใสแจ๋วเรืองกล้องเล็งนี้น้องขออนุญาตตอบแทนละกันนะครับว่ามีข้อแตกต่างกันตรงไหน อย่างไร ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนเลยว่าเต้ยเคยใช้และได้มีโอกาสลองส่องทั้งกล้องจีน และ กล้องแบรนด์ต่างๆที่คุณภาพสูงๆมาแล้วจึงสามารถบอกความแตกต่างได้ค่อนข้างชัดเจน และการเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เป็นการบอกว่า กล้องจีนไม่ดี ควรใช้กล้องราคาแพงๆ เพราะกล้องที่ดีนั้น จะแปรเปลี่ยนไปตามวัตถุประสงค์หลักของผู้ใช้ เช่นเน้นการล่าสัตว์ ไม่เน้นปั้นX ไม่ต้องการความแม่นยำมาก เอาแค่สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนภายในระยะสังหารเท่านั้น ถ้าความต้องการใช้งานหลักๆมีเท่านี้ กล้องจีนก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับงานนี้ครับ แต่ถ้าวัตถุประสงค์หลักของผู้ใช้ คือเน้นยิงเป้า ปั้นX ต้องการความแม่นยำสูงๆ และต้องการมองเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนที่ระยะต่างๆกัน คำว่าชัดเจนในที่นี้ เต้ยหมายความว่า ชัดเจนจริงๆนะครับ คือเห็นเป้า X ขนาดเล็กกว่าเหรียญ 25 สตางค์ที่ระยะ 25-50 เมตร หรือเห็น X ที่เป้าปืนไรเฟิลที่ระยะไกลๆ เช่น 200/400/600/800/1000 หลาได้ชัดเจน ก็ต้องใช้กล้องที่สามารถปรับกำลังขยายได้สูงๆหน่อย และคุณภาพเลนส์ดีๆ ถ้าเป็นความต้องการใช้งานแบบนี้กล้องจีนก็ไม่อาจจะตอบโจทย์ข้อนี้ของท่านได้แน่ๆ ลองมาพูดถึงข้อแตกต่างหลักๆเปรียบเทียบกันดูนะครับว่ามีอะไรบ้าง
1. การปรับคลิก สูง-ต่ำ ซ้าย-ขวา ของกล้องคุณภาพสูง สมมุติถ้าปรับset 0 ไว้ที่ระยะ 25 เมตรยิงเข้าเป้า X ได้แล้ว ลองเปลี่ยนระยะไปยิงที่ 50/100/200/400เมตร ทำการปรับกล้องให้กลุ่มกระสุน เข้าที่ X ในระยะต่างๆแล้ว สมมุติว่าปรับคลิกขึ้นบนไปทั้งหมด 50 คลิก พอคุณต้องการกลับมายิงที่ระยะ 25 เมตรเหมือนเดิม คุณปรับคลิกลงล่างมา 50 คลิกและทำการยิง กลุ่มกระสุนจะต้องเข้า X ที่เดิม จะต้องไม่กินสูง ต่ำ ซ้ายหรือขวาแต่อย่างใด ซึ่งความสามารถตรงนี้ กล้องจีนไม่สามารถทำได้ครับ
2. กล้องจีนไม่สามารถรับแรงถีบหนักๆของพวกปืนอัดลมสปริง หรือ ปืนดินขับขนาดต่างๆได้มากนัก ใช้งานไปซักพักเส้นเล็งก็จะเคลื่อน พลิก หรือ ขาดในที่สุด กล้องจีนถ้าเราset 0 ไว้แล้ว เก็บปืนเข้ากระเป๋า ส่วนใหญ่เวลานำออกมาใช้งานอีกครั้ง กล้องก็จะเคลื่อนต้องมานั่งปรับศูนย์กันใหม่เกือบทุกครั้งที่ทำการยิง แต่ถ้าเอาไว้ยิงเป้าใหญ่ๆเช่นล่าสัตว์ต่างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งปรับศูนย์ใหม่ก็ได้เพราะกล้องไม่ได้เคลื่อนเยอะขนาดนั้น แต่ถ้าจะยิงปั้น X รับรองได้ว่าคงต้องปรับศูนย์กันใหม่ทุกครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งกล้องคุณภาพดีๆ หลังจากท่านทำการปรับศูนย์เรียบร้อยแล้ว ท่านเก็บปืนเข้ากระเป๋าไม่ว่าจะนานแค่ไหน หรือ มีแรงกระทบกระเทือนอย่างไรกล้องก็จะไม่มีการเคลื่อนตัว เมื่อนำออกมายิงครั้งต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งปรับศูนย์ทุกครั้งครับ
3. ลองดูวิธีง่ายๆที่สุด นำกล้องจีนไปใส่ตู้เย็นไว้ซัก 20 นาทีแล้วนำออกมาเจออุณหภูมิห้องปกติลองส่องดูจะเห็นได้ทันทีว่าเกิดฝ้า หรือ ไอน้ำขึ้นภายในกล้องเล็ง แต่ถ้าเป็นกล้องคุณภาพดีๆ จะไม่มีฝ้าและไอน้ำเกิดขึ้นภายในตัวกล้องเลย ข้อนี้เต้ยเจอกับตัวเองโดยตรงคือ นำปืนเก็บไว้ในห้องนอน เปิดแอร์ตามปกติ พรุ่งนี้เช้าตื่นมา นำปืนออกจากห้องแอร์ มาเจอกับอากาศอุณหภูมิปกติ เกิดฝ้าด้านในกล้องเต็มเลยครับ
4. เรืองความใส และ รายละเอียดของภาพไม่ต้องพูดถึงข้อนี้ครับ เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว
นี่เป็นเพียงเหตุผลไม่กี่ข้อครับสำหรับความแตกต่างระหว่างกล้องจีน กับ กล้องคุณภาพสูงๆ ถ้าจะให้พูดกันเรืองนี้จริงๆต้องคุยกันยาวครับ หลักๆก็อย่างที่ว่าไปคือ กล้องดีไม่ดีนั้นหลักๆขึ้นอยู๋กับวัตถุประสงค์การใช้งานของผู้เป็นเจ้าของครับว่าต้องการอะไร เท่านั้นเองครับพี่