"แอลพีจี" รบ.ลอยตัวก๊าซแบบขั้นบันได 12 บ
กพช.สั่งคมนาคมเก็บภาษีเพิ่มรถยนต์ใช้ก๊าซ "แอลพีจี" หวังลดภาระอุ้มแอลพีจีภาคขนส่ง พร้อมประกาสลอยตัวก๊าซแบบขั้นบันได 4 ไตรมาส 1 ปี โดยปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม หรือเดือนละ 1 บาทต่อกิโลกรัม เริ่มเดือน ก.ค.นี้ พร้อมตรึงราคาแอลพีจีครัวเรือน-ขนส่งฯ และก๊าซเอ็นจีวี ต่อไปจนถึงเดือน ก.ค.นี้ เช่นกัน เปิดช่องให้กองทุนน้ำมันฯ กู้เงินช่วยตรึงราคาพลังงาน หากเกิดวิกฤตน้ำมันแพงในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วานนี้ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาปรับเพิ่มภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลพีจี) เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเข้าแอลพีจีเพิ่มขึ้นและเป็นภาระการชดเชยของรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการนำไปใช้ในภาคขนส่ง ที่ประชุมจึงมีนโยบายให้ชะลอการใช้แอลพีจี ในภาคขนส่งโดยนำมาตรการภาษีมาใช้
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. มีมติให้ทะยอยปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 นี้ โดยจะปรับขึ้นแบบขั้นบันได ไตรมาสละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 1 ปี หรือจำนวน 4 ไตรมาส คิดเป็นเงิน 12 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้สอดคล้องกับการที่รัฐชดเชยให้อยู่ในปัจจุบัน
ส่วนราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนและขนส่งให้ตรึงราคาต่อไปจนถึงเดือนกันยายน 2554 จากเดิมที่จะครบกำหนดมาตรการในช่วงเดือนมิถุนายน 2554 นี้ เช่นเดียวกับราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ถูกตรึงไว้ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยรัฐจ่ายชดเชยให้ 2 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกัน ก็ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมไปพิจารณามาตรการทางด้านภาษีป้าย สำหรับรถยนต์ที่ดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้แอลพีจี เพื่อควบคุมการขยายตัวของปริมาณการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง
พร้อมกันนี้ ที่ประชุม กพช. ยังได้วางกรอบแนวทางการช่วยชดเชยราคาพลังงานฉุกเฉินในช่วงเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เพื่อป้องกันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง โดยให้สถาบันบริหารกองทุนน้ำมันพลังงาน องค์กร (มหาชน) หรือ สบพ. สามารถกู้เงินมาใช้พยุงฐานะกองทุนน้ำมันเป็นการชั่วคราว วงเงินเบื้องต้น 20,000 ล้านบาท ส่วนที่ไม่เลือกใช้แนวทางการขอจัดสรรงบประมาณกลางปีมาใช้นั้น เนื่องจากล่าสุดงบประมาณกลางเหลืองบเพียงแค่ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น
"หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ช่วงสุญญากาศ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นเกินกว่า 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงไม่สามารถดูแลราคาพลังงานได้ เพราะจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบ ขณะที่สถานะล่าสุด กองทุนน้ำมันฯ เหลือเงินเพียง 3 พันล้านบาท ที่จะใช้ดูแลพลังงาน ดังนั้น ที่ประชุม กพช. จึงมีอนุมัติหลักการณ์ให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถกู้ยืมเงินใช้ชั่วคราว"
ทั้งนี้ การของบประมาณกลางปี 2554 ไม่สามารถทำได้ เพราะเหลืองบฯ ค่อนข้างน้อยกว่า 6 พันล้านบาท ต้องเห็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ช่วยเหลือเหตุการณ์น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้อนุมัติให้เลื่อนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกจากแผน พัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(พีดีพี 2010) เป็นเวลา 3 ปี จากเดิมที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงแรกจะเข้าระบบปี 2563 เนื่องจากไทยยังไม่พร้อมในเรื่องของการยอมรับจากชุมชนและข้อกฎหมายในการรอง รับ ขณะเดียว กพช.ยังได้เห็นชอบโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ที่จะใช้ในช่วงปี 2554-2558 โดยในส่วนของผู้ใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยต่อเดือนนั้น จะเริ่มมีผลในเดือนกรกฎาคม 2554 นี้ ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะมาร่วมรับภาระ ยกเว้นผู้ใช้ไฟเอสเอ็มอี เบื้องต้นจะนำเงินที่เรียกเก็บคืนจาก 3 การไฟฟ้าที่ไม่ได้ลงทุนจริงในช่วงปี 2551-2553 วงเงิน 9 พันล้านบาทมาช่วยชดเชยค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ให้ก่อน
ที่มา
http://www.manager.co.th