เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 21, 2024, 01:26:17 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 ... 10
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มาวิเคราะห์เรื่องนี้กัน .. คนเราเมื่อถึงคราวซวย ... รวมเรื่องปืนด้วย  (อ่าน 19605 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
KCharng
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #30 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 07:27:34 PM »

ไม่เถียงครับ แต่การบีบแตรก็มีหลายแบบ
วิธีการขับปาดหน้าก็คงเป็นอีกสันติวิธี ที่ถ้าลงมาเดินไปขอคุยด้วย ก็คงไม่ทันการเหมือนกันครับ

เหมือนการอ่านข่าวเดียวกันก็มีหลายมุมมองครับ

เห็นใจคนขับรถเก๋งจริงๆครับ และขอยอมรับว่าใจเย็นมากๆครับ
เรื่องกฎหมายจราจรนั้น คนขับกระบะนั้นทำผิดกฏจราจรเต็มๆครับ

แต่พอผิดแล้วไม่รู้จักผิด เป็นเรื่องที่ผมยอมรับยากจริงๆครับ
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำใจ เพราะสามารถมองกลับกันได้ครับ และวิธกการขอทางก็ห่วยสิ้นดี

เมื่อเขาพร้อมที่จะทำผิด ก็พลานเอาคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยครับ โทษคนอื่น
แบบนี้เขาเรียกว่าพวกทรามครับ

วิธีการขอทาง เขาให้บีบแตรครับ หากลงจากรถเดินไปบอกก็คงไม่ทันการณ์ครับ...
บันทึกการเข้า
victor-รักในหลวง
ชาว อวป.
Jr. Member
****

คะแนน 2
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 93



« ตอบ #31 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 07:27:44 PM »

ผมเวลาขับรถจะพยายามท่องเอาไว้เสมอ และคิดว่าใช้ได้ดีด้วย
"ขับรถดีมีน้ำใจ ภัยไมมี" ใครอยากแทรก อยากแซง เชิญเลยครับจัดให้ Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:32:55 PM โดย victor » บันทึกการเข้า

“A bullet always tells the truth”
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #32 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:06:56 PM »

วัยรุ่นใจร้อนอย่างผม ถ้าผมเป็นนายทักษิณ2พ่อลูกเป็นหมาเฝ้าถนนแน่นอน ขอบอก

บอกตรงๆว่าไม่อยากให้ท่านได้ใบ ป.3 นะครับ... เพราะใจร้อนเกินไป...
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #33 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:10:21 PM »

ไม่เถียงครับ แต่การบีบแตรก็มีหลายแบบ
วิธีการขับปาดหน้าก็คงเป็นอีกสันติวิธี ที่ถ้าลงมาเดินไปขอคุยด้วย ก็คงไม่ทันการเหมือนกันครับ

เหมือนการอ่านข่าวเดียวกันก็มีหลายมุมมองครับ

เห็นใจคนขับรถเก๋งจริงๆครับ และขอยอมรับว่าใจเย็นมากๆครับ
เรื่องกฎหมายจราจรนั้น คนขับกระบะนั้นทำผิดกฏจราจรเต็มๆครับ

แต่พอผิดแล้วไม่รู้จักผิด เป็นเรื่องที่ผมยอมรับยากจริงๆครับ
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำใจ เพราะสามารถมองกลับกันได้ครับ และวิธกการขอทางก็ห่วยสิ้นดี

เมื่อเขาพร้อมที่จะทำผิด ก็พลานเอาคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยครับ โทษคนอื่น
แบบนี้เขาเรียกว่าพวกทรามครับ

วิธีการขอทาง เขาให้บีบแตรครับ หากลงจากรถเดินไปบอกก็คงไม่ทันการณ์ครับ...

