ในกรณีคุณแม่ผม เป็นสโตรค เส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งไปถึง ร.พ. ช้าไป 1 วัน ทำให้ การบำบัดทางยาไม่ทัน ส่งผลให้มีอาการเป็นอัมพาตซีกซ้าย แต่มีความทรงจำ สื่อสารได้ แต่ไม่เป็นภาษาพูด เนื่องจากสมองส่วนภาษาถูกทำลาย สื่อสารด้วยการส่งเสียงอือๆ อาๆ พยักหน้า รับรู้ จำบุคคล ที่เป็นลูก หลาน และญาติได้ทุกคน โดยเฉพาะลูก คือตัวผมกับพี่ชาย ตอนนี้พี่ชายดูแลอยู่ใกล้ชิดที่ กทม. เนื่องจากตกงานพอดี ตัวผม อยู่ไกล ถึงพะเยา ไปเยี่ยมได้เดือนละครั้ง เลยคุยกันว่ากลัวจะยุ่งหลังจากแม่เสีย ควรจะทำอะไรให้เรียบร้อนโดยแม่รับรู้ อนุญาต ดีกว่ามั๊ย เพราะที่บ้านก็พูดคุยกันตรงๆ อยู่แล้วเรื่องทรัพย์สมบัติว่าแบ่งให้ลูกทั้งสองคนเท่าๆกันตามความจริง เพียงแต่ยังไม่ทันทำอะไร เพราะก่อนหน้าคุณแม่มีสุขภาพ แข๊งแรงดีเที่ยวทั่วไทย เพียงแต่ก่อนจะเป็นความจำเริ่มไม่ดีขี้ลืมบ่อยๆ แม้แต่เรื่องที่เพิ่งทำ เคยทักให้แม่ไปหาหมอ แต่แม่ไม่ยอม พอเป็นขึ้นมาก็อยู่ ร.พ. ประสาทอยู่ ประมาณเดือนนึง หมอ ให้กลับบ้านได้ และก๊รับรู้ โต้ตอบ สื่อสารได้ กรณีนี้จะทำได้ไม๊ครับ หรือต้องทำตามที่ท่าน pokka แนะนำหลังสุดครับ อ้อ ขอบคุณ และ+ทุกท่านครับ
การร้องขอแต่งตั้งผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์ของบุคคลอื่นต่อศาลนั้น จะต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ด้วยว่า กรณีใดที่สามารถร้องขอต่อศาลด้วย มิฉะนั้นแล้ว ศาลจะไม่รับคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์ไว้พิจารณา ซึ่งเท่าที่รวบรวมได้คือ
๑. การร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์มรดก
๒. การร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์ที่พิพาทในระหว่างพิจารณาคดี เพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๔
๓. การร้องขอแต่งต้งผู้จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์
๔. การร้องขอแต่งตั้งจัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ (สาบสูญ) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๘
๕. การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์ แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๓๐๗ และ
๖. กรณีสามีหรือภรรยาร้องขอต่อศาลให้ตนเป็นผู้จัดการทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสโดยลำพัง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๕
นอกนั้นแล้ว การแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สิน สามารถทำได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้องต่อศาล คือให้เจ้าของทรัพย์มอบอำนาจให้เป็นผู้จัดการทรัพย์สิน (การมอบอำนาจทั่วไป) นั้นเอง ซึ่งต้องอยู่ในหลักการเดียวกันกับพินัยกรรม ก็คือขณะทำหนังสือมอบอำนาจและแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทรัพย์แทนตน ต้องมีสติสัมปชัญญะ และรู้เรื่องในขณะมอบอำนาจด้วย
จุดสำคัญที่สุด แม้คุณแม่จะพูดไม่ได้ แต่หากยังมีสติครบถ้วน รับรู้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และประสงค์จะทำพินัยกรรมจริงๆ
ถ้าคุณแม้สามารถลงลายมือชื่อในพินัยกรรม หรือ สามารถยกมือของท่านปั๊มลายนิ้วมือในพินัยกรรมได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีใครพยุงมือ ต่อหน้าพยานคนอื่น ก็ยังมีวิธีทางครับ
แต่ในฐานะที่ท่านเจ้าของกระทู้เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกใน ลำดับที่ ๑ ตามกฎหมาย
ซึ่งตัดทายาทอื่นๆ เช่น พี่น้องคุณแม่ ลุงป้า น้า อา โดยบุคคลเหล่านั้นไม่มีสิทธิที่จะมาขอแบ่งปันมรดกของคุณแม่ได้เลย
หากบิดา มารดาของคุณแม่ (ตายาย) คู่สมรส (พ่อ) เสียชีวิตไปก่อนแล้ว ทรัพย์มรดกทั้งหมดย่อมตกแก่ท่านทั้งสองคน โดยไม่ต้องแบ่งให้คนอื่น
หากท่านไม่มีปัญหาและสามารถตกลงกันได้ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวและไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องทำพินัยกรรมเลย
เพราะแม้จะทำพินัยกรรมได้ก็ตาม แต่ความสุ่มเสี่ยงที่จะมีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านว่าพินัยกรรมไม่สมบูรณ์ก็มีสูง
ส่วนตามที่ท่านคิดว่าภายหลังจะยุ่งยากนั้น ผมมองว่าไม่น่าจพยุ่งยากใดๆครับ
เพราะหากที่บ้านไมมีปัญหาตาร้อน ทั้งทรัพย์มรดกก็ตกแก่บุตรของคุณแม่ทุกคนเท่ากันตามกฎหมายแล้ว
ก็สามารถจูงมือไปขอรับมรดก ได้เลยโดยไม่ต้องดำเนินการทางศาลใดๆ
แต่ก็มีบ้างครับ ในบางครั้งการแบ่งมรดกต้องเกี่ยวพันกับหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน เช่น ที่ดิน (ที่ดินจังหวัด หรือ สปก. หรือ นิคมสหกรณ์) รถยนต์ (ขนส่ง)
อาจจะอิดออนที่จะให้ทายาทต้องไปร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาลก่อน แม้จะมีพินัยกรรมก็ตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคาร จะต้องตรวจสอบกันยกใหญ่เลยทีเดียวครับ และมักแนะนำว่าให้ไปร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจากศาลก่อน
เพื่อตัดปัญหาหากจ่ายเงินของผู้ตายให้แก่ทายาทที่มาขอรับ ปรากฏภายหลัง มีทายาทโผล่เข้ามาฟ้องภายหลังได้
ทั้งการร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาล ก็ไม่ยุ่งยากใดๆ ใช้เวลาไม่เกิน ๓ เดือนต่อเรื่องหากไม่มีผู้ใดคัดค้าน แถมสะดวกเพราะสามารถเอาคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกไปดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายได้ทุกประเภท และไม่มีการปฏิเสธไม่รับดำเนินการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ยังไงดูแลท่านให้ดีๆ ฟื้นฟูจนพอแข็งแรง และท่านพาไปโอนด้วยตนเองจะสมบูรณ์ที่สุดครับ