เมื่อยังไม่รู้ว่ารถไฟจะหยุดทันหรือไม่ คงไม่มีเวลามามัวบีบแตรแบบสุภาพนะครับ เพราะเป็นเรื่องฉุกเฉินครับ... โดนบล็อกให้รถไฟชนอย่างนั้นคงอยากให้ชีวิตรอดมากกว่ากลัวเสียมรรยาทครับ...
ส่วนเรื่องปาดหน้านี่ไม่ใช่สันติวิธีแน่ๆ ลงว่าถูกบล็อกให้รถไฟชนแบบนั้นทั้งที่สามารถเลื่อนรถเปิดทางให้ได้ เป็นใครก็แค้นแหละครับ... ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง(สามารถถึงแก่ชีวิต)ด้วยสาเหตุอันไม่เป็นธรรมแบบนี้...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:29:23 PM โดย นายสมชาย(ฮา) » บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #34 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:25:15 PM »

ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงแน่ๆ ถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่เกิดเหตุนะครับ

เท่าที่อ่านข่าวมาตามความรู้สึกผม  ฝ่ายหญิงที่ขับกระบะเป็นผู้ผิดครับ  หนึ่งคือผิดกฎจราจร  สองคือผิดทำร้ายร่างกาย

ฝ่ายรถเบนซ์ผิดพกพาอาวุธ  (แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นก็เป็นข้อยกเว้น)  และถูกมองว่าแล้งน้ำใจหรือเปล่าที่ไม่ขยับรถให้

ที่จริงมีอีกหลายเรื่อง แต่อธิบายแล้วจะยาวครับ นายสมชายขมวดปมตามที่คุณ Quick ตั้งประเด็นมาก่อน...
ฝ่ายขับกะบะผิด โทษผิดกฏจราจรเป็นโทษปรับ, โทษทำร้ายร่างกายก็ลหุโทษครับ... ฝ่ายรถเบ็นซ์ผิดพกพาอาวุธ นี่เป็นอาญาฯ หากศาลไม่รอฯ อาจถึงขั้นติดคุกครับ...

แต่มีประเด็นที่หลายท่านมองไม่เห็น เพราะไปมัวเพ่งความสนใจกับเรื่องอารมณ์ที่โดนบีบแตรใส่อย่างไร้มรรยาท(ตามข่าวว่าเป็นที่น่ารำคาญฯ) กับเรื่องผิดกฏจราจรจอดคล่อมทางรถไฟ... อาจมีแถมเรื่องปาดหน้ารถเบ็นซ์(อันนี้เกิดหลังจากโดนบล็อกให้รถไฟชน)...

ประเด็นคือ หากสามารถพิสูจน์ในศาลได้ว่า ฝ่ายรถเบ็นซ์อยู่ในวิสัยที่จะเลื่อนรถยนต์ไปข้างหน้าเพื่อช่วยให้รถกะบะที่อยู่ข้างหลังไม่ถูกรถไฟชน, โดยเล็งเห็นผลว่าโดนรถไฟชนอาจเสียชีวิตหรืออย่างน้อยก็รถกะบะเสียหาย แต่ก็ยังตัดสินใจไม่เลื่อนรถเปิดทางให้... โดยอาจมีสาเหตุจูงใจคือโกรธที่รถกะบะผิดกฏจราจร อย่างนี้เป็นเรื่องเจตนาฆ่านะครับ, และหากรถไฟหยุดทันก็จะกลายเป็นพยายามฆ่า...

ซึ่งนายสมชายก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับหลายท่านมองเห็นเรื่องอารมณ์โกรธแค้นที่ถูกบีบแตรใส่อย่างไร้มรรยาท หรือเรื่องผิดกฏจราจรของรถกะบะเป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องเจตนาฆ่าไปได้ครับ...
บันทึกการเข้า
อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265


ขาย-อัพเกรด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง


« ตอบ #35 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:25:44 PM »

เรื่องนี้นายสมชายเห็นไม่เหมือนใครน่ะครับ...

เรื่องแรก...
เวลารถวิ่งๆอยู่แล้วเกิดรถติดขึ้นมาขณะที่ไม้กั้นทางรถไฟไม่ได้เอาลงมากั้น มันเลือกไม่ได้หรอกครับว่าจะจอดพอดีคล่อมทางรถไฟหรือไม่ หากบังเอิญรถใครจอดคล่อม ทางรถไฟพอดีเป๊ะ เขาจะบีบแตรให้คันหน้าเลื่อนรถครับ... เวลารถติดบนถนน จะไม่ติดแนบชิดแบบกันชนจ่อกันชนหรอกครับ หากคันหน้ามีน้ำใจเลื่อนรถเดินหน้าไปหน่อยพร้อมบีบแตรบอกคันหน้าของตัวเองออกไปอีก คันที่อยู่ข้างหน้าออกไปอีกเขาก็จะเลื่อรถกันคันละนิดคันละหน่อย ในที่สุดรถยนต์คันที่คล่อมทางรถไฟก็จะพ้นอันตรายครับ...

ขออนุญาตครับพี่สมชาย ผมอาจจะมองในมุมมองการขับรถของผมนะครับ  คือตัวผมเองเวลาขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือทางคับขันเช่นทางรถไฟ หากผมดูแล้วว่าไปไม่พ้นผมจะไม่ข้าม หรือไปจอดคร่อมครับ เช่นทางรถไฟตรงวิภาวดีที่พี่สมชายผ่านบ่อย ผมก็เช่นกันครับ ผมเคยเจอเหตุอย่างพี่สมชายเช่นกันว่าไปแล้วไม่พ้นต้องกระดึ๊บๆออกไป หลังจากครั้งนั้นก็ระวังมาตลอดครับ  เรื่องนี้ผมเลยมองว่าฝ่ายอีซูสุผิดเพราะตัวคนขับประมาทและสะเพร่าเองครับ หากตัวเขาระวังซักนิดแล้วไม่รีบร้อนกับระยะห่างแค่ทางรถไฟกั้นไม่กี่เมตร เรื่องคงไม่เกิดครับ   ไหว้ ไหว้

ส่วนเรื่องคู่กรณีไม่เลื่อนรถให้นั้น เป็นเรื่องของน้ำใจครับ ถ้าจงใจไม่เลื่อนให้ก็เป็นอีกประเด็นที่สมควรตำหนิ แต่ผมมองแยกกับกรณีก่อนหน้าครับพี่  ด้วยความเคารพ ไหว้ ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:28:34 PM โดย อรชุน » บันทึกการเข้า
PRIVACY
I don't want to survive, I want to live
Full Member
***

คะแนน 36
ออฟไลน์

กระทู้: 400


"Knowledge speaks, but wisdom listens."


« ตอบ #36 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:32:51 PM »

อ่านข่าวนี้ตั้งแต่วันแรกที่ลงในเว็บข่าวแล้ว

ผมก็เห็นว่า พ่อ-ลูก หน้าโง่นั้น สมควรถูกด่าประจารตามคอมเม้นท์ต่างๆในข่าวน่ะ สมควรแล้ว

แล้วช่วยเขาด่าบ้างไหมเล่าครับ...

ผมเห็นด้วยตรงที่คนหน้าโง่ไม่สมควรตาย แต่ก็สมควรถูกวิภาควิจารณ์เชิงประจาน ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่นๆถ้าเกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #37 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:39:59 PM »

เรื่องนี้นายสมชายเห็นไม่เหมือนใครน่ะครับ...

เรื่องแรก...
เวลารถวิ่งๆอยู่แล้วเกิดรถติดขึ้นมาขณะที่ไม้กั้นทางรถไฟไม่ได้เอาลงมากั้น มันเลือกไม่ได้หรอกครับว่าจะจอดพอดีคล่อมทางรถไฟหรือไม่ หากบังเอิญรถใครจอดคล่อม ทางรถไฟพอดีเป๊ะ เขาจะบีบแตรให้คันหน้าเลื่อนรถครับ... เวลารถติดบนถนน จะไม่ติดแนบชิดแบบกันชนจ่อกันชนหรอกครับ หากคันหน้ามีน้ำใจเลื่อนรถเดินหน้าไปหน่อยพร้อมบีบแตรบอกคันหน้าของตัวเองออกไปอีก คันที่อยู่ข้างหน้าออกไปอีกเขาก็จะเลื่อรถกันคันละนิดคันละหน่อย ในที่สุดรถยนต์คันที่คล่อมทางรถไฟก็จะพ้นอันตรายครับ...

ขออนุญาตครับพี่สมชาย ผมอาจจะมองในมุมมองการขับรถของผมนะครับ  คือตัวผมเองเวลาขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือทางคับขันเช่นทางรถไฟ หากผมดูแล้วว่าไปไม่พ้นผมจะไม่ข้าม หรือไปจอดคร่อมครับ เช่นทางรถไฟตรงวิภาวดีที่พี่สมชายผ่านบ่อย ผมก็เช่นกันครับ ผมเคยเจอเหตุอย่างพี่สมชายเช่นกันว่าไปแล้วไม่พ้นต้องกระดึ๊บๆออกไป หลังจากครั้งนั้นก็ระวังมาตลอดครับ  เรื่องนี้ผมเลยมองว่าฝ่ายอีซูสุผิดเพราะตัวคนขับประมาทและสะเพร่าเองครับ หากตัวเขาระวังซักนิดแล้วไม่รีบร้อนกับระยะห่างแค่ทางรถไฟกั้นไม่กี่เมตร เรื่องคงไม่เกิดครับ   ไหว้ ไหว้

ส่วนเรื่องคู่กรณีไม่เลื่อนรถให้นั้น เป็นเรื่องของน้ำใจครับ ถ้าจงใจไม่เลื่อนให้ก็เป็นอีกประเด็นที่สมควรตำหนิ แต่ผมมองแยกกับกรณีก่อนหน้าครับพี่  ด้วยความเคารพ ไหว้ ไหว้

เรื่องไม่ระวังจอดรถไม่พ้นทางรถไฟหรือ ตรงนี้เป็นความผิดของกะบะแน่ครับ แต่ความผิดแบบนี้มีโทษไม่ถึงขั้นต้องตายน่ะครับ... ประเด็นคือคนที่ต้องตัดสินว่าใครผิดต้องรับโทษไม่ใช่คนใช้รถใช้ถนนร่วมกันครับ แต่เป็นตำรวจจราจรเป็นผู้เขียนใบสั่ง เรื่องนี้จบลงตรงที่กะบะจอดปุ๊บ ความผิดสำเร็จปั๊บ ถ้าตำรวจเห็นก็เขียนใบสั่งได้ทันที แต่เรื่องนี้จบแล้วน่ะครับ...

ส่วนเรื่องที่สองคือ คนที่จอดรถขวางหน้าในขณะที่รู้ว่ารถไฟกำลังจะมา แล้วรถไฟอาจหยุดไม่ทัน มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือคันหลังให้พ้นภัยเฉพาะหน้านะครับ ไม่ใช่แค่แล้งน้ำใจอย่างเดียว แต่เป็นความผิดโดยงดเว้นกระทำการ เพราะตนเองมีหน้าที่ครับ... ทำนองเดียวกับเห็นคนกำลังจะจมน้ำแล้วไม่ช่วยเหลือแหละครับ...
บันทึกการเข้า
คนซ่อมทางรถไฟ--->trackmam 52
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 34
ออฟไลน์

กระทู้: 211


« ตอบ #38 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:40:22 PM »

โดยทั่วไปจะค่อยทราบกัน ทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ(ทางตัด)จะมีเสาสัญญาณห่างจากทางตัดออกไปประมาณ 50 เมตรทั้งสองด้านทางรถไฟ สัญญาณจะอนุญาตก็ต่อเมื่อเครื่องกั้นถนนได้ลงกั้นถนนเรียบร้อยแล้ว(สัญญาณนี้จะมองเห็นไปเกินกว่า 800 เมตร โดยรถไฟมีระยะเบรคฉุกเฉินที่ประมาณ 700 ม.)ถ้าเป็นเครื่องกั้นอัตโนมัติจะทำงานเมื่อรถไฟเข้าใกล้ทางตัดในระยะประมาณ 1,000 ม.แต่ในทางตัดที่มีพนักงานคุมอยู่จะอนุญาตให้รถไฟผ่านได้เมื่อพนักงานเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว โดยก่อนที่จะเอาคานกั้นถนนลงพนักงานจะให้สัญญาณไฟวับวาบที่เสาคานกั้นถนนก่อนครับ แจ้งมาเพื่อทราบหาก สมช.อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้จะได้แก้ไขได้ทัน (ส่วนทางผ่านที่ไม่มีเครื่องกันถนนผู้ใช้ถนนต้องจอดหางทางรถไฟ 5 เมตรเมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงข้ามได้ ระวังกันด้วยนะครับ)
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #39 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:46:00 PM »

อ่านข่าวนี้ตั้งแต่วันแรกที่ลงในเว็บข่าวแล้ว

ผมก็เห็นว่า พ่อ-ลูก หน้าโง่นั้น สมควรถูกด่าประจารตามคอมเม้นท์ต่างๆในข่าวน่ะ สมควรแล้ว

แล้วช่วยเขาด่าบ้างไหมเล่าครับ...

ผมเห็นด้วยตรงที่คนหน้าโง่ไม่สมควรตาย แต่ก็สมควรถูกวิภาควิจารณ์เชิงประจาน ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่นๆถ้าเกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้

แล้วทำไมไม่ประจานคนพกปืนโดยไม่มีใบพกเล่าครับ, แล้วทำไมไม่ประจานคนที่ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังมีภัยจะถูกรถไฟชน... เรื่องนี้หลงมองประเด็นบีบแตร ประเด็นปาดหน้า ซึ่งเป็นประเด็นเล็ก กลบประเด็นใหญ่พยายามฆ่า(เพราะเล็งเห็นผลแต่ไม่หลบให้เพราะโกรธถูกบีบแตร)ไปนะครับ...
บันทึกการเข้า
chawalkman
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #40 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 08:53:13 PM »

1. มันเผลอคร่อมไปแล้วครับ จะด้วยการเผลอเรอ คิดไม่ถึง ประมาท หรือประการใดก็แล้วแต่...
2. แต่เมื่อได้ยินเสียงแตร บวกกับเสียงเตือนเครื่องกั้นทางแล้ว ทุกคันในเลนนั้น
ก็น่าจะดูและขยับคนละเล็กละน้อยโดยอัตโนมัติ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มันน่าจะขยับได้ซักหน่อยน่า แค่ 2-3 ฝ่ามือเราก็ยังเคยขยับครับ
3.เป็นผมก็คงพยายามทุกอย่างที่จะออกจากตรงนั้นให้ได้ครับ ใครก็คงไม่อยากตาย
...ผมแสดงความคิดเห็นแค่ช่วงเหตุการณ์นี้ หลังจากนั้น เป็นเรื่องของอารมณ์แล้วครับ...
..ด้วยความเคารพ..
 ไหว้ ไหว้

บันทึกการเข้า
Iron
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #41 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 09:03:19 PM »

โดยทั่วไปจะค่อยทราบกัน ทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ(ทางตัด)จะมีเสาสัญญาณห่างจากทางตัดออกไปประมาณ 50 เมตรทั้งสองด้านทางรถไฟ สัญญาณจะอนุญาตก็ต่อเมื่อเครื่องกั้นถนนได้ลงกั้นถนนเรียบร้อยแล้ว(สัญญาณนี้จะมองเห็นไปเกินกว่า 800 เมตร โดยรถไฟมีระยะเบรคฉุกเฉินที่ประมาณ 700 ม.)ถ้าเป็นเครื่องกั้นอัตโนมัติจะทำงานเมื่อรถไฟเข้าใกล้ทางตัดในระยะประมาณ 1,000 ม.แต่ในทางตัดที่มีพนักงานคุมอยู่จะอนุญาตให้รถไฟผ่านได้เมื่อพนักงานเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว โดยก่อนที่จะเอาคานกั้นถนนลงพนักงานจะให้สัญญาณไฟวับวาบที่เสาคานกั้นถนนก่อนครับ แจ้งมาเพื่อทราบหาก สมช.อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้จะได้แก้ไขได้ทัน (ส่วนทางผ่านที่ไม่มีเครื่องกันถนนผู้ใช้ถนนต้องจอดหางทางรถไฟ 5 เมตรเมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงข้ามได้ ระวังกันด้วยนะครับ)
เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดเฉพาะในกรุงเทพช่วงที่รถติดมากๆครับ รถจะไหลกันไปเรื่อยๆจะมาจ๊ะเอ๋เข้ากับรถเราตอนไหนก็ได้

เหตุการณ์เกิดแบบสุ่มไม่ใช่การจงใจจอดขวางทางรถไฟ และเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดที่ต่างจังหวัดเพราะรถไม่ได้ติดแบบตังเมเหมือนกรุงเทพ  Grin

ที่ผมเจอก็แบบเดียวกันในกรุงเทพครับ พอขยับตามคันหน้าจะพ้นทางรถไฟก็มีสัญญาณเสียงและไฟวาบเตือนแต่เหล็กกั้นยังไม่ลงมา

เห็นทุกคนรู้หน้าที่ ช่วยๆกันขยับครับ เพราะทุกคนมีโอกาศติดอยู่กลางทางรถไฟแบบเดียวกันทุกคนครับ
บันทึกการเข้า
อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265


ขาย-อัพเกรด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง


« ตอบ #42 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 09:06:13 PM »

เรื่องไม่ระวังจอดรถไม่พ้นทางรถไฟหรือ ตรงนี้เป็นความผิดของกะบะแน่ครับ แต่ความผิดแบบนี้มีโทษไม่ถึงขั้นต้องตายน่ะครับ... ประเด็นคือคนที่ต้องตัดสินว่าใครผิดต้องรับโทษไม่ใช่คนใช้รถใช้ถนนร่วมกันครับ แต่เป็นตำรวจจราจรเป็นผู้เขียนใบสั่ง เรื่องนี้จบลงตรงที่กะบะจอดปุ๊บ ความผิดสำเร็จปั๊บ ถ้าตำรวจเห็นก็เขียนใบสั่งได้ทันที แต่เรื่องนี้จบแล้วน่ะครับ...

ส่วนเรื่องที่สองคือ คนที่จอดรถขวางหน้าในขณะที่รู้ว่ารถไฟกำลังจะมา แล้วรถไฟอาจหยุดไม่ทัน มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือคันหลังให้พ้นภัยเฉพาะหน้านะครับ ไม่ใช่แค่แล้งน้ำใจอย่างเดียว แต่เป็นความผิดโดยงดเว้นกระทำการ เพราะตนเองมีหน้าที่ครับ... ทำนองเดียวกับเห็นคนกำลังจะจมน้ำแล้วไม่ช่วยเหลือแหละครับ...

พี่สมชายว่ามาถูกต้องแล้วครับ หากรถคันข้างหน้าจงใจไม่ขยับให้เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่งครับ หากมีเหตุการณ์เช่นนี้สมควรให้การช่วยเหลือครับ
 
แต่หากมองในมุมกลับ ถ้าคนขับอีซูสุ ไม่เห็นแก่ตัวรีบร้อนจะไปให้ได้กับแค่ระยะทางไม่กี่เมตรตรงทางรถไฟ เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นครับพี่
แล้วถ้ามองต่ออีกนิดถ้าหากเรื่องที่ทางฝ่ายคู่กรณีบอกเป็นความจริงว่าติดรถข้างหน้าขยับไม่ได้จริงๆล่ะ
ซึ่งผมมองว่าก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่รถติดไฟแดงจะจอดติดกันระยะ1ฟุทหรือน้อยกว่าแบบนี้ก็อาจจะขยับให้ไม่ได้ครับ ยิ่งถ้าระยะห่างจากแยกถึงรางรถไฟน้อย
ก็จะไม่มีที่ว่างพอที่จะขยับให้คันหลังพ้นอยู่ดี  จุดนี้ผมไม่ได้เข้าข้างใครแต่ผมพยายามมองเหตุผลและความเป็นไปได้ในทุกทางครับ
ผมมองว่าคนขับอีซูสุควรจะต้องมองว่าเรื่องเกิดจากตัวเองก่อน พิจารณาว่าไปไม่แล้วไม่น่าพ้นก็ยังไม่ต้องไป ช้าไปแค่ระยะทางไม่มี่เมตรเวลาไม่กี่นาทีครับ
และตราบใดที่ตัวผู้ขับอีซูสุเองยังมีพฤติกรรมการขับรถประมาทแบบนี้อยู่ต่อไปซักวันอาจจะกลายเป็นเรื่องเศร้าขึ้นมาจริงๆก็ได้ครับ
เพราะความประมาทน้อยนิดก็อาจจะกลายเป็นเรื่องเศร้าได้ จากข่าวที่เราเห็นกันบ่อยๆ   ด้วยความเคารพครับพี่  ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 09:13:18 PM โดย อรชุน » บันทึกการเข้า
คนซ่อมทางรถไฟ--->trackmam 52
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 34
ออฟไลน์

กระทู้: 211


« ตอบ #43 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 09:12:23 PM »

โดยทั่วไปจะค่อยทราบกัน ทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ(ทางตัด)จะมีเสาสัญญาณห่างจากทางตัดออกไปประมาณ 50 เมตรทั้งสองด้านทางรถไฟ สัญญาณจะอนุญาตก็ต่อเมื่อเครื่องกั้นถนนได้ลงกั้นถนนเรียบร้อยแล้ว(สัญญาณนี้จะมองเห็นไปเกินกว่า 800 เมตร โดยรถไฟมีระยะเบรคฉุกเฉินที่ประมาณ 700 ม.)ถ้าเป็นเครื่องกั้นอัตโนมัติจะทำงานเมื่อรถไฟเข้าใกล้ทางตัดในระยะประมาณ 1,000 ม.แต่ในทางตัดที่มีพนักงานคุมอยู่จะอนุญาตให้รถไฟผ่านได้เมื่อพนักงานเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว โดยก่อนที่จะเอาคานกั้นถนนลงพนักงานจะให้สัญญาณไฟวับวาบที่เสาคานกั้นถนนก่อนครับ แจ้งมาเพื่อทราบหาก สมช.อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้จะได้แก้ไขได้ทัน (ส่วนทางผ่านที่ไม่มีเครื่องกันถนนผู้ใช้ถนนต้องจอดหางทางรถไฟ 5 เมตรเมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงข้ามได้ ระวังกันด้วยนะครับ)
เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดเฉพาะในกรุงเทพช่วงที่รถติดมากๆครับ รถจะไหลกันไปเรื่อยๆจะมาจ๊ะเอ๋เข้ากับรถเราตอนไหนก็ได้

เหตุการณ์เกิดแบบสุ่มไม่ใช่การจงใจจอดขวางทางรถไฟ และเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดที่ต่างจังหวัดเพราะรถไม่ได้ติดแบบตังเมเหมือนกรุงเทพ  Grin

ที่ผมเจอก็แบบเดียวกันในกรุงเทพครับ พอขยับตามคันหน้าจะพ้นทางรถไฟก็มีสัญญาณเสียงและไฟวาบเตือนแต่เหล็กกั้นยังไม่ลงมา

เห็นทุกคนรู้หน้าที่ ช่วยๆกันขยับครับ เพราะทุกคนมีโอกาศติดอยู่กลางทางรถไฟแบบเดียวกันทุกคนครับ

ในบางจุดที่รถหนาแน่นพนักงานกั้นถนนต้องทำหน้าที่ร่วมกับ จร.ด้วย
บันทึกการเข้า
PRIVACY
I don't want to survive, I want to live
Full Member
***

คะแนน 36
ออฟไลน์

กระทู้: 400


"Knowledge speaks, but wisdom listens."


« ตอบ #44 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2010, 09:14:48 PM »

อ่านข่าวนี้ตั้งแต่วันแรกที่ลงในเว็บข่าวแล้ว

ผมก็เห็นว่า พ่อ-ลูก หน้าโง่นั้น สมควรถูกด่าประจารตามคอมเม้นท์ต่างๆในข่าวน่ะ สมควรแล้ว

แล้วช่วยเขาด่าบ้างไหมเล่าครับ...

ผมเห็นด้วยตรงที่คนหน้าโง่ไม่สมควรตาย แต่ก็สมควรถูกวิภาควิจารณ์เชิงประจาน ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่นๆถ้าเกิดเรื่องทำนองเดียวกันนี้

แล้วทำไมไม่ประจานคนพกปืนโดยไม่มีใบพกเล่าครับ, แล้วทำไมไม่ประจานคนที่ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังมีภัยจะถูกรถไฟชน... เรื่องนี้หลงมองประเด็นบีบแตร ประเด็นปาดหน้า ซึ่งเป็นประเด็นเล็ก กลบประเด็นใหญ่พยายามฆ่า(เพราะเล็งเห็นผลแต่ไม่หลบให้เพราะโกรธถูกบีบแตร)ไปนะครับ...

ครับ ถ้ามองประเด็นว่า รถคันหน้าสามารถขยับได้แล้วไม่ขยับตั้งใจหรือจงใจให้คันหลังให้อาจจะถูกรถไฟชน อันนี้ผมเห็นตามท่านหมด

แต่ผมมองจากเนื้อข่าวข้อเท็จจริงว่ารถคันดังกล่าวก็ไม่สามารถขยับไปได้ ถ้าคิดเอาตัวเราไปเป็นรถคันข้างหน้าผมก็คงจะพยายามเลื่อนรถให้ถ้าสามารถทำได้

ที่ผมมองเรื่องนี้ไม่ได้มองเรื่องบีบแตรหรือปาดหน้าเพราะส่วนตัวไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้บนถนน ผมมองเรื่องที่พ่อ-ลูกลงมาหาเรื่องทำร้ายร่างกาย โดยที่ตัวพ่อที่ถือร่มลงรถแล้วนำไปทำร้ายรถคันหน้า โดยสภาพร่มตอนนั้นก็กลายเป็นอาวุธไปแล้ว จะเป็นประเด็นพยายามฆ่าด้วยหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบ ถ้าปลายร่มเป็นเหล็กแข็งแหลมก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้เหมือนกัน

เรื่องพกพาปืนติดตัวโดยไม่มีใบพก ก็ผิดแหละครับ ผมเชื่อว่าสมาชิกในเว็บนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่มีใบพกแล้วพาปืนติดตัวไปไหนด้วยตลอด แต่ในเรื่องเจ้าของปืนไม่ได้นำออกมาขู่หรือเอามาเบ่งให้ฝ่ายตรงข้ามรู้เลย แถมยังหนีจากเหตุทำร้ายร่างกายวิ่งลงไปจากรถ โดยหนีบกระเป๋าปืนลงไป อันนี้ผมมองว่าเป็นผมวิ่งหนีก็จะเอาลงไป เพราะทิ้งไว้ในรถไม่รู้ปืนนั้นจะคืนสนองหรือเปล่า ก็ฝ่ายตรงข้ามเค้าคิดจะทำร้ายเรานนะครับ ตัวเราวิ่งไปแล้วจะถูกทุบรถหรือเปิดประตูไปจะทำความเสียหายกับรถเพื่อระบายแค้นอะไรก็แล้วแต่ แล้วไปเจอปืนมันจะเป็นยังไงต่อไม่รู้ได้ หรือ วิ่งหนีไปแล้วพ่อ-ลูกวิ่งมารุมทำร้ายจะยังไงต่อด้วยความบ้าโกรธแค้นสุดท้ายชีวิตตัวเองจะเป็นยังไงมันคิดได้หลายแบบ

ผมมองต่างมุมกับท่านสมชายน่ะครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 ... 10
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.126 วินาที กับ 22 คำสั่ง